คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 946 ข้าทนเจ้ากี่ปีแล้ว
ตอนที่ 946 ข้าทนเจ้ากี่ปีแล้ว
สามปีต่อมา
ดินแดนยมโลก
กษิติครรภโพธิสัตว์และราชาเทพเฟิงตูกำลังนั่งเดินหมากอยู่ในวังของเขา กระดานหมากสั่นสะเทือนขึ้นมากะทันหัน แต่ทั้งสองยังคงสีหน้าเรียบเฉย ยังคงมองไปยังกระดานหมาก
“กี่ปีมาแล้ว” ราชาเทพเฟิงตูใช้สองนิ้วหยิบหมากสีดำ วางหมากลงด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ โพล่งถามออกไป จากนั้นรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ ครั้งนี้เดินผิดทางไปแล้ว
กษิติครรภโพธิสัตว์หยิบหมากสีขาวขึ้นมาเล่น กระแอมไอขึ้นมา “หมากที่ลงไปแล้วไม่อาจเอากลับคืนได้ เป็นถึงราชาเทพ มีศักดิ์ศรีหน่อย”
ราชาเทพเฟิงตูท่าทางขัดเขินดึงมือกลับคืน ดวงตาดูน่าเกรงขาม หลายปีมานี้ไม่โกรธจนสายตาไม่ดีก็ถือว่าดีมากแล้ว มองดูตัวเอง พบว่ามีรอยเหี่ยวย่นเพิ่มขึ้นหลายเส้น รอยย่นบนหน้าผากเป็นรูปตัว川 เด็กๆ เจอแล้วเอ่ยว่าท่านน่ากลัว หมดความหล่อเหลา
โทษใครได้เล่า ยังไม่ใช่เพราะต้องกังวลกับบรรพบุรุษนั่นหรือ
“สามปีแล้ว” กษิติครรภโพธิสัตว์วางหมากแล้วตอบคำถามของราชาเทพ
ชั่วพริบตา เจ้าบรรพบุรุษน้อยนั้นอยู่ในยมโลกมาแล้วสามปี กลายเป็นสิ่งที่ผีเห็นผีต้องหวาดกลัวอย่างแท้จริง ผีในยมโลกต่างต้องสั่นเมื่อได้ยินชื่อของนาง เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะสามปีที่แล้ว นางเข้ามาในยมโลกและทำให้ที่นี่วุ่นวายจนเกิดความโกลาหล สร้างความหวาดกลัวให้กับผีทั้งหลาย
นึกถึงสามปีที่แล้ว นางพุ่งเข้าไปในวังของราชาเทพด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความโกรธ ไม่รู้ทำให้ตกใจกลัวไปกี่คน เมื่อไม่อาจทวงคืนวิญญาณของนักพรตเฒ่าชื่อหยวนได้ นางก็เริ่มต่อสู้กับราชาเทพ
ทั้งคู่สู้กันจนทำลายวังและแท่นเวียนกรรม โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสได้ว่าราชาเทพยังออมมือเก็บพลังไว้มาก ฉินหลิวซียิ่งมั่นใจไร้ความเกรงกลัว กดดันราชาเทพ
แม้กระทั่งที่นี่ ก็มีเสาหมดสภาพที่ถูกเผาจนดำ
เฮ้อ นี่เป็นหลักฐานของการต่อสู้ ไม่ใช่สิ เป็นประวัติศาสตร์ที่ฝังลึก
“การไว้ทุกข์บนโลกมนุษย์ก็สามปีแล้ว นางควรออกไปแล้วหรือไม่” ราชาเทพเฟิงตูบ่น “ในวังของข้า บางครั้งก็มีการสั่นสะเทือน บางครั้งมีก้อนอิฐร่วงลงมาก้อนสองก้อน ถ้านางไม่ออกไป อิฐคงจะร่วงหมดแน่”
