คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 925 เฮยอู๋ฉังขอความช่วยเหลือ
ตอนที่ 925 เฮยอู๋ฉังขอความช่วยเหลือ
ตอนไปจากเมืองหลี พึ่งจะเดือนสาม เดือนสี่ผ่านไปกว่าครึ่งเดือน ใกล้จะถึงฤดูร้อนต้นเดือนห้าแล้ว เมื่อฉินหลิวซีออกมาจากเส้นทางหยิน ทางตรงหน้าก็เป็นถนนหินที่ปูไปสู่อารามที่ภูเขาด้านหลัง หลังจากยืนอยู่อย่างเงียบๆ จนกระทั่งท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีขาว จึงได้ลงจากเขาไปที่อารามเต๋า
เมื่อกลับมาที่อารามเต๋า สิ่งแรกที่ฉินหลิวซีเห็นคือเถิงเจา เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังคา ราวกับว่ารู้สึกได้จึงลืมตาขึ้นมา เขาลงมาจากหลังคาอย่างแผ่วเบา ยืนอยู่ตรงหน้านาง เม้มริมฝีปาก ดวงตามืดมนเล็กน้อย
ฉินหลิวซีเห็นว่าเสื้อผ้าบนร่างกายของเขาเปียกน้ำค้างก็ตำหนิว่า “นั่งขัดสมาธิฝึกบำเพ็ญที่ไหนไม่นั่ง ไปนั่งอยู่บนหลังคา ไม่กลัวน้ำค้างหยดใส่จนเป็นไข้หวัดหรือ เจ้ายังเด็ก ตอนที่คลอดออกมาร่างกายก็บกพร่องอยู่บ้าง ไม่ง่ายเลยกว่าจะดูแลบำรุงเจ้าจนแข็งแรงขึ้น อย่าทำให้ตัวเองป่วย อีกอย่างกระดูกของเจ้ายังเติบโตไม่เต็มที่ จะเอาแต่ใจไม่ได้”
เถิงเจา “ขอรับ”
ฉินหลิวซีถอนหายใจ มือข้างหนึ่งวางไว้บนไหล่ของเขา ไล่น้ำค้างที่เปียกชื้นบนเสื้อผ้าจนแห้ง จูงมือเขามุ่งหน้าไปที่วิหารใหญ่
ก่อนที่เถิงเจาจะได้พบนาง เขาเป็นคนที่มีนิสัยเก็บตัว สามารถนั่งเล่นหมากรุกคนเดียวโดยไม่กล่าวอะไรสักคำได้ หลังจากมาอยู่ข้างกายนาง ไม่ว่าจะเป็นการท่องพระสูตรหรือร่ายอาคมก็ล้วนต้องพูด นานวันเข้าก็เริ่มชินแล้ว เอ่ยปากพูดมากขึ้น แม้ว่าจะยังมีท่าทางเงียบขรึมพูดน้อย แต่เมื่อเทียบกับตอนที่ยังไม่ได้เข้าสู่ลัทธิเต๋าแล้วเขาดีขึ้นมาก
แต่หลังจากที่วั่งชวนหายตัวไป ราวกับว่าเขากลับไปสู่บุคลิกเดิมอีกครั้ง พูดน้อยมาก นิสัยก็เย็นชา ความมีชีวิตชีวาของหนุ่มน้อยจางหายไปมาก
ช่วงที่ฉินหลิวซีไปที่ภูเขาเทียน เขาก็ได้ย้ายไปอยู่ที่อารามเต๋า ฝึกฝนบำเพ็ญวิชา และยังได้ช่วยอารามเต๋าวาดยันต์ ในช่วงเทศกาลเชงเม้ง ก็ยังช่วยทำพิธีเปิดประตูโลกวิญญาณสื่อสารเทพเจ้าอีกด้วย
สถานที่ที่เถิงเจาฝึกบำเพ็ญบ่อยที่สุดคือถนนหินในภูเขาด้านหลัง
