คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 923 ท่านให้มากเกินไปแล้ว
ตอนที่ 923 ท่านให้มากเกินไปแล้ว
อวี้ลิ่งหลานมองแผ่นหลังของฉินหลิวซี ขมวดคิ้วเล็กน้อย จนกระทั่งองค์ชายรองมาถึง
“ปั๋วอิน เกิดอะไรขึ้นหรือ เมื่อครู่เป็นใคร” ฉีอวิ๋นไท่เหลือบมองฉินหลิวซี ท่าทางอยากรู้เล็กน้อย
อวี้ลิ่งหลานยกริมฝีปาก เอ่ยว่า “เจ้าอาวาสน้อยอารามชิงผิงในเมืองหลี เป็นอาจารย์เสวียนเหมินที่มีวิชาเต๋าล้ำเลิศ องค์ชายสามารถตรวจสอบภูมิหลังของเขาได้ หากสามารถดึงอาจารย์มาใช้ประโยชน์ได้ ก็จะสามารถบรรลุสิ่งที่ยิ่งใหญ่”
หัวใจของฉีอวิ๋นไท่ตึงเครียดเล็กน้อย มีแสงวูบหนึ่งผ่านเข้ามาในดวงตาอย่างรวดเร็ว เอ่ยว่า “ในใต้หล้านี้มีคนเก่งที่ปั๋วอินชื่นชมเช่นนี้ด้วยหรือ”
“เป็นเพราะว่าข้ามองนักพรตเสวียนเหมินผู้นี้ไม่ออก” อวี้ลิ่งหลานเอ่ยเสียงเบาว่า “แม้ว่าจะเป็นนักพรต แต่คุณหนูตระกูลแม่ทัพใหญ่ที่หายตัวไปหลายปี เป็นเขาที่หาเจอ แล้วก็ยังมีเรื่องที่คุณชายตระกูลจั่วผู้นั้นหายตัวไป หรือว่าองค์ชายไม่รู้ว่าสิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร”
ดวงตาของฉีอวิ๋นไท่เป็นประกาย
“เป็นเรื่องของเส้นสายและความสัมพันธ์ หากสามารถได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลต่างสายเช่นนี้ องค์ชายก็จะเป็นพยัคฆ์ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่มากขึ้น”
“เสวียนเหมินกับศาสนาพุทธล้วนปล่อยวาง ไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกหรอกกระมัง” ฉีอวิ๋นไท่เอ่ยพลางขมวดคิ้ว ผู้ที่ออกบวชเหล่านี้เชื่อว่าตัวเองได้เข้าสู่ความว่างเปล่า ไม่แปดเปื้อนโลกภายนอก ดึงมาเป็นพวกได้ยากที่สุด
“ความว่างเปล่าก็เป็นลัทธิหนึ่ง และอยู่ในทางโลก แล้วก็จะมีสักกี่คนที่ละทางโลกจริงๆ แม้ว่าจะเป็นวัดอวี้ฝอ ก็ยังคงมีคนที่ปิดประตูภูเขาให้คนชั้นสูงเข้าไปจุดธูปบูชา” อวี้ลิ่งหลานหัวเราะเบาๆ “อีกอย่าง ไม่ยื่นมือเข้าไปแทรกแซง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่เคยได้รับความเมตตา จะไม่จดจำบุญคุณนี้”
เมื่อฉีอวิ๋นไท่ได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ก็ไม่รู้ว่าใครลงมือทำร้ายแม่ทัพใหญ่ ทำเอาเสด็จพ่อเห็นว่าพวกข้าขัดหูขัดตาไปหมด”
อวี้ลิ่งหลานเอ่ยอย่างช้าๆ “ใช่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าเป็นใครกัน”
ทั้งสองคนจากไปอย่างช้าๆ
ฉินหลิวซีมองออกมาจากห้องโถงไว้ทุกข์ ขมวดคิ้วแล้วผ่อนคลาย หยิบกระจกดูดวิญญาณเฉียนคุนออกมา ส่องมาที่ตัวเองมองดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า เอ่ยว่า “มหาเทพคงไม่ได้มอบของปลอมมาหลอกข้าหรอกกระมัง กระจกส่องปีศาจปลอม? ไม่เห็นมีการตอบสนองอะไรเลย!”