ในยมโลก ทุกวันมักมีประโยคคำถาม ราชาปีศาจอสูรผู้นั้นกลับไปแล้วหรือ
เขาเพิ่งเอ่ยจบ พลันได้ยินเสียงระเบิดมาจากนรกโลกันต์ขุมลึก
ทั้งสองมองหน้ากัน โยนหมากทิ้ง พุ่งตัวไปยังนรกโลกันต์ขุมลึก
ตลอดสามปีที่ผ่านมา ฉินหลิวซีกักตัวยุ่งอยู่ในนรกโลกันต์ขุมลึก ไม่มีใครรู้ว่านางทำอะไรอยู่ ทว่ามักมีความเคลื่อนไหวดังออกมาเรื่อยๆ เมื่อมีการเคลื่อนไหวที่นั่น ทั้งยมโลกก็ต้องสะเทือน
แต่ความเคลื่อนไหวรุนแรง มีเพียงในวันนี้
ทั้งสองมาถึงนรกโลกันต์ขุมลึก เกือบถูกแรงระเบิดกระเด็นถอยหลังไป แต่เห็นเปลวไฟสีแดงที่มีเฉดสีม่วงและแสงทองจากหลุมลึก ท่ามกลางเปลวไฟอันร้อนระอุ ความร้อนเพียงอย่างเดียวก็สามารถเผาทำลายวิญญาณ ทำให้รู้สึกสะท้าน
กษิติครรภโพธิสัตว์รู้สึกพอใจไม่น้อย
“จริงๆ คุ้มค่า…” ราชาเทพเฟิงตูเพียงเอ่ยไม่กี่คำ พลันเห็นว่ามีคนก้าวออกมาจากเปลวไฟ
เปลวไฟร้อนแรงเบื้องหลังนาง ลุกโชนร้อนแรง ทำให้ผู้คนหวาดกลัวอยู่ในใจ
ยังอยู่ในชุดคลุมสีคราม ผมรวบด้วยปิ่นไม้ท้อเกล้าเป็นทรง ร่างกายผอมบาง ใบหน้าขาวเย็นสงบ เยือกเย็นสอดคล้องกับลักษณะท่าทางที่หนาวเย็น และดวงตาอันคมกริบ
ดาบที่เคยใช้สังหารก่อนหน้านี้ ได้รับการเจียระไนใหม่ ยิ่งแหลมคมขึ้น แสงอันเรืองรองไม่อาจซ่อนเร้น
เมื่อฉินหลิวซีเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าทั้งสอง เปลวไฟในหลุมลึกก็หายไปแล้ว ราวกับว่าไฟนั้นคือตัวนาง และนางก็คือเปลวไฟแดงที่เผาผลาญบาปทั้งหมด
“สามปีแล้ว ได้เวลาบอกข้าแล้วว่าเขาอยู่ที่ใดแล้วหรือไม่” ฉินหลิวซีเล่นไฟในมือ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
มาแล้ว ยังคงไม่อาจหลีกเลี่ยงต่อคำถามนี้
ราชาเทพเฟิงตูกระแอมไอออกมาหนึ่งครั้ง แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “เขาไหนหรือ”
“แกล้งโง่ไปก็ไม่มีความหมายอะไร” ฉินหลิวซีมองไปทางเขา “แต่ถ้าพวกท่านไม่บอกก็ไม่เป็นไร ผู้คนถูกซื่อหลัวฆ่าตายหมดแล้ว พวกท่านอย่าคิดว่าผีเต็มยมโลกก็พอ”
นี่ นี่เป็นการขู่
มุมปากของราชาเทพเฟิงตูกระตุก สีหน้าหม่นหมองลง
ฉินหลิวซีเดินผ่านเขาไป “บอกข้าเมื่อใด ข้าก็กลับไปยังโลกมนุษย์เมื่อนั้น”
ราชาเทพเฟิงตูมองไปยังกษิติครรภโพธิสัตว์ เจ้าดูท่าทางของนางสิ มิใช่เพียงท่าทางที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น
กษิติครรภโพธิสัตว์ยิ้มแย้มดึงฉินหลิวซีมา เอ่ย “ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงมนุษย์ในร่างกายธรรมดา อยู่ในยมโลกมานาน การอยู่ที่นี่นานเกินไปอาจไม่ดีต่อเจ้า”
ฉินหลิวซีเอียงหน้าเล็กน้อย
กษิติครรภโพธิสัตว์ยัดคทาเพชรหนึ่งด้ามให้ฉินหลิวซี “อายุของมนุษย์ย่อมมีขีดจำกัด การบอกลาความเป็นไปในอดีตคือการกล่าวคำอำลาที่ควรทำ การยึดติดกับอดีตไม่ดีทั้งต่อตัวเองและคนอื่น”
ฉินหลิวซีมองไปยังคทาเพชรในมือ นี่คือสิ่งที่นางเคยปล้นมาจากกษิติครรภโพธิสัตว์ในครานั้น ต่อมายกให้อาจารย์เป็นอาวุธป้องกันตัว ตอนนี้กลับมาอยู่ในมือของกษิติครรภโพธิสัตว์ ยังมีอะไรไม่เข้าใจอีกหรือ
หัวใจของนางเต้นเร็วขึ้น กำคทาเพชรแน่น
“อายุและชะตาของอาจารย์เจ้าถูกกำหนดไว้แล้ว ทั้งเจ้า ข้า และเขาล้วนไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นจึงมีการต่อสู้กับซื่อหลัวในครั้งนั้น” กษิติครรภโพธิสัตว์ถอนหายใจ “การต่อสู้นั้นเปรียบเสมือนไข่ชนหิน เมื่อวิญญาณของเขาออกจากร่าง ยังถูกซื่อหลัวจับมาบังตัวเพื่อป้องกันการโจมตีจากคทาเพชร ใกล้วิญญาณแตกสลาย ราชาเทพเฟิงตูจึงเสี่ยงละเมิดกฎหยินหยางดึงวิญญาณที่เหลือกลับมาได้ เพราะอาจารย์ของเจ้ามีบุญอันใหญ่หลวง จึงมีบุญคอยคุ้มครอง เขาจึงชิงโอกาสอันน้อยนิดนี้มาได้”
ราชาเทพเฟิงตูส่งเสียงหยันออกมา
“การได้โอกาสนั้นถือว่าสวรรค์คงเมตตา ไม่อาจมีมากกว่านั้นแล้ว ตอนนั้นวิญญาณของอาจารย์เจ้าเกือบแหลกสลาย ต้องการการฟื้นฟูรักษาและพลังความเชื่อ การเป็นเทพเจ้าแห่งเมืองนี้คือที่ที่ดีที่สุดที่เราสามารถมอบให้”
ฉินหลิวซีเงยหน้าขึ้น สายตาคมกริบมองไปที่เขา เป็นศาลเจ้านั้นจริงๆ หรือ
ไยวันนั้นนางหาไม่เจอเล่า
“เจ้าหาไม่เจอเพราะวิญญาณของเขานั้นอ่อนแอมาก การฟื้นฟูรักษา ความจริงไม่แน่นอน บอกเจ้าก็ไร้ประโยชน์ เกิดมีความหวังแล้วผิดหวัง จะทำให้เจ้าหมดหวังมากขึ้น” กษิติครรภโพธิสัตว์ถอนหายใจ “ดังนั้นวิญญาณของอาจารย์เจ้าจึงพักในคทาเพชรนี้มาได้ถึงครึ่งปี ก่อนจะเข้าไปอยู่ในศาลเจ้าของเมือง รับการบูชาและศรัทธาจากผู้คน นอกจากนี้…”
