คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 934 ส่งวิญญาณที่ล่วงลับกลับชาติไปเกิด
ตอนที่ 934 ส่งวิญญาณที่ล่วงลับกลับชาติไปเกิด
Ink Stone_Romance
เมื่อฉีจวี่เหรินเห็นไฟในมือนางแผดเผากระดูกชิ้นนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไป ตอนนั้นที่หมู่บ้านถูกกวาดล้าง ต้นซิ่งอายุร้อยปีถูกน้ำมันตะเกียงราดมากที่สุด แต่กระดูกชิ้นนั้นแม้จะถูกเผาก็ไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นฉินหลิวซี กลับถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
ไฟนี้…
ฉีจวี่เหรินโอบหลานชาย สายตามีความหวาดกลัว แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไปก็หยุดลงอีกครั้ง
เขามีสิทธิ์อะไรไปกลัว คนอย่างเขาดื้อรั้นและเห็นแก่ตัว แม้ว่าจะกลับไปเกิดใหม่ก็คงเป็นได้เพียงสัตว์เดรัจฉานกระมัง
ฉีจวี่เหรินหัวเราะเยาะตัวเอง
“หลังจากที่หมู่บ้านซิ่งฮวาถูกกวาดล้าง เจ้าได้รับกระดูกพุทธะชิ้นนี้ มีความสามารถเดินเตร็ดเตร่ในโลกนี้ได้ด้วยตัวเอง ไม่มีไต้ซือมาพบเข้าบางหรือ” ฉินหลิวซีถามเขา
ฉีจวี่เหรินกล่าวว่า “เป็นเวลาห้าสิบปีแล้ว เหตุใดจะไม่เคยเจอ เพียงแต่ข้าเดิมทีก็ไม่ได้ออกจากหมู่บ้าน โอกาสที่จะได้พบกับพระภิกษุหรือนักพรตก็มีจำกัด แม้ว่าจะได้พบแล้วแต่การฝึกบำเพ็ญก็ยังไม่เข้าขั้น ไม่ได้ทำอันตรายกับข้ามากนัก มีสองคนที่แข็งแกร่ง ก็ถูกข้า…”
เขายังเอ่ยไม่จบ แต่ฉินหลิวซีก็เข้าใจแล้ว ถูกเขาฆ่าตาย
“เจ้านี่มันก่อกรรมทำเข็ญจริงๆ!” ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม
ฉีจวี่เหรินยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าแค่อยากจะรักษาความเงียบสงบเหมือนอย่างที่ผ่านมา ชาวบ้านอยู่ร่วมกัน แต่ที่แท้กลับกลายเป็นเพียงความปรารถนาของข้าฝ่ายเดียว”
เขามองดูชาวบ้านที่สับสนอยู่ข้างหลัง สีหน้ารู้สึกผิด เอ่ยว่า “พวกเราได้ตายไปห้าสิบปีแล้ว ยังจะไปเกิดใหม่ได้หรือไม่”
“หลังจากสวดส่งดวงวิญญาณ ข้าจะเปิดประตูวิญญาณส่งพวกเจ้าไป แต่ในบรรดาพวกเจ้า บาปกรรมที่เคยทำ เมื่อไปถึงกระจกส่องกรรม จะต้องได้รับการชำระ จะไปเส้นทางไหน ล้วนขึ้นอยู่กับว่าพวกเจ้าแบกรับบาปกรรมไว้มากน้อยเพียงใด”
ฉีจวี่เหรินถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินเช่นนี้
“เจ้ากับท่านอาจารย์เหยียนรู้จักกันจริงๆ หรือ”
ฉีจวี่เหรินพยักหน้า “ตอนที่หมู่บ้านถูกกวาดล้าง ข้าได้รับกระดูกโบราณแปลกๆ ชิ้นนั้นที่ใต้ต้นซิ่งเก่าแก่ กลายเป็นคนตายที่มีชีวิต และสถานที่แห่งนี้ ตอนที่กวาดล้างหมู่บ้านได้ถูกวางค่ายอาคม ดังนั้นพวกเราหนีออกไปไม่ได้ หลังจากตายไปแล้ว ดวงวิญญาณก็ทำได้เพียงเร่ร่อนอยู่ที่นี่ด้วยกัน ข้าแค้นมาก อยากจะให้ทุกอย่างกลับไปสู่ช่วงเวลาที่สงบสุขอีกครั้ง วันต่อมาข้าก็พบว่า ได้กลับไปตอนที่หมู่บ้านยังไม่ได้ถูกกวาดล้างจริงๆ ทุกอย่างก็เหมือนเดิม สงบสุข กระทั่งน่าพึงพอใจกว่าเมื่อก่อน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่พระอาทิตย์ตกดิน ก็จะกลับไปสู่ช่วงเวลาที่หมู่บ้านถูกกวาดล้าง เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
