คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 945 ชีวิตของผู้คนในใต้หล้ามันเกี่ยวอะไรกับข้า
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 945 ชีวิตของผู้คนในใต้หล้ามันเกี่ยวอะไรกับข้า
ตอนที่ 945 ชีวิตของผู้คนในใต้หล้ามันเกี่ยวอะไรกับข้า
วิญญาณแตกสลายอย่างนั้นหรือ
ฉินหลิวซีรู้สึกตัวขึ้นมาในทันที จริงสิ วิญญาณล่ะ วิญญาณของชายชราล่ะ
เปลวไฟนรกดับลงในทันที
เฟิงซิวถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้ขนของเขาจะถูกเผาไหม้และวิญญาณของเขาจะบาดเจ็บ แต่เขาก็ไม่สนใจ เขามองไปยังนักพรตเฒ่าชื่อหยวนที่ไม่มีชีวิตแล้ว สายตามีความรู้สึกเศร้า เมื่อหันไปมองฉินหลิวซีที่ดูเหมือนสูญเสียวิญญาณไป เขาก็รู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งขึ้น
เขาเอาเสื้อคลุมตัวใหญ่คลุมให้ฉินหลิวซี แต่นางกลับสลัดมันออกไป ลุกขึ้นยืน กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะพนมมือ เริ่มค้นหาและเรียกหาวิญญาณของนักพรตเฒ่าชื่อหยวน
น่าเสียดายนางต้องผิดหวังแล้ว
พื้นที่ที่ถูกเปลวไฟนรกเผาผลาญกลายเป็นที่รกร้าง อย่าว่าแต่วิญญาณของนักพรตเฒ่าชื่อหยวน แม้แต่ผีเร่ร่อนสักตัวก็ไม่มี เพราะเปลวไฟอันหนาวเหน็บเมื่อครู่ได้ขับไล่ทุกสิ่งให้หนีหายไปไกลนับร้อยลี้
ตอนนี้ นอกจากเสียงลมหนาวเหน็บที่ดังก้อง ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก
ฉินหลิวซีหมดหวังแล้ว
นางหันไปมองร่างของคนที่ถูกคลุมด้วยเสื้อคลุมจากหัวจรดเท้า ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเจ็บปวดจนแทบระเบิด กระอักเลือดออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง
“ท่านอาจารย์…” เถิงเจาร้องไห้เดินเข้าหา ทว่าไม่กล้าเข้ามาใกล้
ฉินหลิวซีกัดลิ้นแรงๆ เริ่มเรียกวิญญาณ คราวนี้นางเรียกหายมทูตแห่งยมโลก
เหล่ายมทูตระดับสูงเมื่อได้ยินการเรียกของนางต่างพากันกุมขมับ หันไปมองเทพเฟิงตู ไม่ไปได้หรือไม่
เทพเฟิงตูตอบเสียงหนักแน่น “การเกิดแก่เจ็บตายคือกฎธรรมชาติ การเวียนว่ายตายเกิดคือสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นางเป็นผู้ฝึกตน ย่อมเข้าใจดี ไปเถิด”
ยมทูตผู้พิพากษาและยมทูตคิดในใจ หากท่านเอ่ยได้ไม่คลุมเครือเช่นนั้น พวกข้าก็คงจะเชื่อว่าท่านมั่นใจจริงๆ
แต่พวกเขายังต้องไปอยู่ดี เพราะอีกฝ่ายคือฉินหลิวซี
เมื่อฉินหลิวซีเห็นยมทูตผู้พิพากษาปรากฏตัวขึ้น จึงเอ่ย “อาจารย์ของข้าเล่า เจ้าเอาเขาไปใช่หรือไม่ อาศัยที่ข้ายังเอ่ยดีๆ กับเจ้า เอาตัวเขามาคืนเสีย”
