คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 947 ศิษย์มาถึงแล้ว ข้าชื่อหลิวซี
ตอนที่ 947 ศิษย์มาถึงแล้ว ข้าชื่อหลิวซี
เวลาสามปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว สำหรับชาวบ้านในอำเภอหนานแล้ว สามปีนี้มีทั้งความสุขและความทุกข์สลับกันไป
เมื่อสามปีก่อน ศาลเทพเจ้าประจำเมืองในอำเภอหนานได้อัญเชิญเทพเจ้าประจำเมืององค์ใหม่เข้ามา หลังจากนั้นหนึ่งถึงสองปี พื้นที่นี้ก็มีฝนตกต้องตามฤดูกาล พืชผลสมบูรณ์ ชาวบ้านกินอิ่มนอนหลับ นายอำเภอก็เป็นขุนนางที่ทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนจริงๆ ได้ออกกฎหมายใหม่หลายข้อที่มีประโยชน์ต่อบ้านเมือง ทำให้ชาวบ้านที่อยู่ในชนชั้นล่างก็ได้รับผลประโยชน์ตามไปด้วย ในที่สุดอำเภอหนานก็ไม่ใช่พื้นที่ยากจนที่ด้อยค่าที่สุดอีกต่อไปแล้ว
แต่เมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่ผ่านมา ชีวิตของพวกเขาก็ค่อยๆ ลำบากขึ้นอีกครั้ง เพราะมีการเพิ่มภาษี ทำให้ถุงใส่ข้าวของพวกเขาเริ่มเบาอีกครั้ง
และปีนี้ในฤดูใบไม้ผลิ ภาษีเพิ่มขึ้นอีกครั้ง พอถึงปลายฤดูร้อนก็มีการเพิ่มภาษีเข้าไปอีก ทำให้กระเป๋าเงินของชาวบ้านยิ่งว่างเปล่าลงไปอีก อำเภอหนานรู้สึกว่าช่วงเวลาที่ดีไม่น่าจะยืนยาวได้ เพราะภาษีเดิมก็หนักอยู่แล้ว แล้วยังมีภาษีเพิ่มขึ้นมาอีก ถ้าหากสวรรค์เปิดตา มีฝนตกต้องตามฤดูกาล ก็อาจจะพอเก็บเกี่ยวได้พอสมควร แต่ก็ต้องรัดเข็มขัดอย่างแน่นอน
ถ้าสวรรค์ไม่เปิดตา ก็ต้องขายลูกชายลูกสาวเท่านั้น
ดังนั้น ศาลเทพเจ้าประจำเมืองในอำเภอหนานจึงค่อยๆ มีผู้ลี้ภัยและขอทานมากขึ้น
ตอนที่ฉินหลิวซีปรากฏตัวขึ้น ทำให้ขอทานเหล่านั้นตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง อยากจะล้อมรอบนาง แต่ก็ไม่กล้า ได้แต่จ้องมองนาง
เมื่อเดินเข้าไปในศาลเทพเจ้าประจำเมือง มีเพียงหญิงคนหนึ่งที่คุกเข่าอยู่บนเบาะกราบไหว้ขอพร ปากพร่ำเอ่ยถึงการขอให้เทพเจ้าประจำเมืองคุ้มครองให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล และขอให้ครอบครัวปลอดภัย
ควันธูปไม่ค่อยมากนัก
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว ควันธูปไม่มากหมายถึงจำนวนผู้ศรัทธาน้อย และความศรัทธาน้อยลง ยิ่งทำให้ยากที่จะหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณเทพเจ้า
นางเงยหน้ามองรูปปั้นเทพเจ้า ซึ่งยังคงเป็นรูปปั้นเทพเจ้าองค์เดิม แต่ใบหน้ากลับคล้ายกับชื่อหยวนมากขึ้น
“อาจารย์…” ฉินหลิวซีตาแดง น้ำตาเอ่อคลอ ชั่วขณะนั้น น้ำแข็งที่ห่อหุ้มใจนางเหมือนจะละลายลงไป
เทพเจ้าประจำเมืองไม่ได้ตอบนาง
ฉินหลิวซีเดินเข้าไปใกล้ ภายใต้สายตาที่ตกตะลึงของหญิงคนนั้น นางเอามือแตะที่รูปปั้นทองแดงของเทพเจ้าแล้วหลับตาลงเบาๆ
นางต้องการสื่อสารกับเทพเจ้า
ในที่สุดฉินหลิวซีก็ได้เห็นเทพเจ้าประจำเมืองที่กำลังนั่งกินน่องไก่อยู่ เขาอ่อนแอมาก มีพลังเทพน้อยกว่าผีเถื่อนที่พเนจรหลายปี วิญญาณเทพเจ้าของเขาก็ไม่มั่นคง
และควันธูปที่อยู่รอบตัวเขาก็ไม่หนาแน่น ทำให้พลังศรัทธาน้อยลง ยิ่งทำให้ยากต่อการหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณเทพที่อ่อนแอของเขา
ฉินหลิวซีรู้สึกเจ็บปวดในใจอย่างยิ่ง
เทพเจ้าประจำเมืองเห็นว่ามีคนเข้ามาสื่อสารกับตัวเองก็ตกใจจนทำไก่ตกลงมา มองไปที่ฉินหลิวซี “เจ้าเป็นใครน่ะ”
มีปัญหาหรืออย่างไร ไม่ทักทายกันสักคำก็สื่อสารกับเทพแล้ว เข้าใจมารยาทหรือไม่ มีกิจทำบุญถวายหรือไม่ โอ้ ธูปก็ไม่มีเลย คนจนนี่
ฉินหลิวซีมองไปที่ใบหน้าคุ้นเคยนั้น เพียงแค่กะพริบตา น้ำตาก็ไหลลงมา
“อ้าว เจ้าไยจึงร้องไห้แล้วเล่า ข้านี่…ข้าเทพเจ้าประจำเมืองยังไม่ร้องไห้เลย เจ้าจะร้องไปไย” เทพเจ้าประจำเมืองรีบเอ่ยด้วยความกระวนกระวายใจ ทั้งอยากจะเช็ดน้ำตาของนาง ทั้งรู้สึกผิดมาก
แปลกจริง เขาเป็นเทพเจ้าประจำเมืองมาหลายปีแล้ว ไยเมื่อเผชิญกับเด็กคนนี้ถึงรู้สึกผิดได้
อีกทั้งใบหน้าที่สวยงามนี้ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน หรือว่าเคยมาบูชาเขาเมื่อก่อนอย่างนั้นหรือ
ฉินหลิวซีเช็ดน้ำตา หัวเราะออกมา “เจ้าคนแก่ขี้โกง”
“เฮ้ย เจ้าจะมาด่าข้าได้อย่างไร บอกไว้เลยนะว่าข้านี่เป็นเทพเจ้าประจำเมือง ตราบใดที่เจ้าให้ของบูชาเพียงพอ ควันธูปมากมาย ข้าจะช่วยให้สมปรารถนา” เทพเจ้าประจำเมืองเอ่ยพลางมองนางแล้วคิดว่า งั้นก็รีบมาถวายของบูชาซะเถอะ
ฉินหลิวซีเหลือบมองของบูชาตรงหน้าเขา หัวเราะเยาะ “เทพเจ้าประจำเมืองที่ใดจะมีของบูชาห่วยเท่านี้อีก”
มีไก่ผอมแห้งที่แทบไม่มีเนื้ออยู่ตัวหนึ่ง แอปเปิลก็เหี่ยวเกือบหมด มีลูกหนึ่งที่ยังมีรูหนอน น้ำตาลก็เป็นชนิดที่คุณภาพต่ำที่สุด ส่วนเหล้า… จืดกว่าน้ำเสียอีก น่าสงสัยว่าจะเป็นขวดเหล้าที่ใส่น้ำจนได้กลิ่นเล็กน้อย ธูปเทียนก็คุณภาพต่ำเช่นกัน
และเสื้อผ้าของเขาก็เก่าขาด ไม่รู้ว่าไม่ได้เปลี่ยนมานานเท่าใดแล้ว
