คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 942 มักมีคนอยากบีบบังคับให้ข้าอาบัติ
ตอนที่ 942 มักมีคนอยากบีบบังคับให้ข้าอาบัติ
ฉินหลิวซีพาพวกเฮยซากลับมายังอารามเต๋า เฮยซาเพิ่งจะมาได้ไม่นานก็กลับไปยังป่าวั่นไหวอีกครั้ง ภูตภูเขาใช่หรือไม่เล่า ก็ต้องอยู่ในป่าสิถึงจะเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่
เซินเซินเดินตามหลังฉินหลิวซีอย่างองอาจมาดมั่น แอบสังเกตคนรอบตัวด้วยหางตา ใบหน้าภาคภูมิใจ ถ้าด้านหลังมีหางก็คงยกชูขึ้นแล้ว
“ทำตัวเป็นคนเสียบ้างเถิด” ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา ทนดูไม่ได้จริงๆ
เซินเซินยิ้มหวาน เอ่ย “ข้าก็ทำตัวเป็นคนอยู่ตอนนี้ไงเล่า”
ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ ตามหาชิงหย่วน ออกคำสั่ง “ทำใบอนุญาตบวช[1]ให้เขา ตั้งฉายาเต๋าว่าเสวียนอวี้”
ชิงหย่วนมองดูคนรูปร่างขาวอวบราวกับหยกผู้นี้ สายตาสะดุดที่ผมยาวสีม่วงดำซึ่งมัดไว้ลวกๆ ด้วยหญ้า กะพริบตาปริบๆ เอ่ยถาม “ลักพาตัวเด็กมาจากที่ใดหรือ”
“เก็บมาจากในป่า” ฉินหลิวซีเอ่ยตอบ
เซินเซินยืดอก เอ่ย “นักพรตชิงหย่วน ต่อไปก็รบกวนท่านแล้ว”
“อ้า เอ้อ” ชิงหย่วนรู้สึกแปลกมาก
ฉินหลิวซีพาเขาไปแนะนำตัวกับคนอื่นๆ สำคัญคือเพื่อให้รู้จักหน้าค่าตา จากนี้ไปเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของอารามเต๋า ใช้ฉายาทางเต๋ารุ่นเดียวกับพวกเถิงเจา
เรื่องนี้ เซินเซินพยายามโต้แย้งเล็กน้อย “อย่างไรข้าก็เป็นบรรพบุรุษที่บำเพ็ญมาหลายพันปี จะให้ข้าเป็นรุ่นเดียวกับพวกเขาได้อย่างไร ไม่ถูกต้องแล้ว”
“เจ้าเป็นบรรพบุรุษของผู้ใด” ฉินหลิวซีหรี่ตามองเขา “ตามหลักแล้ว ข้าเพิ่งอายุไม่ถึงยี่สิบ เจ้าเป็นบรรพบุรุษของข้าด้วยหรือ”
เซินเซินตกใจ ยิ้มเขินอาย “ผู้ใดจะกล้า ท่านเป็นผู้อาวุโสของข้าต่างหาก”
ฉินหลิวซีส่งเสียงหึเบาๆ “จะใช้ชื่อเสวียนอวี้หรือจะใช้ฉายาทางเต๋าเป็นหยกกลมโตก็แล้วแต่เจ้า”
อย่างไรล้วนเป็นโสมพันปีทั้งนั้น
เซินเซินจะทำอะไรได้ เสวียนอวี้ก็คงดูดีกว่าหยกกลมโต อันหลังนี้ฟังแล้วอย่างกับเด็กเล็กๆ ผู้หนึ่ง
แต่พอเขามองดูร่างกายของตนเองแล้ว กลับรู้สึกว่าเขาเสียความน่าเกรงขามไป การเปลี่ยนร่างเป็นเด็กอายุสิบขวบมันดูน้อยเกินไป ถ้าเปลี่ยนร่างเป็นอายุพอๆ กับสุนัขจิ้งจอกพันปีนั้นล่ะก็ คงหล่อไม่แพ้กันเลย
เขาคิดผิดแล้ว
การได้ใบอนุญาตบวชให้กับเซินเซินก็เพื่อให้เขามีสถานะทางโลก เพื่อความสะดวกในการใช้ชีวิตในโลกมนุษย์ ไม่เช่นนั้นหากเป็นคนไร้ที่มาที่ไป ไปที่ใดก็ไม่สะดวก ในเมื่อเป็นคนแล้ว ก็ต้องมีสถานะที่ถูกต้อง
ได้ใบอนุญาตบวชแล้วฉินเซินเซินก็อารมณ์ดีขึ้นมา ตามฉินหลิวซีกลับเมือง แวะไปยังร้านเฟยฉางเต๋า ก่อนกลับไปยังบ้านตระกูลฉิน
ฉินหลิวซีมอบหมายให้ฉินเซินเซินเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบมนุษย์ จากนั้นช่วยดูแลสวนสมุนไพร ปลูกยา อย่างไรเขาก็เป็นสมบัติล้ำค่าจากธรรมชาติ การดูแลสมุนไพรเหล่านี้ถือว่าเหมาะสมที่สุด
“เจ้ามีจิตใจบริสุทธิ์ ทว่าก่อนหน้านี้ในป่าวั่นไหวเจ้ามีความเคลื่อนไหวไม่น้อย เกรงว่าคงมีคนบางกลุ่มที่อยากค้นหาเจ้า ถ้าโดนจับไป เจ้าก็จะสูญเสียโอกาสในการเป็นมนุษย์เปล่าๆ” ฉินหลิวซีเตือน “ดูแลสวนสมุนไพรและฝึกฝนตนเองให้ดี ระวังตัวไว้”
“อ้อ” เซินเซินห่อเหี่ยวเล็กน้อย
ฉินหลิวซีเอ่ยกับฉีหวง “เตรียมเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนให้เขาเถิด”
ฉีหวงยิ้มแล้วตอบตกลง ดูเซินเซินที่เริ่มกระตือรือร้นขึ้นมาอีกครั้ง ตายิ้มโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว
ในบ้านตระกูลฉิน ทุกคนรู้ว่าในบ้านของฉินหลิวซีมีเด็กหนุ่มนามว่าฉินเซินที่มีฉายาทางเต๋าว่าเสวียนอวี้เพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน แต่มีเพียงฉีหวง ฉินหมิงเยี่ยน และฉินหมิงฉุนเท่านั้นที่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา อย่างไรพวกเขาสองพี่น้องก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของปีศาจโสมน้อยอยู่แล้ว
ตอนนี้เด็กหนุ่มสามคน ไม่สิ สี่คน ที่มีอายุไล่เลี่ยกันต่างอยู่ในสวน คนอื่นๆ ล้อมปีศาจโสมน้อยพูดคุยไม่หยุด
ฉินหลิวซีมองเด็กหนุ่มที่อายุไล่เลี่ยกัน พลันนึงถึงบางสิ่งขึ้นมา ทุกคนล้วนเป็นเด็กชายทั้งนั้นนี่นา
“หลังจากช่วงไว้อาลัยสิ้นสุดแล้ว ข้าจะให้หนังสือแนะนำกับเจ้าหนึ่งฉบับ เจ้าไปเรียนที่สำนักศึกษาตระกูลอวี้ ศึกษาวิชาจากอวี้ฉังคงเถิด” ฉินหลิวซีเรียกฉินหมิงเยี่ยนมามอบหมายคำสั่ง
ฉินหมิงเยี่ยนนิ่งไปชั่วครู่ “ไปตระกูลอวี้หรือ แต่ข้าอยากเรียนรู้การสืบสวน…”
“ตระกูลอวี้เป็นตระกูลที่ปลีกตัวจากสังคมที่มีอายุเกินร้อยปี หอตำราของพวกเขามีหนังสือมากมาย ถ้าเจ้ากราบอวี้ฉังคงได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงสิบส่วน เรียนเพียงสามส่วนก็ได้รับประโยชน์มากมาย อวี้ฉังคงเป็นอาจารย์ของเจ้าก็เพียงพอแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ย “เจ้าอยากจะสืบสวน ต้องฝึกฝนการสังเกตและเรียนรู้การจับสังเกตรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และการเรียนรู้วิธีการแปลกๆ จะช่วยเพิ่มประสบการณ์ของเจ้า สำนักศึกษาตระกูลอวี้มีคนมีความสามารถมากมาย”
ฉินหมิงเยี่ยนรู้สึกสนใจ แต่เอ่ยถาม “แล้วท่านสอนข้าไม่ได้หรือ”
“สิ่งที่ข้าสามารถสอนเจ้าได้มีแค่การแพทย์และโครงสร้างของร่างกายมนุษย์ ซึ่งทั้งหมดนี้ตระกูลอวี้ก็สอนได้ เรียนรู้กว้างขึ้น สิ่งที่เจ้าทำได้ก็จะมีมากขึ้น การไปตระกูลอวี้เป็นทางเลือกที่ดี และข้าไม่มีเวลามากพอที่จะสอนเจ้า ข้าเป็นนักบวช”
“อ้อ แล้วท่านพ่อจะว่าอย่างไรขอรับ”
“เจ้าเตรียมตัวก็พอ วิชาความรู้ของเขาเทียบกับตระกูลอวี้ได้หรือ” ฉินหลิวซีเบ้ริมฝีปาก “จริงสิ รอท่านแม่กลับมาก่อนเจ้าค่อยไป นางเองใกล้จะมาถึงแล้ว”
เอ่ยถึงก็มาแล้ว เสียงพูดคุยที่ประตูทิศตะวันออกดังขึ้น ฉินหลิวซีฟังสักพัก จึงเอ่ย “พวกนางกลับมาแล้ว ไปต้อนรับเถิด”
ฉินหมิงเยี่ยนชะงักไปเล็กน้อย ไม่นานก็เข้าใจว่านางกำลังเอ่ยถึงผู้ใด เขาดึงฉินหมิงฉุนไปต้อนรับ แม้แต่เซินเซินผู้นี้ก็ไม่พลาดที่จะไปมีส่วนร่วมในความสนุก มีเพียงเถิงเจาที่ไม่ได้ไป
“ไยเจ้าจึงไม่ไป” ฉินหลิวซีเอ่ยถาม
เถิงเจาหน้าตึงเอ่ย “ท่านก็ไม่ได้ไป”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้าจะไปจัดเตรียมสมุนไพรเพื่อเตรียมปรุงยา แล้วจะตามไปทีหลัง”
“เร็วเพียงนี้เลยหรือ”
“อืม” ฉินหลิวซีมีความรู้สึกเร่งรีบ
“ข้าจะไปกับท่านด้วย”
ศิษย์และอาจารย์เดินไปยังเรือนโอสถ จัดเตรียมสมุนไพรให้เรียบร้อย เก็บใส่ตะกร้าสะพายหลัง รวมทั้งเตาเผายา ออกไปหาสถานที่ปรุงยา ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถทำได้ที่นี่ เนื่องจากยารากฐานปราณจะเรียกสายฟ้าลงมาเสริมฤทธิ์ยา ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ใหญ่โต จึงต้องหาสถานที่เงียบสงบและกว้างขวาง เพื่อให้สามารถปรุงยาได้อย่างราบรื่น
ฉินหลิวซีตัดสินใจแล้วว่าจะไปปรุงยาที่ใด
เมื่อจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางจึงไปยังเรือนหลัก เห็นสะใภ้หวังและฉินเหมยเหนียงกำลังอยู่ในบรรยากาศชื่นมื่น
และในงานเลี้ยงครอบครัวตอนค่ำ ฉินเหมยเหนียงจึงเอ่ยว่าตอนนี้นางได้สินสมรสมาทั้งหมดแล้ว กำลังหาบ้านหลังเล็ก รอพวกฉินอวี่เยียนสิ้นสุดช่วงไว้ทุกข์ก็จะย้ายออกไป
ตอนนี้คนในบ้านน้อยลง สะใภ้หวังจึงเอ่ยเกลี้ยกล่อม เจ้ากับลูกสาวสองคนอยู่คนเดียวก็คงเหงา อยู่ด้วยกันไปก่อนเพื่อช่วยดูแลกัน อนาคตหลังพ้นช่วงไว้ทุกข์คุยเรื่องออกเรือนแล้วค่อยย้ายออก ฉินเหมยเหนียงเองก็รับปากแล้ว
ฉินหลิวซีเสนอให้ฉินหมิงเยี่ยนไปศึกษาเพิ่มเติมที่สำนักศึกษาตระกูลอวี้ ซึ่งทำให้สะใภ้หวังตกใจ ตามมาด้วยความยินดี ตอบตกลงทันทีโดยไม่แม้แต่จะคิด
ฉินปั๋วหงกระแอมเบาๆ เอ่ยว่ายังเห็นเขาหัวหน้าครอบครัวผู้นี้อยู่ในสายตาหรือไม่ เขายังไม่มีท่าทีใดๆ เลยนะ
ฉินหลิวซีจึงหันมามองเขา เอ่ย “เช่นนั้นท่านว่า เขาควรไปหรือไม่”
ฉินปั๋วหงถูกจ้องมองด้วยดวงตาที่เหมือนมีแสงทองวูบผ่าน กลืนกินน้ำลาย มองไปยังฉินหมิงเยี่ยนเอ่ย “ฉังคงสกุลอวี้ก็ไม่เลว ในเมื่อพี่สาวของเจ้าแนะนำก็ต้องคว้าโอกาสไว้ให้ดี เจ้าจงเคารพครูบาอาจารย์ ระวังวาจาพูดให้น้อย ดูและเรียนรู้ให้มาก”
ทุกคนก้มหน้าลงเล็กน้อย ใช้ถ้วยบังปาก ลอบหัวเราะเบาๆ
ฉินหลิวซีมอบหนังสือแนะนำตัวให้กับฉินหมิงเยี่ยนและกำชับบางอย่างก่อนกลับไปยังเรือนโอสถ สะพายตะกร้า และพาเถิงเจาและปีศาจโสมน้อยออกเดินทาง
ณ อารามเก่าแก่บนเขา ปรมาจารย์ฟ่านคงไม่อาจตั้งสงบใจได้ เพิ่งอยากกักตัวฝึกฝน ก็เห็นราชาปีศาจน้อยที่เพิ่งไปไม่นานกลับมาอีกแล้ว ครั้งนี้พาคนมาเพิ่มอีกสอง
อมิตาภพุทธ เขาอยากผิดศีลแล้ว
1.เอกสารหรือใบอนุญาตที่ใช้ในสมัยโบราณของจีนเพื่อรับรองสถานะของบุคคลที่บวชเป็นพระหรือเข้ามาสู่ศาสนา ในสมัยโบราณ คนที่ต้องการบวชต้องได้รับการอนุมัติจากทางการ และเมื่อได้รับอนุมัติแล้ว ทางการจะออกเอกสารรับรองว่าบุคคลนั้นมีสิทธิ์ที่จะบวชเป็นพระหรือนักบวชได้