…
ตามที่ฉินหลิวซีคาดไว้ ก่อนที่โลงศพของเจิ้งเหยาจะถูกฝัง มีข่าวมาจากเรือนจำ หลวนไป่หลิงเสียแล้ว เสียด้วยอาการแผลหนองพุพอง ไม่ได้รับการรักษา ไม่ว่าจะเป็นเช่นนี้จริงๆ หรือไม่ ทุกอย่างล้วนนานาจิตตัง
ฉินหลิวซีอยู่ต่ออีกสองวัน ก่อนจะไปได้ไปฝังเข็มให้หมิงอ๋องอีกหนึ่งครั้ง ปรับใบสั่งยา กระทั่งให้วิธีผสมน้ำสมุนไพรอาบเสริมสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อ จากนั้นก็ไปฝังเข็มให้แม่ทัพใหญ่และให้ยาถอนพิษหนึ่งเม็ด
“หลังจากกินยาถอนพิษนี้แล้ว พิษที่เหลืออยู่ก็จะถูกกำจัดออกไป บาดแผลที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของท่าน ให้รักษาตามใบสั่งยาทั้งสองที่ข้าเขียนไว้ให้ ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ชีวิตก็จะดีขึ้น”
แม่ทัพใหญ่ตกลงด้วยรอยยิ้ม เอ่ยว่า “ยังมีอีกหนึ่งเรื่องอยากจะรบกวนเจ้า”
“ท่านว่ามาเถิด”
แม่ทัพใหญ่มองไปยังหัวหน้าผู้ดูแล เขาปรบมือ ด้านนอกได้ยินเสียงกรอบแกรบดังขึ้น
แม่ทัพใหญ่เดินไปที่หน้าต่าง มองดูกลุ่มเด็กน้อยที่อยู่ข้างนอก เอ่ยว่า “เจ้าสายตาเฉียบแหลม ช่วยข้าเลือกบุตรสาวบุญธรรมที่ดีสักคนเถิด”
ฉินหลิวซีมองออกไปข้างนอก ล้วนเป็นเด็กผู้หญิง เอ่ยว่า “บุตรสาวบุญธรรม? ข้าคิดว่าท่านถูกงูกัดหนึ่งครั้งจะเข็ดไปอีกสิบปีเสียอีก หากในภายภาคหน้าหาบุตรเขย ไม่กลัวว่าจะมีหลวนไป่หลิงโผล่มาอีกหรือ”
แม่ทัพใหญ่เอ่ยเสียงเบาว่า “ที่ข้าถูกวางยาพิษ ยังไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นฝีมือใคร แต่ข้าคิดว่าคงไม่พ้นคนในราชวงศ์ ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่หรือมีผู้สืบทอด ย่อมมีคนไม่วางใจ หากมีบุตรบุญธรรมบทเรียนจากอดีตก็อยู่ตรงหน้าแล้ว แต่บุตรสาวบุญธรรม ก็ไม่ได้เกี่ยวพันทางสายเลือด อย่างไรเสียก็ยังมีช่องว่างระหว่างกันอยู่บ้าง คนเหล่านั้นก็จะรู้สึกโล่งใจมากขึ้น ในภายภาคหน้าเมื่อถึงวัยอันควร ข้าก็จะหาคนธรรมดาที่ซื่อสัตย์ให้กับนาง ไม่ต้องการให้ฉลาดหลักแหลมมากนัก สามารถรักษาหน้าที่การงานไว้ได้ก็พอ เมื่อสืบทอดต่อไป ก็จะมีคนเคารพบูชาบรรพบุรุษตระกูลเจิ้งด้วย”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยอีกว่า “หากเลือกบุตรสาวบุญธรรม แล้วยังเดินซ้ำรอยเดิมของเหยาเอ๋อร์ ก็พิสูจน์แล้วว่า ตระกูลเจิ้งของข้าไม่ควรมีอยู่อีกต่อไป”
ฉินหลิวซีเข้าใจ เขากำลังแสดงความอ่อนแอ แสดงความอ่อนแอต่อราชวงศ์ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ถูกต้อง หากฮ่องเต้ยินดีที่จะปกป้องเขา ก็จะปลอดภัยอย่างไร้กังวลแล้ว
“ข้าควบม้าอยู่ในสนามรบมาทั้งชีวิต นอกจากเกียรติยศของการเป็นแม่ทัพใหญ่แล้ว ยังได้อะไรอีกบ้าง บาดแผลที่ซ่อนอยู่ทั้งร่างกาย ขาดทายาทไร้ผู้สืบทอด” แม่ทัพใหญ่เอ่ยอย่างประชดประชันว่า “เช่นนี้ข้าก็ควรจะเรียนรู้ที่จะเห็นแก่ตัวได้แล้ว เลือกคนที่เชื่อฟังประพฤติตัวดีมาอยู่ในการดูแล ข้าให้ความร่ำรวยสูงส่งแก่นาง นางเคารพบูชาตระกูลเจิ้งให้ข้าต่อไป ยุติธรรมเป็นอย่างมาก จะให้เลี้ยงดูเทพสงครามอีกสักคน? ข้าแก่แล้ว แล้วก็กลัวแล้ว!”