เขาใช้วิธีหนึ่งเตือนตัวเองถึงการหายตัวไปของวั่งชวนว่าเกิดอะไรขึ้น และใช้อีกวิธีหนึ่งบังคับตัวเองให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
ในวิหารใหญ่ ได้พบกับชิงหย่วนและนักพรตเฒ่ากับลูกศิษย์ เมื่อเห็นว่าฉินหลิวซีกลับมาแล้ว ต่างก็พากันประหลาดใจและดีใจ ทยอยกันเข้าไปคำนับตามธรรมเนียมเต๋า
ฉินหลิวซียิ้มพลางคำนับกลับ เมื่อเห็นซานหยวน จึงเอ่ย “วิชาเต๋าพัฒนาขึ้นแล้วหรือ”
“ดีมาก ต้องยึดมั่นในหัวใจเต๋า”
“ขอรับ”
ชิงหย่วนถอนหายใจพลางเอ่ย “ท่านกลับมาเสียที หากยังไม่กลับมาอีก ข้าคิดว่าจะไปหาเจ้าอาวาสแล้ว”
“แม้ว่าอารามเต๋าจะไม่มีข้ากับอาจารย์อยู่ ผู้ศรัทธาก็จะไม่มาแล้วหรือ” ฉินหลิวซียื่นถุงสัมภาระให้ หยิบธูปมาสามดอก หลังจากจุดธูปทำความเคารพต่อหน้าเจ้าลัทธิเต๋าแล้วปักลงในกระถาง ก็ไปเอาตะเกียงน้ำมันดวงใหม่มา จุดตะเกียงนิรันดร์ให้กับเจิ้งเหยา วางไว้ใต้แท่นบูชาเจ้าลัทธิเต๋า
อย่างไรเสียเขาก็ได้ให้ค่าตะเกียงน้ำมันมาด้วยความจริงใจ
หลังจากจุดธูปก็กลับไปที่ห้องเต๋า ฉินหลิวซีจึงได้หยิบถุงสัมภาระ เอากล่องที่บรรจุตั๋วเงินจำนวนมหาศาลมอบให้แก่ชิงหย่วน
“ไปถอนมาหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึง ทำการกุศลด้วยชื่อของเจิ้งเหยา ชื่อของนางข้าได้เขียนใส่กระดาษไว้ในกล่องแล้ว ตะเกียงนิรันดร์ที่จุดไว้ให้นางในอารามไม่ต้องดับ ที่เหลือให้เอาไปซื้อเสบียงอาหาร วัตถุดิบยามาเพิ่ม หากอารามเต๋ามีบริเวณใดต้องซ่อมแซมเจ้าก็เอาไปซ่อมแซมได้”
ชิงหย่วนเปิดออก ในกล่องเต็มไปด้วยตั๋วเงิน แทบจะทำให้ตาของเขาบอด ปิดกลับคืนเหมือนเดิม กล่าวว่า “จะเก็บไว้สำรองใช้หรือไม่”
ฉินหลิวซีอยากจะบอกว่าไม่เป็นไร หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง ก็เอ่ยว่า “เก็บไว้สำรองเถิด อีกสองสามวันข้าจะปรุงยาสร้างรากฐาน และวางแผนจะกักตัวฝึกบำเพ็ญเป็นเวลานาน”
เมื่อเถิงเจาได้ฟังดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นทันที
ชิงหย่วนก็ประหลาดใจอยู่บ้าง นี่มันกี่ปีมาแล้ว นางไม่เคยกักตัวฝึกบำเพ็ญมาก่อน
“เป็นเวลานานเท่าไหร่”
“บอกได้ยาก ประมาณหนึ่งปีขึ้นไป” ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ไม่ต้องซ่อมแซมอารามเต๋าครั้งใหญ่แล้ว แค่ตุนวัตถุดิบยากับเสบียงอาหารก็พอ”
