คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 937 อัญเชิญเทพไปที่ศาลประจำเมือง
ตอนที่ 937 อัญเชิญเทพไปที่ศาลประจำเมือง
เจ้าสำนักถังกำลังเดินอยู่นอกห้องตำรา เมื่อเห็นสองคนปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศพลันตกใจ แต่ก็กลับมาสงบนิ่งในไม่ช้า
เขาตั้งสติ ก้าวเข้าไปข้างหน้า เห็นฉินหลิวซี จึงขมวดคิ้วพลางเอ่ย “เหตุใดสีหน้าเจ้าจึงดูแย่ขนาดนี้”
“ใช้พลังวิญญาณมากไปหน่อย” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อไปว่า “ข้าพาท่านอาจารย์เหยียนกลับมาแล้ว พวกเราไปคุยกันที่อื่นเถิด”
เจ้าสำนักถังสีหน้าดีใจ
กลุ่มคนย้ายไปที่อีกเรือนหนึ่ง เข้าไปในที่ร่มเย็น จากนั้นฉินหลิวซีก็ได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง เจ้าสำนักถังรู้สึกสับสนเล็กน้อย “ฉีจวี่เหริน ข้ารู้จักคนผู้นี้ด้วยหรือ”
รู้จักหรือไม่นั่นไม่สำคัญอีกต่อไป
ฉินหลิวซีเปิดตาทิพย์ให้เขา จากนั้นก็ได้ปล่อยเหยียนฉีซานออกมาจากขวดหยกหล่อเลี้ยงวิญญาณ ทันทีที่เจ้าสำนักถังเห็นดวงวิญญาณของสหายเก่า น้ำตาก็ไหลออกมา
สัญญาไว้แล้วว่าจะเขียนบันทึกร่วมกัน เหตุใดจึงได้จากไปก่อน
เจ้าสำนักถังทั้งบ่นและรู้สึกน้อยใจสหายเก่า มากไปกว่านั้นคือความรู้สึกเจ็บปวดใจและทำใจไม่ได้ แม้ว่าพวกเขาจะอายุเกินห้าสิบปีในปีนี้ ก้าวเข้าสู่ประตูวิญญาณไปแล้วหนึ่งข้าง แต่เมื่อจากกันคนละโลกขึ้นมาจริงๆ คนและผีเส้นทางแตกต่างกัน จะไม่ให้เจ็บปวดได้อย่างไร
เหยียนฉีซานมองเขา เผยให้เห็นรอยยิ้ม “เหล่าถัง ข้าตายแล้ว”
เจ้าสำนักถังหลั่งน้ำตาอีกครั้ง นี่มันไม่ตลกเลย เจ้ามันตาเฒ่าไม่รักษาคำพูด
เขาบ่นพึมพำต่างๆ นานา เหยียนฉีซานก็เพียงแต่ยิ้ม ราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยขึ้นมาอีกว่า ‘แบบร่าง’
“วางใจเถิด เจ้าไม่อยู่แล้ว ข้าก็ยังจะเขียนต่อไป ให้ทุกคนได้จดจำตาเฒ่าอย่างเจ้า” เจ้าสำนักถังปาดน้ำตาอีกครั้ง
หนึ่งชั่วยามต่อมา
ฉินหลิวซีส่งดวงวิญญาณเหยียนฉีซานจากไป ด้วยแสงสีทองแห่งบุญกุศลที่เฟิงปั๋วมอบให้ และชาตินี้เขาก็เป็นปัญญาชนที่ประพฤติตนอยู่ในคุณธรรม สอนความรู้แก่ผู้คน และมีบุญกุศลนับไม่ถ้วนติดตัว ในภายภาคหน้ายังคงได้ไปเกิดในที่ที่ดีอย่างแน่นอน
หลังจากส่งเหยียนฉีซานไปแล้ว เจ้าสำนักถังยังคงโศกเศร้าเล็กน้อย เอ่ยกับฉินหลิวซีว่า “อีกสองวันข้าจะไปจุดตะเกียงนิรันดร์ให้เขาที่อารามเต๋าด้วยตัวเอง”
“อืม”
เรื่องจบลงแล้ว ฉินหลิวซีจึงไม่ได้อยู่ที่ตระกูลถังต่อ แต่ก็ไม่ได้กลับจวน นางไปที่ร้านเฟยฉางเต๋า กระโจนเข้าไปนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญอยู่ในห้องเต๋า จนกระทั่งได้รับข่าวจากชิงหย่วนในวันรุ่งขึ้น ทางด้านอำเภอหนานได้ส่งคนมาอัญเชิญเทวรูป ขอให้ฉินหลิวซีกลับไปเป็นผู้นำ
เหนียนโหย่วเหวยพึ่งจะได้รับตำแหน่ง มีเรื่องมากมาย ไม่สามารถมาด้วยตัวเองได้ จึงได้ส่งจงหลิงที่ปรึกษาคนสนิทมาจัดการเรื่องนี้ ก็นับว่าให้ความสำคัญ
ฉินหลิวซีเหลือบมองจงหลิง จึงรู้ว่าเหตุใดเหนียนโหย่วเหวยจึงได้ดึงคนผู้นี้มาเป็นที่ปรึกษาข้างกาย ซื่อสัตย์ ฉลาด มีไหวพริบ ปรับตัวได้ทุกสถานการณ์ ตื่นตัวเป็นอย่างมาก คุณสมบัติเหลือเฟือที่จะเป็นที่ปรึกษา