ฉินหลิวซีลำบากใจเล็กน้อย เอ่ยว่า “นอกจากเกียรติยศของความเป็นแม่ทัพใหญ่แล้ว สิ่งที่ท่านได้รับยังมีความเคารพรักของราษฎรในใต้หล้านี้ รวมถึงบุญกุศลนับหมื่นพันนี้ หากไม่มีท่านคอยปกป้องอาณาจักรอยู่แนวหน้าเหมือนเมื่อก่อน เราอาจไม่มีโอกาสได้เกิดมา และบ้านเมืองจะสงบสุขได้อย่างไร”
ในยามทุกข์ยากราษฎรราวกับสุนัขขี้เรื้อน การที่พวกเขาสามารถอยู่อย่างสงบมีการมีงานทำ ล้วนพึ่งทหารที่มีพลังชั่วร้ายบนตัวเหล่านี้
แม่ทัพใหญ่ราวกับได้รับการปลอบใจ หว่างคิ้วผ่อนคลายลง
ฉินหลิวซีมองไปยังเด็กๆ เหล่านั้น มองดูทีละคน เอ่ยว่า “แถวที่สองคนที่สามจากซ้ายมือผู้ที่ผิวสีเข้มดวงตาโตสดใสผู้นั้นเป็นคนที่จิตใจกว้างอ่อนโยน บนร่างกายของนางก็มีบุญกุศลคุ้มภัย ใบหน้าอวบอิ่ม เป็นผู้ที่ได้รับพรทั้งโชคลาภและอายุ จะมีอายุยืนยาว”
แม่ทัพใหญ่มองไป มุมปากกระตุกเล็กน้อย “เด็กคนนี้ดำไปหน่อยกระมัง”
“เป็นสีผิวที่สุขภาพดี ที่นางรูปร่างสมส่วน เป็นเพราะมีบุญกุศลคุ้มภัย โรคภัยไข้เจ็บน้อย ร่างกายแข็งแรง ย่อมมีอายุยืนยาว และดวงตาที่สดใส ก็เป็นสตรีที่บุคลิกเข้มแข็ง บุปผาในเรือนกระจกเหล่านั้นไม่เหมาะกับตระกูลเจิ้ง”
ท่านแม่ทัพใหญ่ตอบตกลง เรียกหัวหน้าผู้ดูแลเข้ามากำชับ เขารีบไปจัดการในทันที
“ผู้ดูแลคนนี้…”
ฉินหลิวซีเข้าใจถึงความหมายของเขา เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านยังไม่ถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นโดยสิ้นเชิง ใช่ว่าทุกคนจะเหมือนกับเหล่าอู่ผู้นั้น หัวหน้าผู้ดูแลคนนี้โหงวเฮ้งซื่อสัตย์ ไว้ใจได้”
แม่ทัพใหญ่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เอ่ยว่า “นี่จึงจะเป็นสิ่งที่เข็ดไปอีกสิบปี”
“ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นนกตื่นธนูขนาดนั้น ดั่งคำเอ่ยที่ว่ามีกฎเกณฑ์ทั้งหมดห้าสิบข้อในการทำเรื่องต่างๆ ในโลกและสวรรค์ แต่ความผันแปรของโชคชะตามีเพียงสี่สิบเก้าข้อเท่านั้น ที่หายไปคือความลับของสวรรค์และตัวแปร ทุกเรื่องย่อมมีความหวังอันริบหรี่ หากไขว่คว้าไว้ได้ก็จะมีโอกาสพลิกผัน” ฉินหลิวซีเอ่ยปลอบโยน “บางเรื่องใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้น แต่ยังไม่ถึงเวลา เช่นเดียวกัน ผลกรรมบางอย่าง ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้รับ แค่ยังไม่ถึงเวลา”
แม่ทัพใหญ่พยักหน้า หยิบกล่องมาจากบนโต๊ะแล้วยื่นให้ฉินหลิวซี เอ่ยว่า “ในนี้มีสองแสนตำลึง ข้าอยากจะขอให้เจ้าอาวาสน้อยช่วยจุดตะเกียงนิรันดร์ให้แก่บุตรของข้าและทำความดีสั่งสมบุญภายใต้ชื่อของนาง ต้องการค่าน้ำมันตะเกียงเท่าไหร่ หลังจากที่เจ้าอาวาสน้อยหักไป ส่วนที่เหลือก็ใช้สำหรับทำความดี”
ฉินหลิวซี “…ท่านให้มากเกินไปแล้ว!”
“เงินทองเป็นของนอกกาย ไม่ได้เอาติดตัวมาตอนเกิดและไม่ได้นำไปด้วยตอนตาย บุตรสาวบุญธรรมแค่คนเดียว ไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพย์สมบัติมากมายขนาดนี้ หากยิ่งใหญ่มากเกินไป กลับจะเป็นการทำให้นางเคยตัวจนก่อปัญหาได้ง่าย” แม่ทัพใหญ่เอ่ยว่า “ทรัพย์สินตระกูลข้า นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ส่วนใหญ่ก็จะบริจาคให้แก่คลังหลวงเพื่อแลกกับสันติภาพ เหลือเพียงสองส่วน ก็เพียงพอที่จะให้เด็กคนนี้ได้มีชีวิตที่สะดวกสบายแล้ว”
หากเป็นเช่นนี้แล้วฮ่องเต้ยังไม่ปกป้องเขา เกรงว่าจะดึงดูดให้ผู้คนเอ่ยว่าฮ่องเต้ไร้เมตตา
ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ประเสริฐยิ่งนัก”
ผู้ที่ต่อสู้ ดาบเปื้อนเลือด แต่ผลตอบแทนนั้นก็มากมายเช่นกัน เป็นความมั่งคั่งที่ได้มาจากการเสี่ยงอันตรายจริงๆ