ยมทูตผู้พิพากษาสะดุ้งเล็กน้อย เปิดสมุดบันทึกชีวิตและความตายออก เอ่ย “ท่าน นักพรตเฒ่าชื่อหยวนอายุขัยสิ้นสุดแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้…”
“ข้าบอกให้เอาตัวเขาคืนมา” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงดังก้อง
ยมทูตผู้พิพากษาถอยไปหนึ่งก้าว ขาที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมนั้นสั่นเทาจนไม่อาจห้ามได้ เขาเอื้อมมือไปจับไป๋อู๋ฉัง ไปเร็วสิ
ไป๋อู๋ฉังก้าวขึ้นไปอย่างกล้าหาญ เขาถือไม้ไว้ทุกข์และคำนับก่อนเอ่ย “ใต้เท้า นักพรตเฒ่าชื่อหยวนไม่ได้เข้าสู่ประตูผี”
ฉินหลิวซีสีหน้าเย็นชาในทันที
หากหัวใจของไป๋อู๋ฉังยังเต้นอยู่ ตอนนี้เขาคงสั่นกลัว ทว่ายังสารภาพอย่างตรงไปตรงมา “ท่านปรมาจารย์เป็นบุคคลที่มีบุญเจ้ามาก หากเขาเข้าสู่ประตูผีเราก็คงสามารถนำทางได้อย่างแน่นอน ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังท่าน”
ฟู่
เปลวไฟนรกสองจุดผุดขึ้นข้างเท้าของพวกเขา
ยมทูตผู้พิพากษาและไป๋อู๋ฉังตกใจจนล้มลงไปนั่งกับพื้น พวกเขายกเท้าขึ้นมา ผู้ใดช่วยพวกเขาได้บ้าง
“อมิตาภพุทธ” ฟ่านคงเอ่ยขึ้น “ท่านเจ้าอาวาสน้อย อย่าได้โกรธผู้อื่นที่ไม่มีความผิด”
ฉินหลิวซีไม่ฟังแต่อย่างใด
เฟิงซิวก้าวเข้ามาข้างหน้า เอ่ยเคร่งขรึม “พอได้แล้ว ความแค้นย่อมมีต้นตอ ท่านคิดว่าอาจารย์ของท่านตายเพราะพวกเขาหรือ การที่ท่านระบายความโกรธใส่พวกเขา มันก็เหมือนการโกรธแบบไร้เหตุผลเท่านั้น ท่านมีนิสัยเช่นนี้หรือ”
ฉินหลิวซีจ้องมองเขาด้วยความโกรธ
“ท่านเคยเอ่ยอยู่เสมอว่าผลของกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดเป็นสิ่งที่ฟ้ากำหนด ท่านมองความเป็นความตายด้วยความสงบและยับยั้งชั่งใจมาโดยตลอด แต่ไยเมื่อถึงคราวของอาจารย์ท่าน ท่านกลับมองไม่เห็นความจริงนี้แล้วเล่า ถึงแม้วิญญาณของเขาจะอยู่ที่นี่ ท่านจะสามารถยัดมันกลับเข้าไปในร่างได้หรือ เขาได้จากไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงชะตากรรมไม่ใช่สิ่งที่ท่านทำได้ ถึงทำได้เขาก็คงไม่ยอมรับ”
ต่อให้ฉินหลิวซีจะมีความสามารถเช่นนี้ นางก็ไม่อาจทำได้ การฝืนสวรรค์เปลี่ยนชะตากรรมต้องรับผลกระทบมากมาย นั่นคือการต่อสู้กับสวรรค์ การตอบโต้และเวรกรรมไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะรับได้ หากนางจะฝืนสวรรค์ นั่นคือการต่อสู้กับสวรรค์
