คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 943 ความตายของอาจารย์ใกล้เข้ามา
ตอนที่ 943 ความตายของอาจารย์ใกล้เข้ามา
ฟ่านคงรู้สึกปวดหัวทันทีเมื่อมองเห็นฉินหลิวซี โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่านางต้องการใช้พื้นที่เพื่อปรุงยารากฐานปราณ ศีรษะของเขาก็แทบจะแตกออกแล้ว
“ภูเขาเทียนนี้กว้างใหญ่เพียงนี้ โยมสามารถหามุมเล็กๆ ได้ไม่ยาก” ฟ่านคงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นหนึ่งประโยค
ฉินหลิวซียิ้มตาหยีพร้อมเอ่ย “ไม่ได้หรอก วัดโบราณพันปีนี้เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ ยิ่งปรุงยาก็ยิ่งสำเร็จง่ายขึ้น ยามฟ้าผ่าลงมา พระพุทธเจ้าจะเมตตาช่วยป้องกันไม่ให้ระเบิดเสียก่อน”
ฟ่านคงเข้าใจความหมายในคำเอ่ยของนาง ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ช่วย ก็คือไม่เมตตา
ใบหน้าประณีตของเขาแทบจะไม่สามารถคงความสงบเอาไว้ได้
นี่ไม่ใช่ปีศาจร้ายกลับชาติมาเกิดหรือ
“เอาล่ะ ตอนที่ยาสำเร็จ ข้าจะขูดผงยาจากขอบหม้อเล็กน้อยให้เป็นการตอบแทน” ฉินหลิวซีมองไปรอบๆ คำนวณหาทิศทางที่ดี
ฟ่านคงรู้สึกท้อแท้ ไม่ได้ให้ยาที่สำเร็จ แต่เพียงขูดผงจากหม้อ ยิ่งทำให้เขารู้สึกแย่
อมิตาภพุทธ บาป บาป
เขาไม่ได้โลภ แต่อยู่ในอารมณ์ที่ถูกทำให้โกรธ
ผิดศีลแล้ว
ฟ่านคงนั่งขัดสมาธิ ยกมือขึ้น สวดมนต์เพื่อสงบจิตใจ
ฉินหลิวซีคำนวณหาทิศที่ดีที่สุดแล้ว ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ หันหน้าไปทางที่พระอาทิตย์ขึ้น มีความหมายถึงการเริ่มต้นที่ดี
“พรุ่งนี้เราจะเริ่มตั้งกระโจม พรุ่งนี้เย็นปรุงยา” ฉินหลิวซีเอ่ยกับเหล่าเถิงเจาด้วยความยินดี
วันรุ่งขึ้น อาจารย์และศิษย์ทั้งหลายก็เริ่มเตรียมการเพื่อปรุงยา
ฟ่านคงถวายธูปหนึ่งดอกแก่พระพุทธเจ้า เคาะระฆังไม้[1]ตั้งจิตนิ่ง
ตอนเย็น ฉินหลิวซีเข้าไปในวิหารใหญ่[2] จุดธูปหนึ่งดอกกราบไหว้ด้วยความเคารพ เพียงแต่สิ่งที่นางเอ่ยออกมาไม่ได้น่าฟังนัก
นางถึงกับข่มขู่พระพุทธเจ้า
พันร้อยปีจะมีสักครั้งที่ได้พบกับนักพรตน้อยไร้ยางอายและเจ้าเล่ห์แต่กลับมีพรสวรรค์สูงมากเช่นนี้
ฉินหลิวซีเอ่ยกับฟ่านคง “หลวงพ่อรูปงาม ถ้าว่างก็มาช่วยพวกเราเถิด”
ฟ่านคง”…”
นางถึงกับหยอกล้อพระ
ฉินหลิวซียิ้มเดินออกจากวิหารใหญ่
ฟ่านคงสูดหายใจเข้าลึก เงยหน้ามองพระพุทธเจ้า สวดมนต์ “อมิตาภพุทธ พระพุทธเจ้า…”
คำเอ่ยของเขาหยุดชะงัก เขารู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นพระพุทธเจ้ามองออกไปนอกห้องด้วยความเมตตา แต่ครั้งนี้ดูเหมือนความเมตตานั้นดูเหมือนจะแฝงไปด้วยความเวทนา
ความเวทนา
ฟ่านคงมองตามสายตาของพระพุทธเจ้าไป เงาคนที่กำลังเดินออกไป ไม่นานก็หายลับไป
หัวใจของฟ่านคงเต้นเร็ว เขานั่งขัดสมาธิประสานมือสองข้างไว้บนตัก ด้วยความตั้งใจที่เต็มเปี่ยมตรงหน้าอก หลับตาลง
ฉินหลิวซีออกจากวิหารใหญ่ หันกลับไปมองอีกครั้ง คิ้วขมวด รู้สึกไม่สบายใจ แต่นางก็สลัดความคิดออกไปอย่างรวดเร็ว
การปรุงยาเริ่มขึ้น