ชิงหย่วนรับปาก สองปีมานี้ท่านเจ้าอาวาสน้อยทำงานอย่างขยันขันแข็งสะสมเงินค่าน้ำมันตะเกียงไม่น้อย ตอนนี้อารามชิงผิงแตกต่างจากเมื่อก่อน มีร่างทองสองสามร่าง ซ้ำยังมีเจดีย์ทอง หลังคาทอง ควันธูปเจริญรุ่งเรืองไม่น้อย กลายเป็นเป็นอารามใหญ่แล้ว
“จริงสิ ทางด้านอำเภอหนานมีศาลประจำเมือง ถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน นายอำเภอคนใหม่ของที่นั่นอยากจะอัญเชิญรูปปั้นเจ้าลัทธิเต๋าองค์เก่าของพวกเราไปประดิษฐานสักการะบูชาที่นั่น” ชิงหย่วนนึกถึงผู้ที่มาจากอำเภอหนานเมื่อก่อนหน้านี้ ก่อนจะเอ่ยว่า “ซ้ำยังหวังว่าท่านจะสามารถช่วยเบิกเนตรได้”
“ศาลประจำเมืองมาอัญเชิญเทพเจ้า?” ฉินหลิวซีประหลาดใจเล็กน้อย “แล้วรูปปั้นเทพประจำเมืององค์เดิมล่ะ”
ชิงหย่วนตอบว่า “ท่านลืมไปแล้วหรือ เมื่อสี่ปีก่อนเกิดการจราจลในอำเภอหนานเนื่องจากภัยแล้งและโรคระบาด ศาลประจำเมืองถูกเผาทุบทำลาย รูปปั้นเทพเจ้าประจำเมืองก็ถูกทำลายไปตั้งนานแล้วเช่นกัน คนดูแลศาลก็หายตัวไป ศาลประจำเมืองจึงกลายเป็นศาลร้าง ถูกยึดครองโดยขอทานและคนไร้บ้าน”
อำเภอหนานติดภูเขา เมื่อหลายปีก่อนได้มีโรคระบาดและเกิดการจราจลขึ้นจริงๆ นายอำเภอเป็นกังวลจนหัวล้าน
“เหตุใดทางด้านนั้นจึงได้คิดจะมาอัญเชิญเทพเจ้าของพวกเราที่นี่ หากเทพประจำเมืองจะสถิตย์ลงมา จะไม่ไปเข้าฝันบอกล่วงหน้าก่อนหรือ”
ชิงหย่วนยิ้มพลางกล่าวว่า “แน่นอนว่าเป็นเพราะเจ้าลัทธิเต๋าของพวกเรามีพลังอำนาจเป็นที่รู้จัก และได้รู้ว่ารูปปั้นเทพองค์เก่าของพวกเราเมื่อก่อนหน้านี้ได้ถูกอัญเชิญลงมาแล้ว จึงอยากจะอัญเชิญไปสักการะบูชา เพื่อให้เทพสถิตย์ลงมา จริงสิ นายอำเภอท่านนั้นก็เคยมีความสัมพันธ์กับท่านเจ้าอาวาสน้อยด้วย”
“หืม? ใคร”
“เหนียนโหย่วเหวย” เถิงเจาตอบแทน เอ่ย “เป็นคนที่ดึงเชือกตอนที่จับเว่ยเสีย ในฤดูใบไม้ผลิปีนี้ได้ถูกสั่งไปประจำการที่อำเภอหนาน เป็นนายอำเภอแล้ว”
ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว
ในเมื่อเป็นคนคุ้นเคย ซ้ำยังต้องการอัญเชิญเทพเจ้า จึงกล่าวว่า “ในเมื่อมาอัญเชิญด้วยความจริงใจ เช่นนั้นก็ให้คนไปแจ้งแก่เขาว่าให้ส่งคนมาคุ้มกันไปส่ง เมื่อถึงเวลาข้าจะไปช่วยเบิกเนตร”
ชิงหย่วนรับปากอีกครั้ง