“สิ่งที่เราต้องทำคือให้ปรมาจารย์ได้รับการฝังศพอย่างสงบก่อน จากนั้นมีแค้นแก้แค้นจึงจะถูก” เฟิงซิวเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ตั้งแต่การหายตัวไปของวั่งชวน มารเอ้อฝูซื่อหลัวได้ประกาศสงครามกับท่านแล้ว พวกท่านทั้งสองได้เข้ามาในการต่อสู้นี้แล้ว มิเช่นนั้นท่านคงไม่ทำลายกระดูกพุทธะไปถึงสองชิ้น”
และซื่อหลัว ก็จะไม่สังหารนักพรตเฒ่าชื่อหยวน
นี่คือการเล่นต่อสู้อย่างหนึ่ง
ฉินหลิวซีทำลายแผนการของเขา เขาก็ทำลายคนที่นางรัก ทั้งสองฝ่ายเล่นไปตามความสามารถของตน สุดท้ายแล้วใครจะเป็นผู้ชนะ ก็ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายใดมีความสามารถมากกว่า
ตอนนี้นางอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ แล้วซื่อหลัวจะได้เปรียบหรือ
ทั้งสองฝ่ายอาจจะเสมอกัน ต่างก็ไม่ได้ประโยชน์ ไม่สิ นางอาจจะเสียเปรียบมากกว่า เพราะนางอยู่ในที่แจ้ง ส่วนอีกฝ่ายอยู่ในที่มืด
“ไสหัวไป ไปบอกราชาเทพ หากหาเขาในโลกมนุษย์ไม่เจอ ข้าจะไปหาด้วยตัวเองในยมโลก” ฉินหลิวซีสะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชาใส่เหล่ายมทูตผู้พิพากษา จากนั้น นางก็คุกเข่าลงหน้าร่างไร้วิญญาณของนักพรตเฒ่าชื่อหยวน นักพรตนอนคว่ำลงไปกับพื้นโดยไม่ขยับเขยื้อน
ฟ้าสว่างแล้ว
แสงแดดตกกระทบบนลานนี้ แต่ไม่มีผู้ใดรู้สึกถึงความอบอุ่นเลย
ฉินหลิวซีลุกขึ้นยืน โซเซเล็กน้อย นางพยายามจะยกร่างของนักพรตเฒ่าชื่อหยวนขึ้น
“ข้าจัดการเอง” เฟิงซิวเอ่ย
ฉินหลิวซีผลักเขาออก นางยกร่างนั้นขึ้นในท่านอน ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ ราวกับคนไร้ชีวิตจิตใจ ใช้สัญชาตญาณนำพาร่างนั้นจากไป
ฟ่านคงถอนหายใจ
ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความรัก นี่คืออารมณ์ทั้งเจ็ดของมนุษย์
การจากไปอย่างกะทันหันของนักพรตเฒ่าชื่อหยวนทำให้ทั้งอารามชิงผิงอยู่ในความโศกเศร้า
ชิงหย่วนทำตามคำสั่งของนักพรตเฒ่าชื่อหยวน บอกกับฉินหลิวซีว่าหากเขาเสียชีวิต ไม่จำเป็นต้องจัดงานศพ เพียงแค่ฝังร่างของเขาที่เขาหลังอารามเท่านั้น เช่นนี้เพื่อที่เขาจะได้อยู่กับอารามชิงผิงตลอดไป
ฉินหลิวซีมองตรงไปยังเขาอย่างแข็งทื่ออยู่พักหนึ่ง “ไยจึงไม่มาหาข้า”
ชิงหย่วนเอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสบอกว่า เขาจะต้องตาย เขาไม่ต้องการให้ท่านมาพัวพันกับเรื่องนี้ และไม่ต้องการให้ท่านเปลี่ยนแปลงชะตากรรมเพื่อเขา เพื่อผู้คนในใต้หล้าทั้งหลาย เขาหวังว่าท่านเจ้าอาวาสน้อยจะเข้มแข็งขึ้น ขยันฝึกฝน และทำความดีสะสมบุญกุศล”