การปรุงยาต้องใช้ความชำนาญในการจัดการกับส่วนผสม ขั้นตอนต้องถูกต้อง ต้องควบคุมไฟอย่างแม่นยำ สติและพลังจิตต้องจดจ่ออย่างมาก ไม่อาจผิดพลาดเพียงเล็กน้อย มิเช่นนั้น ยาที่ปรุงขึ้นมาก็จะเสียหายในมือทันใด
ส่วนผสมของยารากฐานปราณที่ฉินหลิวซีมีอยู่ก็มีเพียงชุดเดียว นางใช้เวลาถึงสิบปีในการรวบรวมส่วนผสมนี้ ใช้พลังงานมหาศาลกว่าจะสะสมได้ จึงไม่สามารถทำผิดพลาดได้
ดังนั้น เมื่อนางเข้าสู่ห้องปรุงยา นางจึงทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปที่การจัดการส่วนผสม วาดยันต์ยา สีหน้าที่เคร่งขรึมของนางทำให้ทุกคนรอบตัวมองอย่างอัศจรรย์ใจ ไม่มีใครกล้าผิดพลาดแม้เพียงน้อยนิด ทุกคนต่างตื่นเต้นและมุ่งมั่น
การปรุงยาไม่ใช่เรื่องง่าย ฉินหลิวซีไม่ยอมให้ตัวเองล้มเหลว
นางสร้างค่ายวิญญาณและตาข่ายพลังเพื่อป้องกันสิ่งที่ไม่คาดฝัน
ชิงหย่วนเมื่อเห็นเขาจึงรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา เอ่ยถามด้วยความยินดี “ท่านอาจารย์ ไยท่านจึงกลับมาแล้วเล่า”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนหัวเราะเอ่ย “มีบางเรื่องที่ต้องมอบหมายให้เจ้า”
เขาให้ซาหยวนจื่อไปเล่น ซาหยวนจื่อไม่ขยับ ติดตามเขาไม่ห่างทุกย่างก้าว
“คนโง่เขลา” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนถอนหายใจ ไม่สนใจเขาอีก บอกให้ชิงหย่วนเข้าไปในห้องเต๋าของตน และซาหยวนจื่อก็นั่งย่อตัวอยู่หน้าประตู สองมือเท้าคางมองท้องฟ้า
เมื่อชิงหย่วนออกมาแล้ว ก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว ใบหน้าของเขาซีดเผือด เต็มไปด้วยความวิตกกังวล สองมือมือสั่นเทา
“ท่านอาจารย์ลุง ท่านเป็นอะไรไป” ซานหยวนเดินเข้ามา
ชิงหย่วนกัดริมฝีปาก คิดจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงจากด้านหลัง เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นว่านักพรตเฒ่าชื่อหยวนยืนอยู่ที่ประตูมองเขาอยู่ ส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่มีอะไรหรอก ท่านเจ้าอาวาสกลับมาแล้ว” ชิงหย่วนเอ่ยเสียงแหบพร่า
เวลาของท่านใกล้หมดลงแล้ว
ท่านเจ้าอาวาสบอกกับเขาเช่นนี้ เขาได้คำนวณเวลาตายของตนว่าใกล้มาถึงแล้ว
แต่เจ้าอาวาสน้อยของพวกเขากลับไม่อยู่ ท่านเจ้าอาวาสยังไม่ให้บอก บอกว่าไม่มีประโยชน์ที่จะบอก ลิขิตสวรรค์ไม่อาจต่อต้าน ฝืนชะตากรรมเปลี่ยนแปลงโชคชะตา ทำให้นางต้องพบกับความลำบาก
ท่านเจ้าอาวาสยังบอกอีกว่าเขาทำเพื่อความสงบสุขของโลก
แต่เขากลับไม่คิดว่า ท่านเจ้าอาวาสน้อยจะยอมละเลยการตายของเขาหรือไม่ แม้จะต้องฝืนชะตากรรม นางก็ไม่กลัว นางกลัวเพียงว่าจะไม่สามารถช่วยชีวิตเขาได้ และเมื่อนางกลับมาแล้วเขาไม่อยู่ นางคงจะคลั่งแน่ๆ ถึงตอนนั้นจะเป็นความทุกข์ของโลกที่แท้จริง
ยิ่งชิงหย่วนคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ เขาทรุดตัวลงคุกเข่า “ท่านอาจารย์…”
ซานหยวนตกใจมากและรีบคุกเข่าตามไปด้วย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนหน้าทะมึนเอ่ย “คุกเข่าทำไมกัน ลุกขึ้น ไปทำในสิ่งที่ควรทำ จำไว้ว่าถึงแม้ข้าจะไม่อยู่ ก็ต้องทำให้อารามชิงผิงเติบโตเป็นสำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงก้องโลก เพื่อยกย่องเกียรติของชิงผิง”