ฉินหลิวซีเอ่ยถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กับเขาอีกสองสามเรื่อง ท้องฟ้าใกล้จะรุ่งสางแล้ว จึงให้พวกเขาไปสวดมนต์เช้า ส่วนนางก็ให้เถิงเจาไปนำอาหารเช้ามา จากนั้นอาจารย์และลูกศิษย์ลงจากภูเขาไปด้วยกัน
เมื่อมาถึงร้านเฟยฉางเต๋าก็ได้ยินผีสองตนกำลังทะเลาะกัน
เป็นเว่ยเสียกับหยวนอิงที่ถูกจัดแจงให้มาอยู่ที่นี่ ผีทั้งสองตนทะเลาะจนจะตีกันแล้ว
ฉินหลิวซีเหลือบมองพลังหยินที่มารวมตัวกันเหนือร้าน กล่าวว่า “พวกเจ้ารังเกียจที่ชีวิตสงบสุขเกินไปหรือ จะดึงดูดให้ไต้ซือมาสังหารพวกเจ้าให้ได้เลยหรือ ดังนั้นก็เลยต้องสร้างเรื่อง? มองดูพลังหยินนี้ แทบจะทะลักออกมาแล้ว”
หยวนอิงเอ่ยด้วยความโกรธว่า “เป็นคนอ้อนแอ้นผู้นี้ที่ลงมือก่อน”
เว่ยเสียจ้องมอง กล่าวว่า “เจ้ากำลังทำให้สับสนระหว่างถูกและผิด อย่าคิดว่ามีแค่เจ้าที่ฟ้องเป็น เป็นเจ้าที่คิดจะขโมยป้ายคำสั่งโซ่ตรวนเอาไปทำเรื่องไม่ดี โซ่ตรวนวิญญาณกับป้ายคำสั่งยมทูตของข้า ใช่สิ่งที่ผีหญิงโบราณอย่างเจ้าจะมาแตะต้องได้หรือ”
“ข้าเปล่านะ!” หยวนอิงหน้าแดง
“เหอะๆ ไม่รู้ว่าใครบอกว่าเบื่อ อยากจะเบ่งอำนาจสักหน่อย” เว่ยเสียกล่าวเสียดสี “คราวที่แล้วถูกเจ้าเอาไป เกือบจะไปดึงวิญญาณมาผิด หากเกิดขึ้นอีกครั้ง ข้าจะไม่ถูกปลดออกจากตำแหน่งยมทูตชั่วคราวไปเลยหรือ ข้าสงสัยว่าเจ้าตั้งใจจะทำลายตำแหน่งของข้า!”
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว มองไปยังหยวนอิง ส่งสายตาให้อธิบาย
หยวนอิงหดตัวลง กล่าวว่า “ข้าเพียงแค่อยากรู้ นั่นมันก็แค่อุบัติเหตุ”
“อุบัติเหตุของเจ้า ก็คือเกือบจะทำให้คนต้องเสียชีวิตจริงๆ แล้ว” เว่ยเสียกล่าวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ดึงวิญญาณผิด ทำร้ายชีวิตของคนผู้หนึ่ง จะเป็นการเพิ่มบาปชีวิต”
หยวนอิงตาแดง กำหมัดแน่น อ้ากกก โกรธนัก
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็เข้าข้างเขา ดึงวิญญาณผิดเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าไม่ควรเอาชีวิตคนมาล้อเล่น” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อว่า “เบื่อหน่ายอย่างนั้นหรือ…”
น้ำเสียงของนางหยุดลง มองไปยังความว่างเปล่า เฮยอู๋ฉังปรากฏตัวด้วยสีหน้าเป็นกังวล ทรุดตัวลงกอดขาของนาง “นายท่านช่วยด้วย ข้าจะแย่แล้ว!”