“ผู้คนในใต้หล้าทั้งหลายมันเกี่ยวอะไรกับข้า เขามีสิทธิ์อะไรมายัดเยียดภาระนี้ให้ข้า” ฉินหลิวซีหัวเราะเยาะ
“ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องตายไปอย่างไร้ค่าน่ะสิ” ชิงหย่วนเอ่ยด้วยความเศร้าใจ
ใบหน้าของฉินหลิวซีเย็นชาขึ้น “ใช่แล้ว เขาต้องการช่วยคนในใต้หล้า ต้องการเป็นผู้พิทักษ์เต๋า เช่นนั้นก็มาทำด้วยตัวเองสิ ไยต้องตาย แล้วทิ้งปัญหาใหญ่โตนี้ให้ข้า เขาได้จากไปโดยไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว แต่กลับทิ้งภาระอันใหญ่โตนี้ไว้ให้ข้า ทำไมกัน เพราะข้าเป็นคนโง่เง่าอย่างนั้นหรือ”
ชิงหย่วนไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด
ฉินหลิวซีมองไปยังสถานที่ที่ร่างของนักพรตเฒ่าชื่อหยวนถูกเก็บรักษาไว้ เอ่ย “ห้ามฝัง”
ชิงหย่วนเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ ตอนนี้มันก็เกือบเดือนพฤษภาคมแล้ว อากาศเริ่มร้อนขึ้น จะเก็บร่างไว้นานขนาดนี้ได้อย่างไร
ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ถ้าข้าไม่เห็นด้วย เขาก็ตายไม่ได้”
“ท่านเจ้าอาวาสน้อย…”
ฉินหลิวซีไม่ฟังคำพูดของเขา หมุนตัวไปยังห้องของนักพรตเฒ่าชื่อหยวน จากนั้นเข้าสู่ห้องลับที่ภูเขาด้านหลัง ที่นั่นมีป้ายวิญญาณและป้ายชะตาชีวิตของเจ้าอาวาสจากรุ่นสู่รุ่น
นางเดินไปยังบริเวณที่วางป้ายชะตาชีวิตของนักพรตเฒ่าชื่อหยวน ป้ายชะตาชีวิตที่ถูกจัดทำแบบพิเศษ แตกออกเป็นสองส่วนแล้ว
ฉินหลิวซีจ้องมองนิ่งสักพัก จากนั้นมายังโต๊ะเล็กๆ เห็นว่ามียันต์ส่งเสียง นางหยิบขึ้นมาและจุดไฟยันต์ส่งเสียงนั้น เสียงของตาเฒ่าดังออกมา
เอ่ยอะไรน่ะหรือ บอกว่าเขาผิดข้อห้ามของการทำนาย เขาทำนายเรื่องร้ายให้ตัวเอง บอกว่าเขาไม่กลัวชีวิตหรือความตาย ไม่มีความเสียใจ พร้อมที่จะเป็นทัพหน้านำและต่อสู้เพื่อผู้คน หวังว่านางจะยังคงรักษาจิตวิญญาณของทางสายนี้ ฝึกฝนจิตใจ กำจัดความชั่วร้ายเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง เพื่อให้อารามชิงผิงเจริญรุ่งเรือง
เหอะๆ ยิ่งใหญ่เสียจริง
เป็นนักพรตที่เอาจริงเอาจังในการกำจัดความชั่วทำความดีเสียจริง
เขาไม่เคยถามว่านางจะตกลงหรือไม่
“เด็กน้อย ทางที่เหลือ อาจารย์ไม่อาจเดินไปกับเจ้าต่อได้อีกแล้ว…”
นี่เป็นคำพูดสุดท้ายที่นักพรตเฒ่าชื่อหยวนทิ้งไว้ให้กับนาง
เนิ่นนาน ในห้องลับก็ได้ยินเสียงสบถที่กลั้นไว้ไม่ไหว “ท่านคิดจะทิ้งข้าไปอย่างนั้นหรือ อย่าหวังเลย ท่านอย่าหวังเลย”
…