ชิงหย่วนรู้สึกขมขื่น เขาคิดว่าเรื่องนี้ต้องบอกให้ฉินหลิวซีรู้ ท่านไม่อยู่ นางอาจจะเมินเฉยและแยกตัวจากไป ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเอ่ยเรื่องนี้
“ท่านอาจารย์ ท่านทำแบบนี้ไม่ได้ นางจะต้องคลั่งแน่ๆ”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเอ่ย “นางจะเข้าใจ”
ชิงหย่วนก้มหน้าลง น้ำตาไหลรินออกมา
ซานหยวนดูสับสน ตื่นตระหนกขึ้นมาในใจ พวกเขากำลังเอ่ยเรื่องใดกัน
“ข้าจะไปจุดธูปให้บรรพบุรุษ” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนไม่สนใจพวกเขา เดินไปที่วิหารด้านหน้า
ชิงหย่วนรีบลุกขึ้นและตามไป
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนจุดธูปเพื่อบูชาบรรพบุรุษ เอ่ยพึมพำ “ศิษย์คงไม่สามารถรับใช้ท่านต่อไปได้แล้ว ลูกศิษย์ผู้นั้นฝากท่านดูแลนางด้วย”
ธูปเผาไหม้ช้าๆ ปกคลุมใบหน้าของบรรพบุรุษราวกับเป็นภาพลวงตา
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนรอจนธูปหมดแล้วกลับไปยังห้องเต๋า เข้าไปในห้องลับ หยิบเครื่องรางที่สืบทอดกันมาหลายรุ่นออกมา เลือกสองชิ้น รวมถึงคทาเพชรจากนรกที่ฉินหลิวซีเคยให้ หากเขาต้องเสียสละตัวเอง เขาจะต้องมอบสิ่งนี้ให้เด็กคนนั้น เพื่อให้สองศาสนาพุทธและเต๋ามีเวลาพัฒนาเติบโตต่อไป
เขาเขียนยันต์หลายแผ่น ครุ่นคิดชั่วครู่ ใช้พลังวาดยันต์ส่งเสียงอีกหนึ่งใบ
เมื่อทุกอย่างพร้อม เขาจุดธูปบูชาบรรพบุรุษในห้องลับก่อนออกไปจากห้องลับ
หลังจากออกจากห้องลับ เขาจึงลอบเปิดเส้นทางหยินหายไปเงียบๆ
เมื่อชิงหย่วนมาหาเขาก็พบว่าไม่มีใครอยู่แล้ว แม้แต่เงาก็ไม่มี
“ท่านอาจารย์…” ชิงหย่วนรู้สึกวิตกกังวล
ซาหยวนจื่อรีบวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นเช่นนี้ก็วิ่งวนไปทั่ว เอ่ยตะกุกตะกัก “ศิษย์น้อง”
ชิงหย่วนมองเขา
“ไปหานาง”
ซาหยวนจื่อหมุนตัววิ่งไปที่ห้องของฉินหลิวซี หยิบเหรียญเต่า[3]ที่นางมักใช้ กัดนิ้วและวาดยันต์ตามหาลงบนเหรียญเต่า กำเอาไว้ในมือ เปิดเส้นทางหยินและเดินเข้าไป
[1] ระฆังไม้ เป็นเครื่องดนตรีที่ทำจากไม้ ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาของพุทธศาสนามหายาน โดยเฉพาะในการสวดมนต์หรือการสวดภาวนาในวัด มักจะมีรูปร่างคล้ายกับปลา และถูกเคาะเพื่อให้เกิดเสียงเป็นจังหวะในการสวดมนต์
[2]วิหารใหญ่ ในวัดพุทธศาสนามหายาน เป็นวิหารหลักที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์สำคัญ ซึ่งมักจะเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธรูปปางต่างๆ
[3]เหรียญเต่า เป็นเครื่องรางที่มีลักษณะคล้ายเหรียญที่มีรูปเต่าหรือสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับเต่าอยู่บนเหรียญ ซึ่งเต่าในวัฒนธรรมจีนมักเป็นสัญลักษณ์ของความยืนยาว อายุยืน และโชคลาภ ดังนั้น “龟钱” จึงถูกใช้เป็นเครื่องรางนำโชคหรือป้องกันสิ่งไม่ดีในบางบริบท