เทพเจ้าประจำเมืองส่งเสียงหยัน “อย่ามาดูถูกข้านะ ข้าเคยมีช่วงเวลาที่รุ่งเรือง เมื่อสองสามปีก่อน ของบูชาข้านั้นมีมากจนกินไม่หมด ทุกวันมีผลไม้สดๆ และอาหารมาถวาย แต่ตอนนี้ชาวบ้านอยู่ยากขึ้น ของบูชาก็เลยลดน้อยลงทุกวัน ไม่ต้องเอ่ยถึงของบูชาเลย ควันธูปยังน้อยลงอีก”
“เพราะอย่างนั้นข้าถึงบอกว่าท่านมีชีวิตที่แย่”
เทพเจ้าประจำเมืองอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่คิดไปคิดมาแล้วก็เอ่ยออกไป “เจ้าเด็กน้อย เจ้าช่วยเอาของบูชามาถวายข้าเยอะๆ หน่อยสิ ตราบใดที่เจ้าถวายทุกวัน ข้าจะช่วยเจ้าเชื่อมต่อกับข้าได้บ่อยขึ้น ทำให้เจ้าไปหลอก… เอ้ย ให้ผู้คนเคารพบูชาได้มากขึ้น”
เฮ้อ ถ้าเขาไม่รู้สึกว่าตำแหน่งเทพเจ้าประจำเมืองนี้กำลังจะหลุดมือไปแล้ว จะต้องพยายามให้เด็กผู้หญิงมาถวายของบูชาให้เขาเพียงนี้หรือไม่
เขาต้องการพลังศรัทธาเพื่อซ่อมแซมดวงวิญญาณเทพ ไม่เช่นนั้น เขาจะไม่มีวันจำคนและเรื่องสำคัญบางอย่างได้เลย
แต่ว่าตอนนี้ชาวบ้านที่มาบูชาที่ศาลเทพเจ้าประจำเมืองนั้นน้อยลงทุกวัน ควันธูปแทบจะหมดลงแล้ว เมื่อใดที่หมดลงจริงๆ เขาก็หมดหน้าที่เป็นเทพเจ้าประจำเมืองแล้ว
ท้ายที่สุดหากไม่มีผู้ศรัทธา เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะคงอยู่ต่อไป
ดังนั้น เมื่อมีโอกาสก็ควรจะรีบคว้าไว้ การรักษาตำแหน่งเทพจึงสำคัญที่สุด
เด็กผู้หญิงตรงหน้านี้ไม่รู้ว่าใช้วิธีใดมาสื่อสารกับเขา ถือว่าเป็นม้าแกลบที่ดี ต้องหลอก ไม่ใช่สิ ต้องรักษาไว้
“เด็กน้อย ตราบใดที่เจ้าเอาของบูชามาถวายข้า เมื่อถึงเวลาที่ข้ามีพลังศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น ข้าจะให้เจ้ารับตำแหน่งเทพใต้บังคับบัญชาของข้า” เทพเจ้าประจำเมืองพยายามหลอกล่อนาง “เมื่อเจ้ามีตำแหน่งเทพเจ้าแล้ว เจ้าก็จะมีสถานะเป็นผู้รับใช้เทพเจ้า มีพลังศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น เป็นอย่างไร”
ตาเฒ่ายังคงเป็นตาเฒ่าเช่นเคย แม้เขาจะจำนางไม่ได้ แต่วิธีการยังคงเดิม หลอกลวงด้วยการวาดฝันให้ใหญ่โต
ฉินหลิวซีเอ่ย “แล้วท่านจะให้ข้าเป็นเทพอะไร”
“เอ่อ…” เทพเจ้าประจำเมืองตอบ “เจ้าดูศาลเจ้านี้สิ ในความเป็นจริง เทพหัววัวหัวม้ายังไม่มีตำแหน่งเลย”
คิ้วของฉินหลิวซีขมวด “ท่านอยากให้ข้าเป็นหัววัวหัวม้า[1]หรือ”
เทพเจ้าประจำเมืองตกใจ ไม่เป็นก็ไม่เป็นสิ ไยต้องดุด้วยเล่า