จงหลิงก็ได้ยินเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของอารามชิงผิงจากใต้เท้าของตัวเองมานานแล้ว โดยเฉพาะท่านเจ้าอาวาสน้อยอย่างฉินหลิวซีผู้นี้ ยิ่งเป็นปรมาจารย์เต๋าที่มีวิชาเต๋าล้ำเลิศ หากได้รับคำแนะนำสักเล็กน้อย จะโชคดีเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นเขาจึงให้ความเคารพฉินหลิวซีเป็นอย่างมาก ตอนที่อัญเชิญเทพก็ได้บริจาคเงินจำนวนหนึ่งเป็นค่าน้ำมันตะเกียงด้วยความจริงใจ ภาพนั้นสวยงามเป็นอย่างมาก
มีฉินหลิวซีเป็นผู้นำ อัญเชิญเทพอย่างราบรื่น เทวรูปถูกห่อด้วยผ้าไหมสีแดงยกขึ้นไปบนรถม้ามุ่งหน้าไปยังอำเภอหนาน
และการเดินทางครั้งนี้ ฉินหลิวซีไม่เพียงแต่พาเถิงเจาไป ซ้ำยังพาซานหยวนไปด้วย อย่างไรเสียเมื่อไปถึงศาลประจำเมือง ก็จะต้องทำพิธีเบิกเนตร
ระหว่างทางไปอำเภอหนาน ฉินหลิวซีนั่งขัดสมาธิฝึกฝนวิชาอยู่ตลอด ฉากนี้อยู่ในสายตาของเด็กน้อยทั้งสองคน ซ้ำยังกระตุ้นความทะเยอทะยานที่อยากจะก้าวหน้า ก็แค่นั่งสมาธิไม่ใช่หรือ จัดไป!
ดังนั้น ที่ปรึกษาจงที่เดิมทีอยากจะสนทนาสานสัมพันธ์กับนักพรตเต๋าตัวน้อยเหล่านี้ เมื่อเห็นพวกเขาพากันฝึกวิชาลึกลับ จึงหยุดความคิดนั้นไปอย่างเงียบๆ จนกระทั่งไปถึงอำเภอหนาน
เหนียนโหย่วเหวยไปต้อนรับกลุ่มของฉินหลิวซีที่หน้าประตูเมืองด้วยตัวเอง
“ใต้เท้าเหนียน” ฉินหลิวซีคำนับตามธรรมเนียมเต๋า
เหนียนโหย่วเหวยยิ้มพลางคำนับกลับ “ท่านเจ้าอาวาสน้อยเดินทางมาไกล ข้ารู้สึกผิดที่ไม่ได้ไปรับด้วยตัวเอง”
ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ “ใต้เท้าเป็นขุนนางแล้ว คำพูดของขุนนางก็ได้ฝึกใช้แล้ว”
“เสียมารยาทแล้ว” เหนียนโหย่วเหวยเอ่ยว่า “ข้ากับท่านเจ้าอาวาสน้อยนับว่าเป็นคนคุ้นเคยแล้ว พวกเราคุยกันสบายๆ ดีกว่าหรือไม่”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “ใต้เท้าเหนียนเชิญตามสบาย”
“ดีเลย ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว การเบิกเนตรเทวรูปก็ต้องรอเป็นวันพรุ่งนี้ ดังนั้นข้าจึงได้เตรียมงานเลี้ยงต้อนรับท่านเจ้าอาวาสน้อยไว้แล้ว เชิญทางนี้” เหนียนโหย่วเหวยเชิญนางขึ้นรถม้า มุ่งหน้าไปที่ที่ว่าการอำเภอ
เหนียนโหย่วเหวยจัดเตรียมให้ฉินหลิวซีและคนอื่นๆ พักอยู่ที่ที่ว่าการอำเภอ ประการแรกเพื่อแสดงถึงความใกล้ชิดและความสำคัญ ประการที่สองอยากจะให้เจ้าตัวน้อยที่จวนได้คำนับฉินหลิวซีสักหน่อย เพื่อความเป็นสิริมงคล
ฉินหลิวซีก็ไม่ได้หักหน้าเขา เด็กน้อยยังเด็กอยู่ ก็ไม่ได้มีโหงวเฮ้งอะไร แต่ก็ได้มอบยันต์คุ้มภัยให้พกติดตัวไว้ ซ้ำยังลูบศีรษะขอสวรรค์จงประทานพรให้ไม่มีที่สิ้นสุด
แค่นี้ก็ทำให้เหนียนโหย่วเหวยมีความสุขมากแล้ว
หลังจากเลี้ยงฉลองอย่างสนุกสนาน ฉินหลิวซีก็ได้ถามเขาว่าเหตุใดจู่ๆ จึงได้คิดที่จะฟื้นฟูศาลประจำเมืองขึ้นมาอีกครั้ง
เหนียนโหย่วเหวยได้ฟังดังนั้นก็วางถ้วยชาในมือลง ลดเสียงเบาลงเป็นพิเศษ เอ่ยว่า “บอกไปท่านอาจจะไม่เชื่อ…”
“หืม?” ฉินหลิวซีหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “หากเจ้าอยากจะเล่าเรื่องวิถีการเป็นขุนนาง ข้าอาจจะมีประสบการณ์น้อย แต่หากพูดถึงเรื่องประหลาดที่ไม่น่าเชื่อ นักพรตในเสวียนเหมินอย่างข้า มีอะไรบ้างที่ไม่เคยเจอ”
เหนียนโหย่วเหวยยิ้มอย่างลำบากใจ เอ่ยว่า “ก็จริง ความจริงแล้วก็เป็นเพราะความฝัน”
ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว ฝัน?