ฉินหลิวซีมองไปยังดินแดนแห่งความตายนี้ ค่ายอาคมได้หายไปนานแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเป็นการก่อกวนของกระดูกพุทธะหรือไม่ ทำให้ดินแดนแห่งความตายนี้กลายเป็นการเวียนว่ายตายเกิดอย่างไร้ขีดจำกัด ตอนนี้กระดูกพุทธะไม่มีอยู่แล้ว ที่นี่จึงกลายเป็นความเงียบงัน
“ความจริงแล้วข้าก็หวาดหวั่นเล็กน้อย แต่ข้าทำใจทำลายวงจรนั้นไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นของปลอม แต่ก็ยังดี หลังจากที่สังหารขุนนางสุนัขกับนักพรตผู้นั้นแล้ว ส่วนใหญ่ข้าก็จะอยู่ในหมู่บ้าน ใช้พลังนี้รักษาวงจรเอาไว้ และยิ่งพวกเราวนเวียนอยู่ในวงจรนี้มากเท่าไหร่ ข้าก็รู้สึกว่าพลังของข้าแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ข้าสามารถปิดบังจากผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย ภาพลวงตาที่ข้าสร้างขึ้นก็ไม่มีใครทำลายได้ แม้ว่าจะมีพระภิกษุหรือนักพรตผ่านมาที่นี่ เมื่อมองออกแล้ว ก็มีเพียงตายด้วยน้ำมือของข้าเท่านั้น” ฉีจวี่เหรินเอ่ย “และเมื่อข้าออกไปข้างนอก ตราบใดที่ข้าร่ายคาถา พวกเขาก็จะเห็นด้วยและเชื่อในคำพูดของข้า โดยคิดว่าสิ่งที่ข้าพูดคือสิ่งที่พวกเขารู้”
“ดังนั้นที่เจ้ากับท่านอาจารย์เหยียนได้ไปสอบชดเชยด้วยกัน ก็เป็นเรื่องโกหก?”
“ข้าเป็นจวี่เหรินแล้ว จะไปสอบอีกทำไมกัน ข้าเพียงแค่รู้จักพวกเขา แต่งเรื่องที่คิดว่าตัวเองเป็นสหายร่วมชั้นกันขึ้นมา” ฉีจวี่เหรินมองไปยังเหยียนฉีซานที่ยังคงสับสน ก่อนจะเอ่ยว่า “แต่คิดไม่ถึงว่าข้ากับพวกเขาจะมีช่วงเวลาที่ดีที่ได้พูดคุยกัน โดยเฉพาะจ้งชิง พวกเราได้กลายเป็นสหายสนิทกันจริงๆ”
“แต่เจ้าฆ่าเขา!”
“ข้าไม่ได้ทำ!” ฉีจวี่เหรินส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ฆ่าเขา ตอนที่ข้าพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาก็ได้ตกลงไปในส้วมแล้ว เพียงแต่ดวงวิญญาณยังคงอยู่ที่นี่ ผู้ชันสูตรศพกับหมอต่างก็บอกว่าเขาดื่มมากเกินไปจนหยางในตับพุ่งขึ้นสูง จึงได้เป็นลมล้มลง”
เถิงเจาเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “บางทีอาจเป็นเพราะพลังขุ่นเคืองที่นี่ค่อนข้างรุนแรง พลังชั่วร้ายพัวพันร่างกาย จึงได้ทำให้เขาเกิดอุบัติเหตุ อย่างไรเสียท่านก็ไม่ใช่คน หากเห็นเขาเป็นสหาย ก็ควรจะรู้ว่าคนกับผีมีเส้นทางที่แตกต่างกัน ไม่ควรเชิญเขามาดื่มสุรา ดอกไม้ที่เห็นในเมฆหมอกนั้นไม่ใช่ดอกไม้ ท่านคิดว่าสิ่งที่ดื่มคือสุรา แต่ความจริงคืออะไรนั้น ท่านไม่รู้เลยจริงๆ ของปลอม สุดท้ายก็เป็นของปลอม และท่านที่เป็นคนอยู่ในภาพลวงตานี้ ความจริงแล้วท่านไม่เต็มใจที่จะยอมรับก็เท่านั้น ดังนั้นท่านไม่ได้ฆ่าเขา แต่ท่านทำให้เขาต้องตาย เป็นสหายกับท่านช่างโชคร้ายเสียจริง!”
หลังจากที่ฉีจวี่เหรินได้ฟังคำพูดเหล่านี้ ดวงวิญญาณที่อ่อนแออยู่แล้วก็ยิ่งอ่อนแอมากกว่าเดิม อ้าปากแล้วก็ปิดปากไป สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวอะไร
ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ตระกูลเหยียนเคยส่งนักพรตมาหรือไม่”
กลับไม่ได้ส่งคนมาสวดส่งวิญญาณในสถานที่ที่เสียชีวิต?