“แม้เวลาผ่านไปสามปีแล้ว อาจารย์ของเจ้าก็ยังอยู่ในโลกได้ด้วยวิธีอื่น แต่วิญญาณของเขาได้รับผลกระทบรุนแรง ระยะเวลาสั้นๆ สามปีก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ต่อให้เจ้าไป เขาก็ไม่รู้จักเจ้า”
ฉินหลิวซีหัวเราะเยาะ “ดังนั้นพวกท่านจึงสร้างเทพเจ้าประจำเมืองป่วยตนหนึ่งอย่างนั้นหรือ”
ราชาเทพเฟิงตูมองน้ำเสียงเย้ยหยันของนางจึงโกรธเคืองขึ้นมาโดยไม่อาจห้ามได้ “นั่นถือเป็นการให้โอกาสอย่างมากแล้ว มิเช่นนั้นเจ้าคงไปพบกับคนที่เกิดใหม่เป็นเด็กงี่เง่า”
“เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณพวกท่านด้วยหรือไม่”
“เจ้าควรขอบคุณจริงๆ เดิมคนตายไปแล้วก็ต้องเข้าสู่วัฏจักร ยมบาลจะให้ผู้ใดตายในเวลาสามเกิง[1] ผู้ใดจะกล้าทิ้งไว้จนห้าเกิง ชื่อหยวนเดิมก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา อายุและความตายเป็นเรื่องปกติ แม้แต่เจ้าก็ไม่อาจแทรกแซงได้ ต่อให้เขาจะเข้าสู่ประตูผีและเกิดใหม่ตามกระบวนการ ก็ไม่มีใครสามารถโต้แย้งได้ ยามนี้ให้เขามีภารกิจรับบูชาและศรัทธา เจ้าก็ยังต้องการสิ่งใดมากกว่านั้นหรือ” ราชาเทพเฟิงตูโกรธ กวัดแกว่งพัดทองออกจากเอว ปัดเปลวไฟจากเสื้อผ้า ชี้ไปที่นางด้วยความโกรธ “เจ้า เจ้าอย่ามารังแกให้คนเหลืออด”
ข้าอดทนกับเจ้ามาหลายปีแล้ว
ฉินหลิวซีแย่งพัดทองจากเขา หายไปในพริบตา พร้อมกับคำเอ่ยของนาง
“พัดนี้ข้าเอาไปแล้ว เพื่อเป็นการตอบแทน ข้าจะจัดการซื่อหลัวให้”
ราชาเทพเฟิงตูมองมือที่ว่างเปล่า โกรธจนแทบกระทืบเท้า มองกษิติครรภโพธิสัตว์ยังคงยิ้มอยู่ เอ่ยด้วยความรำคาญ “เจ้ายังหัวเราะอยู่อีก นางยังแย่งอาวุธของข้าไปอีกแล้ว”
กษิติครรภโพธิสัตว์หัวเราะ “แน่นอนว่าต้องหัวเราะ ในที่สุดเทพเจ้าโรคระบาด[2]นี้ก็ออกไปแล้ว วังของข้าก็จะมั่นคง”
ราชาเทพเฟิงตู “…”
การเชิญเทพเจ้าเพียงใช้ของของข้ามอบแด่เทพเจ้าใช่หรือไม่
[1] เกิง แบ่งเป็น ‘ห้าเกิง’ เกิงที่ 1 เวลา 19.00 – 20.59 น. เกิงที่ 2 เวลา 21.00 – 22.59 น. เกิงที่ 3 เวลา 23.00 – 00.59 น. เกิงที่ 4 เวลา 01.00 – 02.59 น. เกิงที่ 5 เวลา 03.00 – 04.59 น.
[2] เทพเจ้าแห่งโรคระบาด เป็นเทพที่เชื่อว่ามีอำนาจในการควบคุมและนำพาโรคภัยไข้เจ็บมาสู่มนุษย์ ในสมัยโบราณ ผู้คนมักทำพิธีบูชาเทพเจ้าแห่งโรคระบาดเพื่อป้องกันและขับไล่โรคระบาด นอกจากนี้ ยังอาจใช้ในความหมายเปรียบเปรยถึงคนหรือสิ่งที่นำความโชคร้ายหรือปัญหามาให้ด้วยเช่นกัน