“ช่วงหนึ่ง ข้าฝัน ในฝันมีเสียงบอกให้ข้าบูรณะศาลประจำเมืองขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็อัญเชิญเทวรูปกลับมา จะช่วยปกป้องให้แผ่นดินสงบสุข ราษฎรกินดีอยู่ดีมีสุข”
“เจ้าก็เลยเชื่อหรือ”
เหนียนโหย่วเหวยยิ้มอย่างขมขื่น “ความจริงแล้วหากไม่เคยประสบกับคำแนะนำของท่านที่อารามชิงผิงเมื่อก่อนหน้านี้ ซ้ำยังมีเรื่องของสหายเหลย ข้าก็คงไม่เก็บมาใส่ใจมากนัก แต่เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น ก็ย่อม… ท่านไม่ต้องถามว่าเชื่อหรือไม่ ตอนนี้ข้าเป็นผู้ศรัทธาของอารามชิงผิงแล้ว ครอบครัวของข้าก็บูชาเทวรูปเล็กของเจ้าลัทธิเต๋า อีกอย่าง ความฝันนี้ ข้าฝันติดต่อกันสามวัน เป็นเวลาเดียวกัน คำพูดก็เหมือนกันทุกคำ ท่านว่าข้าจะกล้าไม่เชื่อหรือ”
ฉินหลิวซีเคาะโต๊ะเบาๆ
“หลังจากที่ข้าเข้ารับตำแหน่งก็ได้ทำความเข้าใจแล้ว ในเขตอำเภอหนานไม่ได้มีวัดวาอารามที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษ มีวัดผู่กวงที่ควันธูปพอใช้ได้ แต่ที่แห่งนั้นเป็นวัดทางศาสนาพุทธ ซ้ำยังมีแม่ชี ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสตรีไปที่นั่น แต่ไม่มีอารามเต๋า ในเมื่อเทพเจ้ามาเข้าฝัน เช่นนั้นก็บูรณะศาลประจำเมืองขึ้นมาใหม่อีกครั้ง อัญเชิญเทพเจ้าลงมา ราษฎรมีที่ยึดเหนี่ยว ข้าคิดว่าก็เป็นการฝากฝังอย่างหนึ่ง ก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน”
เหนียนโหย่วเหวยจิบชาพลางเอ่ยเสริมอีกว่า “ข้าได้หาผู้ดูแลศาลไว้เรียบร้อยแล้ว หากศาลประจำเมืองควันธูปเจริญรุ่งเรือง ทุกปีก็จะทำเหมือนกับอารามชิงผิง เอาค่าน้ำมันตะเกียงมาทำความดีสั่งสมบุญกุศล ปกป้องผืนน้ำผืนดินของราษฎร ราษฎรอยู่ดีมีสุขเหมือนดั่งความฝัน และไม่ผิดต่อบ้านเกิดที่ข้าได้ทำผลงานในฐานะขุนนาง”
ฉินหลิวซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าเหนียนประเสริฐยิ่งนัก เรื่องศาลนั้นสามารถสนับสนุนได้ แต่อย่าเสนอออกนอกหน้า ในฐานะขุนนาง หากต้องการปกป้องราษฎรทำผลงาน จะต้องมีความมั่นคง ทำตัวติดดินเพื่อสวมบทบาท ลงมือปฏิบัติจริง ไม่ใช่การพึ่งพาอาศัยเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรเสียคนลงมือทำแต่ความสำเร็จขึ้นอยู่กับสวรรค์ พัฒนาวัดวาอาราม สำหรับอาณาจักรและราษฎรอาจไม่ใช่เรื่องดี”
เหนียนโหย่วเหวยรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ลุกขึ้นคำนับฉินหลิวซี “ท่านเจ้าอาวาสน้อยจึงจะเป็นผู้ประเสริฐที่ใส่ใจใต้หล้าอย่างแท้จริง ข้านับถือ”