แต่เด็กคนนี้สวยมาก หัววัวหัวม้านั้นดูน่าเกลียดไปสักหน่อย
“เช่นนั้นให้เจ้ารับตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาแล้วกัน”
ฉินหลิวซีหัวเราะเยาะ “ตำแหน่งเทพของตัวท่านเองยังไม่มั่นคง จะมอบตำแหน่งอะไรให้ข้าได้ ท่านกำลังวาดฝันใหญ่ๆ เพื่อหลอกข้าให้ถวายของบูชาใช่หรือไม่”
เด็กสมัยนี้หลอกยากจริงๆ เทพเจ้าประจำเมืองถูจมูก เอ่ย “นี่จะเรียกว่าหลอกได้อย่างไร เป็นเพราะเราเข้ากันได้ดี ข้านั่งอยู่ในศาลเจ้านี้มาหลายปี เจ้าเป็นคนแรกที่สื่อสารกับข้าได้ แสดงว่าเรามีวาสนาต่อกัน เจ้าเอาของบูชามาถวายข้า แม้ว่าตอนนี้ข้าอาจจะยังให้ตำแหน่งไม่ได้ แต่วันหนึ่งข้าจะมีพลังศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น ตอนนั้นข้าก็จะมอบตำแหน่งให้เจ้าเอง นี่เรียกว่าอะไรล่ะ ลงทุนน้อยได้ผลตอบแทนสูงหรือไม่”
ฉินหลิวซีคราวนี้หัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ หัวเราะอย่างมีความสุข
เทพเจ้าประจำเมืองคิดในใจ หรือว่าเด็กคนนี้จะบ้า
“ตกลง ข้าจะถวายของบูชาให้ท่าน ท่านเตรียมตัวรอรับได้เลย”
เทพเจ้าประจำเมืองตาเป็นประกาย “เอ่ยจริงหรือ”
“ข้าไม่เคยโกหก”
เทพเจ้าประจำเมืองยิ้มอย่างยินดีทันที เอ่ย “เช่นนั้นตกลงตามนี้แล้วนะ จริงสิ เอาของบูชาดีๆ มาให้เยอะๆ ธูปนี้ไม่รู้ทำจากสิ่งใด แสบจมูกมาก”
“อืม”
เทพเจ้าประจำเมืองมองนางด้วยความเอ็นดูและความประทับใจ รู้สึกเย็นวาบที่หลังนิดหน่อย เขาตาฝาดไปหรือไม่
“ท่านรออยู่ที่นี่ ข้าจะไปเตรียมของ” ฉินหลิวซีจ้องมองเขา “คราวนี้ท่านต้องรอ”
“อ้อ” เทพเจ้าประจำเมืองถามอีกครั้ง “จริงสิ เด็กน้อย เจ้าชื่ออะไรหรือ”
ฉินหลิวซียิ้มเม้มริมฝีปาก เผยรอยยิ้มสดใส เอ่ยตอบ “น้ำไหลมาตรงหน้าประตู แต่ไหลไปทางทิศตะวันตก ศิษย์มาถึงแล้ว ได้รับชื่อจากอาจารย์ว่า หลิวซี ข้าชื่อฉินหลิวซี”
[1] หัววัวหัวม้า เป็นชื่อของเทพในความเชื่อทางศาสนาของชาวจีน โดยเป็นเทพเจ้าในยมโลกที่ทำหน้าที่คุมการลงโทษผู้กระทำความผิดหลังจากเสียชีวิตลง “หัววัว” และ “หัวม้า” ตามความเชื่อแล้ว เทพทั้งสองนี้มีรูปลักษณ์เป็นสัตว์ คือ มีหัวเป็นวัวและมีหัวเป็นม้า ทำหน้าที่นำวิญญาณของผู้ตายไปสู่ยมโลกเพื่อรับการตัดสินกรรม ทั้งสองเทพนี้เป็นที่รู้จักในฐานะผู้คุ้มครองประตูยมโลก และเป็นส่วนสำคัญในพิธีกรรมหรือเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับชีวิตหลังความตายในวัฒนธรรมจีน