ฉินหลิวซีไม่ยอมให้ฝังนักพรตเฒ่าชื่อหยวน ชิงหย่วนนึกว่านางเพียงเอ่ยเล่นๆ ไปเท่านั้น แต่ใครจะคิด ไม่รู้นางไปหาโลงศพน้ำแข็งมาจากที่ใด วางร่างอาจารย์นางลงไป พร้อมลงยันต์อาคมไม่ให้โลงศพน้ำแข็งละลาย ศพไม่เน่าเสีย
นอกจากนี้ นางยังจุดตะเกียงสวรรค์เจ็ดดวงต่อชีวิต จากนั้นก็หายตัวไป
ผู้คนต่างตกใจ เมื่อเห็นการกระทำนี้ นางไม่ยอมรับความจริงที่ว่าอาจารย์ของนางได้ตายไปแล้ว นางมุ่งมั่นที่จะนำเขากลับมา
ฉินหลิวซีออกตามหาวิญญาณของนักพรตเฒ่าชื่อหยวน ไปยังเส้นเลือดมังกรเล็กๆ ตรงนั้นก่อน สอบถามวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ในพื้นที่นั้น เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนที่นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเสียชีวิต
ยืนยันได้ว่าเขาได้พบกับซื่อหลัวจริงๆ ส่วนวิญญาณของเขาถูกควบคุมโดยฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ ยังไม่อาจบอกได้
ฉินหลิวซีตามหาวิญญาณไปเรื่อยๆ ทำเรื่องยุ่งเหยิงไปทั่วต้าเฟิง ใช่แล้ว ทำเรื่องยุ่งเหยิง
นางเรียกราชาผีทั้งสี่ออกมา ใช้วิธีบังคับให้วิญญาณที่นางควบคุมส่งข่าว ที่ใดน่าสงสัยว่ามีการฝึกฝนชั่วร้ายและพวกที่ไม่มีความสามารถแต่ทำร้ายผู้อื่น นางจะไปหาที่นั่น ผู้มีบาปกรรมจากการคร่าชีวิตผู้อื่น กำจัดให้สิ้น
ในเวลาเดียวกัน วัดหรืออารามที่สงสัยว่าจะมีการเคารพเทพชั่วร้าย ไม่ว่าจะเป็นเทพตนใด นางก็จัดการทั้งหมด
เวลาผ่านไปไม่นาน โลกมนุษย์ฝั่งผู้คนที่ยังไม่รู้เริ่มมีความหวาดกลัวและคร่ำครวญ ความกลัวเหล่านี้กระจายไปถึงภูตผู้บำเพ็ญบนเขาเหล่านั้นที่เพียงเก็บตัวเพื่อฝึกฝนก็ไม่กล้าโผล่หัวออกมา กลัวว่าจะถูกฉินหลิวซีที่เป็นราชาปีศาจจับตามอง
และเหล่าผู้ฝึกวิชามารก็ไม่กล้าออกมาด้วย ได้ยินว่าราชาปีศาจมีวิธีการโหดเหี้ยม ไม่เพียงแต่ฆ่าคน ยังทำให้วิญญาณแตกสลาย
ผู้ใดต้องการขอร้องอ้อนวอน ไม่มีโอกาส
ต้องการฟ้องร้องหรือ ไม่มีทาง
เอ่ยถึงผลเวรผลกรรมกับนาง นางไม่กลัวถูกฟ้าผ่าเลยสักนิด
ฉินหลิวซีบ้าคลั่งเต็มที่ ชื่อเสียงของนางแพร่กระจายทำให้ผีและวิญญาณทั้งหลายหวาดผวา ยิ่งสั่นเทาเมื่อรู้ว่ามีราชาปีศาจที่บ้าคลั่งเช่นนี้กำลังบ้าคลั่ง ไม่เอ่ยถึงเหตุผล ไม่ถูกใจก็ลงมือ
วิญญาณโชคดีที่รอดชีวิตบางตัวเข้าสู่ประตูผีร้องเรียนเรื่องราชาปีศาจนี้ต่อยมทูตผู้พิพากษา ทว่าคำตอบที่ได้คือ ไม่ต้องห่วง อีกไม่กี่วันนางก็จะลงมาก่อเรื่องในนรก
เมื่อฉินหลิวซีบ้าคลั่งเช่นนี้ โลกมนุษย์เหมือนจะสงบลง ไม่มีปีศาจและวิญญาณชั่วร้ายเหลืออยู่ ราวกับว่ามีพลังหยางมากขึ้น
เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน[1]มาถึง
ฉินหลิวซียืนอยู่ในศาลเจ้าประจำเมืองหนาน จ้องมองรูปปั้นของเจ้าลัทธิเต๋านิ่งๆ
เฟิงซิวยืนอยู่ข้างๆ ไม่กล้าเอ่ยคำใด
สี่สิบเก้าวันนี้ เขาติดตามนางมองความบ้าคลั่งของนาง ในอดีตมีนักพรตเฒ่าชื่อหยวนคอยควบคุม นางจึงลงมือด้วยความระมัดระวัง มีขอบเขต มีเส้นเวรกรรมขีดแบ่งชัดเจน
แต่เมื่อนักพรตเฒ่าชื่อหยวนไม่อยู่แล้ว คำของเขา นางไม่ปฏิบัติตามแล้ว ไม่ต้องสนว่านางควรตัดสินสังหารหรือไม่ เพียงเป็นคนชั่วผีร้าย นางจะฆ่าทั้งหมด
กรรมสังหารในตัวนางนับวันยิ่งหนักขึ้น ความอาฆาตก็เข้มขึ้นเรื่อยๆ
และตัวนางก็ดูเย็นชายิ่งขึ้น ฉินหลิวซีในเมื่อก่อน เป็นดาบที่ถูกเจียระไนรอดึงออกจากฝัก ยามนี้ดาบออกมาแล้ว แหลมคมไม่พอ ยังถูกใช้งานบากบั่น
กลิ่นอายนั้น ทำให้คนรู้สึกหนาวสะท้าน
แต่เฟิงซิวรู้สึกปวดใจนัก ในสี่สิบเก้าวันนี้ นางไม่เคยหยุดพัก ยิ่งไม่เคยมีการพักผ่อน นางยังคงตามหา นางผอมลงไปมาก ใบหน้าเย็นขาวซีด มีเพียงตาที่ดำมืดราวกับบ่อน้ำลึก มีความเฉียบคมดุจมีด
“ท่านมาที่นี่ทำไมหรือ” เฟิงซิวถามเบาๆ “วันนี้เป็นวันที่สี่สิบเก้า แม้จะคืนวิญญาณได้ ก็วันนี้เท่านั้น ท่านควรตั้งสติได้แล้ว”
หลังจากตายไปแล้ว วิญญาณจะคงอยู่ในโลกมนุษย์ได้สูงสุดคือสี่สิบเก้าวัน หลังจากวันนี้ไปแล้ว คงเป็นการสิ้นหวังแล้ว
ดังนั้นเขาบ้าคลั่งอยู่เป็นเพื่อนฉินหลิวซีแล้วสี่สิบเก้าวัน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นางไม่ทำลายสิ่งต่างๆ ก็ใช้วิชาเรียกวิญญาณ มีคราใดที่สำเร็จบ้าง
แม้จะไม่ได้ผล หากไม่ถูกกักขัง หรือไม่ก็วิญญาณแตกสลาย ไม่ว่าทางใด ก็ไม่ใช่ทางที่นางจะหาเจอ
ฉินหลิวซีไม่ตอบ นั่งขัดสมาธิ หยิบหุ่นคนไม้ขึ้นมา เขียนวันเวลาเกิดของนักพรตชื่อหยวนลงไป ดึงเส้นผมออกมา ถูด้วยเลือด
นางกรีดนิ้วตนเอง ใช้เลือดเขียนยันต์ นางคิดจะใช้หุ่นคนเรียกวิญญาณ
ส่วนไยต้องเป็นที่นี่ นางเพียงทดสอบเท่านั้น
วิชาศาสตร์นี้ ต้องใช้พลังอย่างมาก
ฉินหลิวซีในช่วงหนึ่งเดือนกว่ามานี้ ร่างกายและจิตใจล้วนเหน็ดเหนื่อย การใช้วิชานี้อีกจะทำให้เสียพลังงานและจิตใจอย่างมาก
เฟิงซิวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
มองเห็นฉินหลิวซีที่ใบหน้าขาวซีดมุมปากมีเลือดซึมออกมา เขาเบนสายตาหลบหนีอย่างอดไม่ได้
เวลาผ่านไป ฉินหลิวซีเงียบ มองไปยังหุ่นไม้ที่ทำขึ้น
ไม่มี ที่นี่ก็ไม่มี ไม่พบวิญญาณหรือแม้กระทั่งเศษวิญญาณใดๆ
นางหยิบหุ่นไม้ขึ้นมา ลุกขึ้นจากพื้น เดินออกจากศาลเจ้าประจำเมือง
