คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 922 นักพรตอย่างข้าไม่ค่อยจริงจัง
ตอนที่ 922 นักพรตอย่างข้าไม่ค่อยจริงจัง
จวนแม่ทัพใหญ่เจิ้งได้แขวนโคมไฟขาว ตั้งห้องโถงไว้ทุกข์ เนื่องจากคุณหนูเจิ้งที่หายไปเป็นเวลาสามปีเป็นคนที่รูปร่างงดงามแต่ชีวิตตกอับ เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้คนรู้สึกเสียดาย โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าแม่นางผู้นี้ถูกว่าที่สามีทำร้ายก็ยิ่งรู้สึกเศร้า
โชคดีที่ไม่เห็นหลวนไป่หลิง มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าไข่เน่าและมูลสัตว์มากมายเท่าไหร่จะไปตกลงบนตัวของเขา
เพียงแต่แม้ว่าจะยังไม่ได้พิจารณาคดี แต่หลวนไป่หลิงก็ไม่ได้อยู่อย่างสงบ ท่อนล่างของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ซ้ำยังถูกพลังแค้นของเจิ้งเหยาพัวพัน ในชั่วข้ามคืน บริเวณที่ไม่อาจอธิบายได้เต็มไปด้วยแผลหนองส่งกลิ่นเหม็นเน่า เจ็บปวดแทบจะไม่อยากมีชีวิตอยู่
นอกจากแผลหนองแล้ว เขายังคงฝันร้ายสยดสยองว่าถูกข่มขืนจนท้องโตจากนั้นก็ถูกเร่งให้คลอดก่อนกำหนดแล้วค่อยเอาไปฝังทั้งเป็นจนหมดลมหายใจอยู่ซ้ำๆ แม้แต่ดวงวิญญาณก็ยังถูกบดขยี้ ไม่สามารถขอความช่วยเหลือได้
นี่เป็นการที่ผีเข้าสู่ฝันร้าย และเป็นความรู้สึกที่รุนแรงเป็นอย่างมาก เจิ้งเหยาต้องการให้เขาประสบกับความอนาถที่ตัวเองได้รับซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้รู้สึกเหมือนกัน
คนจำนวนมากมาแสดงความเสียใจที่จวนแม่ทัพ
ฉินหลิวซีมาถึงตามกำหนด เพียงแต่เมื่อมาถึงห้องโถงไว้ทุกข์ นางกลับเห็นกลุ่มคนหัวโล้น นั่นเป็นพระภิกษุจากวัดอวี้ฝอ โดยมีอาจารย์ฮุ่ยเฉวียนเป็นผู้นำ พวกเขามาเพื่อสวดส่งวิญญาณคุณหนูเจิ้ง
เอาเถิด ช่วยแบ่งเบานางไปได้
ฮุ่ยเฉวียนประนมมือกล่าวทักทายฉินหลิวซี “อาตมาตอบรับคำขอของท่านเจ้าอาวาส พาลูกศิษย์มาส่งสีกาเจิ้ง”
“พระพุทธองค์ทรงมีเมตตา” ฉินหลิวซีพยักหน้าเบาๆ
ฮุ่ยเฉวียนนั่งอยู่บนเบาะด้านนอกห้องโถงไว้ทุกข์ ท่องบทสวดร่วมกับบรรดาภิกษุ ทำเอาผู้ที่มาแสดงความเสียใจพากันเหลือบมองมา
พระภิกษุจำนวนมากที่มาจากวัดอวี้ฝอสวดส่งวิญญาณ ฉากนี้ไม่ธรรมดาเลย
มีบางคนที่นับถือศาสนาพุทธ ยืนฟังบทสวดอยู่กับที่ก่อนจะเดินจากไป
ฉินหลิวซียืนอยู่ที่ห้องโถงไว้ทุกข์ เหลือบมองเจิ้งเหยาที่กำลังย่อกายลงนั่งอยู่บนโลงศพไม้จันทน์แดง เห็นว่าพลังแค้นบนร่างของนางค่อยๆ หายไปภายใต้บทสวด อดพยักหน้าไม่ได้
จนกระทั่งนางกลับมาสู่ความละเอียดอ่อนของสาวน้อยก่อนตาย พลังความแค้นหมดไป ฉินหลิวซีจึงได้ก้าวเข้าไปจุดธูป หยิบกระดาษสีเหลืองสองสามแผ่นจากด้านข้างกระถางเผาสมบัติ นิ้วมือพับก้อนทองหยวนเป่า[1]หลายอันวางไว้ในกระถางเผาสมบัติแล้วเผา กล่าวว่า “ไปกล่าวลาท่านพ่อของเจ้าเถิด”
เจิ้งเหยาได้รับทองหยวนเป่าสว่างไสว พูดไม่ออก
เป็นเรื่องโหดร้ายสำหรับคนผมขาวที่ต้องส่งคนผมดำ ตามธรรมเนียม แม่ทัพใหญ่ก็ไม่สามารถไปเฝ้าและไปส่งด้วยตัวเองได้ จึงไม่ได้ไปที่ห้องโถงไว้ทุกข์ เพียงแต่เหม่อลอยอยู่ที่เรือนของตัวเอง โดยมีใต้เท้าจั่วกับผู้เฒ่าอวี๋อยู่เป็นเพื่อนเขา
เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าอวี๋มาที่นี่ในทันทีหลังจากที่ได้รับข่าว จุดประสงค์น่ะหรือ ใต้เท้าจั่วคิดว่าเขาอยากรู้อยากเห็น อยากจะมาดูถึงที่ เพื่อได้รับข่าวสารโดยตรง ไร้ยางอายจริงๆ
ผู้เฒ่าอวี๋กลับไม่ได้สนใจสายตาเสียดสีของเขา เพียงประโยคเดียวก็ได้ปัดความไม่พอใจของเขากลับคืนกลับไป
“หากไม่ใช่เพราะข้า เจ้าจะรู้จักเจ้าอาวาสน้อยแล้วแนะนำให้แก่แม่ทัพใหญ่ได้อย่างไร”
ใต้เท้าจั่วไม่อาจโต้แย้งได้ โกรธจนดึงเคราหลุดไปสองเส้น
เมื่อฉินหลิวซีเข้ามา เห็นชายชราทั้งสองคนกำลังต่อล้อต่อเถียงกัน อดกระแอมไม่ได้ อย่างน้อยก็ช่วยดูแลอารมณ์ของแม่ทัพใหญ่สักหน่อยเถิด
แม่ทัพใหญ่ได้สติกลับมา เงยหน้าขึ้นมอง เห็นเจิ้งเหยาในสภาพก่อนที่จะหายตัวไป รู้ว่านางมาเพราะเหตุใด พลันน้ำตาไหลออกมา
“ท่านพ่อ” เจิ้งเหยาลอยไปหา คุกเข่าลงตรงหน้าเขา หน้าผากซบลงบนเข่าของเขา ร้องไห้คร่ำครวญ
ฉินหลิวซีเหลือเวลาไว้ให้ทั้งสองคน ก่อนที่จะร่ายคาถาอัญเชิญยมทูต
ทันใดนั้นหลังจากที่ลมกระโชกแรง ก็มียมทูตปรากฏตัวขึ้น โค้งคำนับให้ฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีเสกทองหยวนเป่าสองก้อนให้เขาเป็นค่าทำธุระ ให้เขารออยู่ก่อน หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งเค่อ[2] นางจึงได้เรียกเจิ้งเหยา “ควรไปได้แล้ว”
หัวใจแม่ทัพใหญ่ราวกับถูกมีดกรีด สีหน้าทำใจไม่ได้ แต่กลับโบกมืออย่างใจร้าย “ไปเถิด ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อ พ่อจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข”
เจิ้งเหยาโขลกศีรษะคำนับเก้าครั้ง ค่อยๆ เดินออกไปจากสายตาของเขา ยืนอยู่ที่หน้าประตู นางอยากจะหันหลังกลับ แต่ถูกฉินหลิวซีรั้งไว้
“อย่าหันกลับไป อย่าทิ้งความยึดติดไว้ในโลกนี้ ไม่เกิดประโยชน์กับเจ้าหรือใครก็ตาม”
เจิ้งเหยาเม้มริมฝีปาก สุดท้ายก็ไม่ได้หันกลับไป ไปอยู่ที่ข้างกายยมทูต
“เหล่าเจิ้ง เหล่าเจิ้ง” ในห้องโถง เสียงร้องด้วยความตกใจของใต้เท้าจั่วดังมา
ฉินหลิวซีถอนหายใจ เดินเข้าไป พาเขาไปส่งที่เตียงแล้วนอนลงไป ฝังเข็ม ป้อนยาอีกหนึ่งเม็ดก่อนจะเอ่ยว่า “อารมณ์ทั้งเจ็ดพุ่งพล่าน เสียใจมากเกินไป ให้เขานอนพักสักหน่อยเถิด” ใต้เท้าจั่วถอนหายใจ
ผู้เฒ่าอวี๋กล่าวว่า “เรื่องทั้งหมดนี้ รบกวนเจ้าแล้ว”
ฉินหลิวซีเอ่ยตอบ “บังเอิญเจอเข้าพอดี และเป็นสิ่งที่ข้าทำได้ ย่อมไม่เมินเฉย”
ผู้เฒ่าอวี๋พยักหน้า มองไปยังใบหน้าซีดขาวของแม่ทัพใหญ่ เอ่ย “หลังจากนี้ไปเหล่าเจิ้งเกรงว่าต้องอยู่โดดเดี่ยวอย่างทรมานแล้ว ท่านแม่เฒ่าก็เช่นกัน…”
“รับเลี้ยงบุตรอีกหนึ่งคน คงจะสามารถช่วยปลอบใจได้อยู่บ้าง”
เป็นเช่นนั้น
ฉินหลิวซียืนอยู่ครู่หนึ่ง กลับไปที่ห้องโถงไว้ทุกขอีกครั้ง เห็นว่ามีสองคนถูกหัวหน้าผู้ดูแลจวนเจิ้งนำทางมา นางหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง
ผู้ที่มาคือองค์ชายรองฉีอวิ๋นไท่กับคุณชายปั๋วอิน อวี้ลิ่งหลาน
ตระกูลอวี้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขนาดนี้ อวี้ลิ่งหลานไม่ได้กลับไปไว้อาลัยที่ตระกูล เป็นเพราะไม่พอใจที่อวี้ฉังคงสืบทอดเป็นหัวหน้าตระกูล หรือว่าดูหมิ่น จึงไม่กลับไป
อวี้ลิ่งหลานแต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดาสังเกตเห็นถึงสายตาของฉินหลิวซีที่มองมา เมื่อเห็นนาง ใบหน้ามีความประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ
สองคนนั้นเข้าไปในห้องโถงไว้ทุกข์ รับธูปมาจากบ่าวรับใช้ไปจุดคำนับสามครั้ง หลังจากปักธูปก็ถอยออกมา
ฉีอวิ๋นไท่ยังได้ถามผู้ดูแลว่าท่านแม่ทัพใหญ่อยู่ที่ไหน อยากจะปลอบใจเขา
แขนของผู้ดูแลมีผ้าโปร่งสีดำพันรอบแขน สีหน้าโศกเศร้า กล่าวว่า “ท่านแม่ทัพของข้าเสียใจมาก เมื่อครู่ก็สลบไปอีกครั้ง ไม่สามารถมาต้อนรับองค์ชายได้จริงๆ”
“ไม่เป็นไร เมื่อข้ากลับวังจะเชิญหมอหลวงมาจับชีพจรให้ท่านแม่ทัพใหญ่ คนตายได้จากไปแล้ว ขอให้แม่ทัพใหญ่อย่าได้โศกเศร้า” ฉีอวิ๋นไท่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ผู้ดูแลกล่าวขอบคุณ
อวี้ลิ่งหลานกลับเดินไปหาฉินหลิวซี เอ่ย “ปีที่แล้วเคยพบคุณชายที่จิ่วเสียน วันนี้ได้พบอีกครั้ง บังอาจถามคุณชาย ใช่หมอลัทธิเต๋านามว่าปู้ฉิวผู้เลื่องลือหรือไม่”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “เป็นข้าเอง”
อวี้ลิ่งหลานเอ่ย “นักพรตปู้ฉิววิชาเต๋าล้ำเลิศ ได้ยินผู้อาวุโสบอกว่ามีนักพรตปู้ฉิวจากอารามชิงผิงในเมืองหลีได้ไขปัญหาให้แก่ตระกูลอวี้ ลิ่งหลานตระกูลอวี้ คำนับขอบคุณท่านอาจารย์”
ฉินหลิวซีก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ภายใต้สายตาประหลาดใจของเขาที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทั้งสองสบตากัน กล่าวว่า “เจ้าคำนับขอบคุณข้าจริงๆ หรือ”
อวี้ลิ่งหลานสีหน้าไม่เปลี่ยน “แน่นอน”
ฉินหลิวซีหัวเราะ “ข้าทำนายดูแล้ว เจ้ากำลังโกหก!”
อวี้ลิ่งหลาน “?”
“ข้าผลักดันอวี้ฉังคงขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลโดยไม่ได้ตั้งใจ เกรงว่าเจ้าแทบจะด่าว่าข้าเป็นคนร้ายลับหลัง สาปแช่งข้าทุกวันกระมัง” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
อวี้ลิ่งหลานเปลือกตากระตุก “ท่านอาจารย์รู้จักหยอกล้อเสียจริง”
“อืม ข้าเป็นนักพรตที่ไม่ค่อยจริงจังนัก” ฉินหลิวซีเปลี่ยนหัวข้อ มองไปยังองค์ชายรองที่กำลังเดินมา ก่อนจะเอ่ยว่า “ได้ยินมานานแล้วว่าบุตรที่เกิดจากตระกูลอวี้ เมื่อออกสู่โลกภายนอกก็จะเลือกองค์ชายด้วยตัวเอง ดูเหมือนว่าคุณชายอวี้จะพนันกับองค์ชายท่านนี้”
อวี้ลิ่งหลาน “เป็นมิตรภาพลูกผู้ชาย…”
“เจ้าไม่น่าสนใจเท่าอวี้ฉังคง” ฉินหลิวซีทำท่าทางเบื่อหน่าย ตัดบทสนทนาเขา “เจ้าเสแสร้งเก่งจริงๆ เสแสร้งได้ปลอมไปหน่อย!”
รอยยิ้มของอวี้ลิ่งหลานแข็งทื่อเล็กน้อย “!”
ฉินหลิวซีไม่เอ่ยอะไรอีก เดินผ่านเขาไป เข้าไปในห้องโถงไว้ทุกข์ ฝ่ามือกดที่เอว กระจกดูดวิญญาณเฉียนคุนไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย!
ไม่ใช่เขา?
[1] หยวนเป่า เงินตำลึงจีนที่มีลักษณะเป็นแท่งเงินปลายโค้งสูงทั้งสองด้าน มีรูปร่างคล้ายเรือ ด้านข้างจะมีการแกะสลักลวดลายมงคล
[2] เค่อ 1เค่อ เท่ากับ 15 นาที