ฉินหลิวซีเอ่ยกับเถิงเจาว่า “เจ้าเตรียมตัวสวดส่งวิญญาณเถิด”
นางเดินไปหาเหยียนฉีซาน ไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา เขาก้มหน้าเล็กน้อย สับสนและเหม่อลอยอยู่บ้าง
“ท่านอาจารย์เหยียน”
เหยียนฉีซานเงยหน้าขึ้น มองดูนาง ดวงตาไม่ชัดเจน
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว วาดยันต์ตรึงวิญญาณ เสกไปที่ศีรษะของเขา
ดวงวิญญาณของเหยียนฉีซานกลับมาชัดเจนมากยิ่งขึ้น มองฉินหลิวซี กะพริบตา “เจ้าคือ…”
“ข้าคือฉินหลิวซี พวกเรายังเคยได้เจอกันเมื่อปีที่แล้ว ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ท่านดื่มสุราแล้วไปห้องส้วม” ฉินหลิวซีเอ่ยถาม
“ดื่มสุรา? ข้าจำไม่ได้แล้ว” เหยียนฉีซานมองไปรอบๆ “ที่นี่คือที่ไหน ข้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
“ที่นี่คือเมืองซิ่งฮวา ท่านเสียชีวิตแล้ว”
เหยียนฉีซานตกตะลึง มองมา “เจ้าบอกว่าข้าเสียชีวิตแล้ว?”
“ใช่แล้ว เสียชีวิตได้หนึ่งเดือนกว่าแล้ว”
ดวงวิญญาณของเหยียนฉีซานอ่อนแอลง ปากเอ่ยพึมพำอะไรบางอย่าง
ฉินหลิวซีรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แม้ว่าจะมีความสับสนของผีที่พึ่งตายอยู่บ้าง แต่นางได้เสกยันต์ตรึงวิญญาณให้กับเขาแล้ว ดวงวิญญาณควรจะมั่นคงจึงจะถูก แต่เขายังคงมีท่าทางสูญเสียดวงจิตและมึนงง
แต่อย่างไรก็ตามสามจิตเจ็ดวิญญาณของเขาล้วนอยู่ครบ ท่าทางเช่นนี้ ราวกับสูญเสียความทรงจำบางอย่างไป
มันหายไปก่อนที่จะเสียชีวิต หรือว่าหายไปตอนที่เสียชีวิตแล้ว
ฉินหลิวซีรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย ตอนที่เจอกันเมื่อปีที่แล้ว ทุกคนพูดคุยกันอย่างมีความสุข ตอนนี้เมื่อได้เจอกันอีกครั้ง คนกับผีอยู่กันคนละเส้นทาง และอีกฝ่ายถึงขั้นแม้แต่นางก็จำไม่ค่อยได้แล้ว
“ท่านยังจำถังจื่อสือได้หรือไม่ เขาเสียใจมากที่มาส่งท่านไม่ได้ หวังว่าชาติหน้าจะได้เป็นสหายกันอีก”
ดวงตาของเหยียนฉีซานเริ่มจับจ้อง กล่าวว่า “จื่อสือ…ดูเหมือนว่าข้าจะลืมบางสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากไปแล้ว กำลังพูดอยู่กับใครนะ”
ฉินหลิวซีคิ้วกระตุก คิดอยู่ครู่หนึ่ง นำดวงวิญญาณของเขาใส่ลงไปในขวดหยกหล่อเลี้ยงวิญญาณ จากนั้นจึงได้เดินไปหาเถิงเจา
“พวกเราช่วยสวดส่งดวงวิญญาณให้พวกเขากันเถิด”
อาจารย์และลูกศิษย์นั่งขัดสมาธิ เริ่มท่องบทสวดขจัดทุกข์ บทสวดเรียบง่ายถูกส่งผ่านด้วยพลังภายใน ตกลงสู่แท่นวิญญาณของดวงวิญญาณทุกข์ทรมานทุกตน ขจัดความคับข้องใจที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ฉินหลิวซีหยิบกองยันต์สีเหลืองออกมา โปรยขึ้นไปกลางอากาศ ก่อนที่จะติดไฟขึ้นมาเอง
พลังแค้นกำลังสลายไป ประตูวิญญาณเปิดออก บางคนเดินไปตามแสงสว่าง ก้าวผ่านประตูวิญญาณ มุ่งหน้าสู่เส้นทางการเวียนว่ายตายเกิดอย่างแท้จริง
ฉีจวี่เหรินโค้งคำนับฉินหลิวซีและเถิงเจาอย่างเป็นทางการ อุ้มหลานชายแล้วเดินเข้าไป
แสงทองแห่งบุญกุศลโบยบินไปหาอาจารย์และลูกศิษย์
เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่าง ต้นซิ่งเล็กๆ ก็งอกขึ้นมาจากดินแดนแห่งความตายนี้ นั่นเป็นความหวังใหม่