ผู้คนที่มาที่ศาลเจ้ามีมากมาย หลายคนจำฉินหลิวซีได้ ค่อยๆ ทยอยเข้ามาหา แต่เมื่อเห็นใบหน้าของนางที่ดูเลื่อนลอยและเหนื่อยล้า จึงถอยออกไปอย่างอดไม่ได้
ท่านอาจารย์เป็นอะไรไป
เฟิงซิวเดินตามหลังนางอย่างใกล้ชิด
เมื่อกลับถึงอาราม ฉินหลิวซีดับตะเกียงเจ็ดดาว จัดการยกร่างของนักพรตเฒ่าชื่อหยวนใส่ในโลงศพด้วยตนเอง ด้วยท่าทีที่สงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้ทุกคนรู้สึกตกใจ
นางฝังโลงศพลงในหลุมที่มีตำแหน่งที่ดีในภูเขาด้านหลัง ตั้งป้ายหลุมศพ จากนั้นเฝ้าอยู่อีกเป็นเวลาอีกสามวันก่อนที่จะลงจากภูเขา
“ท่านเจ้าอาวาสน้อย เมื่อตั้งป้ายอายุยืนยาวของท่านอาจารย์แล้ว ยามนี้เขาก็ไม่อยู่แล้ว ท่านควรรับตำแหน่งเลยหรือไม่” ชิงหย่วนเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
ฉินหลิวซีมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ก่อนที่จะหันไปยังเถิงเจา “นับแต่วันนี้เป็นต่อไป เสวียนอีจะเป็นเจ้าอาวาสน้อยของอารามชิงผิง”
เถิงเจาหัวใจกระตุก มีลางสังหรณ์ไม่ดี เหมือนกับความรู้สึกไม่สบายใจเมื่อครั้งปรุงยา
สำหรับการแต่งตั้งเถิงเจาเป็นผู้ดูแลรุ่นถัดไป ชิงหย่วนไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะเขามีพรสวรรค์ที่ดีและเป็นศิษย์เอกของฉินหลิวซี การสืบทอดตำแหน่งในอนาคตเป็นเรื่องที่เหมาะสม
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกกังวลคือ ฉินหลิวซีไม่ได้ตอบคำถามของเขาเกี่ยวกับการรับตำแหน่งเจ้าอาวาส
ความสงบสุขของราษฎรไม่เกี่ยวกับข้า
คำเอ่ยของนางดังขึ้นในความคิดของเขา ชิงหย่วนพลันมีความรู้สึกขึ้นมา นางคิดจะตั้งคนอื่นขึ้นมาแทนหรือ
“ท่านเจ้าอาวาสน้อยตอนนั้นท่านอาจารย์บอก…” เขาเพิ่งเอ่ยออกมา แต่ถูกหยุดด้วยสายตาที่เยือกเย็นของฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีออกจากมาจากอาราม ยืนอยู่ในลานหน้าวิหารหลัก
ที่ข้างๆ ของนาง มีผู้คนมาจุดธูปขอพรที่อารามเดินไปมา
ถนนในเมืองและตรอกซอกซอย รวมกันแล้วมีชีวิตชีวา เป็นโลกของผู้คน
ทว่าโลกของนางได้สูญหายไปแล้ว
[1] เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน เป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับดวงวิญญาณหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว โดยการนับวันจะนับเป็นรอบละ 7 วันทั้งหมด 7 รอบ รวมเป็น 49 วัน ซึ่งเป็นวันที่จะทำพิธีกรรมสำหรับการส่งดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับไปยังภพภูมิใหม่