คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 948 เพิ่งปีนขึ้นมาจากข้างล่าง
ตอนที่ 948 เพิ่งปีนขึ้นมาจากข้างล่าง
หลังจากที่ได้สื่อสารกับเทพเจ้าแล้ว ฉินหลิวซีมองไปยังรูปปั้นเทพเจ้าเบื้องหน้า ความหม่นหมองในใจที่เคยกดทับไว้ก็มลายหายไป แทนที่ด้วยความยินดีอย่างล้นเหลือ สะท้อนออกมาทางใบหน้าจนเปล่งประกายราวกับมีแสงส่องมาจากข้างใน สว่างไสวจนผู้ที่มองไม่อาจละสายตาได้
หญิงผู้นั้นที่กำลังกราบไหว้อยู่เมื่อครู่มองดูนางด้วยความตกตะลึง เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ฉินหลิวซีเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อฉินหลิวซีสังเกตเห็นสายตาของหญิงผู้นั้น นางจึงหันไปเอ่ยถาม “ท่านป้ากำลังขอพรเรื่องใดจากเทพเจ้าอยู่หรือ”
หญิงผู้นั้นอึ้งไปครู่หนึ่ง เอ่ยตอบ “ขอให้ปีหน้าฟ้าใหม่ฝนดีลมดี ปลอดภัยทั้งครอบครัว ทุกวันนี้โลกไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
ฉินหลิวซีหรี่ตาเล็กน้อย เอ่ย “ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้อีกหรือ เทพเจ้าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์มากนะเจ้าคะ”
หากไม่ศักดิ์สิทธิ์ นางก็จะช่วยทำให้ศักดิ์สิทธิ์เอง
หญิงผู้นั้นยังคงอึ้งอยู่ แต่เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ส่ายศีรษะ “ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว ขอให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุขก็พอแล้ว”
“ท่านป้าจะสมหวังแน่นอนเจ้าค่ะ เทพเจ้าประจำเมืองบอกว่า ครอบครัวของท่านป้าจะมีเรื่องดีๆ เข้ามา คิดว่าน่าจะได้หลานเพิ่มนะเจ้าคะ” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หญิงผู้นั้นตกใจอย่างยิ่ง
“ถ้าเป็นจริง ท่านป้าต้องไม่ลืมกลับมาถวายของบูชาด้วยนะเจ้าคะ” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เทพเจ้าประจำเมืองชอบไก่ และยิ่งถ้ามีเหล้าดีๆ กับธูปเทียนหอมๆ จะยิ่งดีมากเจ้าค่ะ”
หญิงผู้นั้น “…”
ไยรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเป็นตัวแทนขายของให้เทพเจ้าอย่างไรอย่างนั้น
หญิงผู้นั้นเดินออกจากศาลเจ้าด้วยความสงสัย แต่หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม เมื่อนางกลับถึงบ้าน กำลังหยิบกระบวยน้ำขึ้นมาจะตักน้ำดื่ม บุตรชายก็ประคองสะใภ้เข้ามาในบ้าน ใบหน้าของทั้งคู่เต็มไปด้วยความยินดี
“ท่านแม่ เสี่ยวฮวาตั้งท้องแล้ว ท่านแม่กำลังจะได้เป็นท่านย่าแล้ว”
กึก กระบวยน้ำตกลงบนพื้น หญิงผู้นั้นเบิกตากว้างมองสะใภ้ที่ยิ้มแย้มพร้อมทั้งลูบท้องอย่างมีความสุข ผ่านไปครู่ใหญ่จึงตบเข่าตัวเองและอุทานออกมา “โอ๊ย เทพเจ้าประจำเมืองศักดิ์สิทธิ์จริง”
ฉินหลิวซีในเวลานั้นเดินสำรวจรอบๆ ศาลเจ้า พบว่าไม่มีแม้แต่ผู้ดูแลศาลเจ้าแล้ว ผู้ดูแลศาลก่อนหน้านี้หายไปไหนแล้วเล่า
ฉินหลิวซีหันกลับไปมอง พบว่าเป็นผู้ตรวจการที่สวมชุดทหารรักษาการณ์ยศเล็กๆ กำลังมองนางด้วยความสงสัย เมื่อเขาเห็นหน้าของนาง ชะงักไปชั่วครู่ เอ่ย “ท่านคือท่านอาจารย์จากอารามชิงผิงใช่หรือไม่ขอรับ”
“เจ้ารู้จักข้าหรือ”
ผู้ตรวจการยิ้มขยับมืออย่างเก้ๆ กังๆ เอ่ย “ตอนที่เราตั้งศาลเจ้าประจำเมืองใหม่ ข้าก็อยู่ด้วย เห็นท่านสื่อสารกับเทพเจ้าด้วยตาตัวเอง เพียงแต่ไยท่านจึงมาที่นี่ได้”
ฉินหลิวซีเอ่ยถาม “ไยศาลเจ้าถึงเงียบเหงาเช่นนี้ อีกทั้งผู้ดูแลศาลเจ้าไปไหนเล่า”
ผู้ตรวจการถอนหายใจยาว เอ่ย “ท่านอาจารย์ไม่รู้หรือว่าในช่วงปีที่ผ่านมา การเก็บภาษีและเงินบริจาคเพิ่มขึ้นมาก คนทั่วไปใช้ชีวิตไม่เหมือนแต่ก่อน กินยังไม่พอ แล้วจะเอาเรี่ยวแรงหรือเงินตราที่ใดมาบูชาศาลเจ้า ท่านไม่เห็นหรือว่าบนแท่นบูชาไม่มีของถวายเลย สาเหตุเพราะคนที่มากราบไหว้ศาลเจ้าน้อยลง และบางคนที่มาไหว้เสร็จแล้วก็จะเอาของถวายกลับบ้านไปให้ครอบครัวกิน ต่อให้ไม่เอาไป ข้างนอกก็มีขอทานรออยู่ พวกเขาก็จะเข้ามาเอาของถวายไป”
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว มิน่าในภาพที่นางเห็นในนิมิต เทพเจ้าประจำเมืองจึงอยู่ในสภาพนั้น
“ระยะเวลาสั้นๆ เพียงสามปี ศาลเจ้าก็เสื่อมถอยลงอย่างนี้แล้วหรือ”
ผู้ตรวจการยิ้มอย่างขมขื่น “เดิมอำเภอหนานก็เป็นเมืองที่ยากจน ตอนที่เราตั้งศาลเจ้าเชิญเทพเจ้ามาใหม่ สถานการณ์ก็ดีขึ้น การเป็นอยู่ดีขึ้นเป็นเวลาสองปี ไม่ง่ายกว่าเราจะมีความหวังที่จะมีความสุขได้ แต่ในปีที่ผ่านมาก็แย่ลงอีก ไม่รู้ว่าไยสวรรค์จึงไม่ยอมให้อำเภอหนานของเรามีความสุข”
ฉินหลิวซีรู้สึกเย็นชา หากเป็นเช่นนั้น แสดงว่าราชสำนักกำลังเข้าสู่ยุคเสื่อมโทรมแล้ว
“แต่อันที่จริงอำเภอหนานของเรายังไม่แย่เท่าไร ยังไม่ถึงกับอยู่ไม่ได้ เพียงชีวิตยากลำบากกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย แต่บางหมู่บ้านและเมืองที่ยากจนจริงๆ นั้นใช้ชีวิตไม่ได้เลย มีการขายบุตรชายบุตรสาวมากขึ้น” ผู้ตรวจการกล่าว “ส่วนผู้ดูแลศาลเจ้า เมื่อเดือนสี่ปีนี้ป่วยหนักและเสียชีวิตไปแล้ว ท่านเจ้าเมืองยุ่งกับภารกิจ ไม่ได้หาคนมาแทน บวกกับมีคนมากราบไหว้ศาลเจ้าน้อยลง ก็เลยส่งพวกข้าราชการยศเล็กๆ มาคอยดูแลบ้างบางครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ขอทานและผู้ลี้ภัยทำลายศาลเจ้า”
เมื่อฉินหลิวซีได้ฟังเรื่องราว ความรู้สึกเบิกบานในใจก็ลดลงไปหลายส่วน เปลี่ยนเป็นความหม่นหมอง
ดูเหมือนว่าในช่วงสามปีที่นางไม่อยู่บนโลกนี้ แผ่นดินต้าเฟิงก็กลับตาลปัตร ไม่ได้ดีขึ้นแต่กลับแย่ลงแทน
ซื่อหลัว เป็นเจ้าทำให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกแล้วหรือ
แววตาของฉินหลิวซีมีประกายแหลมคมส่องผ่านออกมา
ผู้ตรวจการรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาทันที ถอยหลังไปสองก้าว มองฉินหลิวซีด้วยความระแวดระวัง มีความรู้สึกว่านางดูอันตรายขึ้นมา
“นายอำเภอของอำเภอหนานตอนนี้ยังเป็นเหนียนโหย่วเหวยอยู่หรือไม่”
“ใช่ขอรับ”
“พาข้าไปพบเขา” ฉินหลิวซีลูบที่เอวของนาง ชะงักไปชั่วครู่ นางเพิ่งขึ้นมาจากเบื้องล่าง ยังไม่มีเงินติดตัวสักแดงเดียว
ช่างเถิด ไปพบเหนียนโหย่วเหวยก่อน ดูสักหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงสองสามปีนี้
ที่ว่าการอำเภอ
เหนียนโหย่วเหวยใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้ากำลังนวดขมับที่ปวดหนึบของเขาไปด้วย ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งหารือเรื่องภารกิจกับผู้ช่วยนายอำเภอ เรื่องเก็บเกี่ยวปีนี้แม้จะไม่แย่นัก แต่หลังจากชาวบ้านจ่ายภาษีแล้ว ข้าวที่เหลืออาจไม่พอกินจนกว่าจะถึงการเก็บเกี่ยวครั้งใหม่ นี่เป็นปัญหาใหญ่ ยังมีปัญหาชาวบ้านหลบหนีจากการเกณฑ์แรงงานและเลี่ยงภาษีเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งทำให้เขาปวดหัวอย่างมาก
เมื่อเขาได้ยินว่าฉินหลิวซีมาที่ที่ว่าการอำเภอ เขาถึงกับชะงัก ถามผู้ตรวจการที่มาแจ้งข่าว “เจ้าว่าใครมานะ”
“เป็นเจ้าอาวาสน้อยของอารามชิงผิงผู้นั้น…เอ่อ ตอนนี้ต้องเรียกว่าเจ้าอาวาสแล้วใช่หรือไม่ ท่านผู้ใช้ฉายาเต๋าว่าปู้ฉิวผู้นั้นขอรับ”
มารดาเถอะ นั่นไม่ใช่ฉินหลิวซีหรอกหรือ
เหนียนโหย่วเหวยดีใจจนเกือบจะกระโดดขึ้นมา ชาในมือถึงกับวางไม่ลง รีบไปพบนางทันที เมื่อมาถึงห้องโถงรับแขก เห็นฉินหลิวซียืนหันหลังให้เขาอยู่จริงๆ กำลังดูตัวอักษรที่แขวนอยู่กลางห้องโถง ดวงตาของเขาถึงกับแดงก่ำ
เขาเองก็รู้เรื่องที่นักพรตเฒ่าชื่อหยวนจากไปแล้ว และรู้ว่าหลังจากที่ฝังศพอาจารย์ของนาง ฉินหลิวซีได้แต่งตั้งตำแหน่งเจ้าอาวาสน้อยอารามชิงผิงแล้วก็หายตัวไปทันที
การหายตัวไปครั้งนี้ทำให้ไม่มีใครรู้ข่าวคราว หลายคนพยายามตามหานาง แต่ไม่มีผู้ใดพบ จนไม่คาดคิดว่าตอนนี้นางจะปรากฏตัวอีกครั้ง
“ท่านเจ้าอาวาส” เหนียนโหย่วเหวยกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ
ฉินหลิวซีหันกลับมาเห็นเขา นางขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ย “สามปีไม่เจอกัน ใต้เท้าเหนียนดูแก่ลงไปมากเพียงนี้เชียวหรือ”
เหนียนโหย่วเหวยยังไม่ถึงสามสิบ เมื่อครั้งที่สอบผ่านจอหงวนและได้เป็นนายอำเภอ เขาเป็นคนหนุ่มไฟแรงดั่งชื่อของเขา คือ เหนียนโหย่วเหวย ซึ่งแปลว่า คนหนุ่มที่มีอนาคตไกล
แต่ตอนนี้เขาไว้หนวดแล้ว รอยย่นบนหน้าผากเริ่มปรากฏขึ้น และที่ใต้หมวกข้าราชการยังมีผมหงอกขึ้นมาเล็กน้อย สามปีผ่านไปเขากลับดูแก่ลงสิบปี มันเกิดอะไรขึ้น
ความดีใจของเหนียนโหย่วเหวยหายไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดทิ่มแทงใจนี้ ทำให้เขารู้สึกหม่นหมองเล็กน้อย
แต่เขาเองในปีที่ผ่านมา มีความวิตกกังวลอยู่ไม่น้อยจริงๆ ทำงานอย่างหนักเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จะไม่ให้ดูแก่เร็วได้อย่างไร
เขาลูบใบหน้าของตัวเองพร้อมกับยิ้มขมขื่น เอ่ย “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความวิตกกังวล” จากนั้นจึงเอ่ยถามนาง “ท่านไปอยู่ที่ไหนมาหรือ ข้าได้ยินมาว่าหลังจากที่ท่านชื่อหยวนจากไป ท่านก็หายตัวไปแล้ว”
เขาถามด้วยความระมัดระวัง กลัวว่าจะกระทบจิตใจของฉินหลิวซี
ฉินหลิวซี “อืม ข้าไปอยู่ในยมโลกมาสองสามปี เพิ่งปีนขึ้นมาจากข้างล่างนี่เอง”
เหนียนโหย่วเหวย “?”
วาจานี้ไยเขาไม่เข้าใจเลยว่านางกำลังเอ่ยเรื่องใด ยมโลกที่นางเอ่ยถึงนี่คืออย่างที่เขาคิดหรือไม่ ยังมี ปีนขึ้นมาอีกอย่างนั้นหรือ
เช่นนั้นนางเป็นคนหรือเป็นผีกันแน่
“อย่าคิดเหลวไหล ข้ายังเป็นคนอยู่” ฉินหลิวซีมองปราดเดียวก็อ่านใจเขาได้ทะลุปรุโปร่ง เอ่ยว่า “เล่าให้ข้าฟังสักหน่อยว่าในช่วงสองสามปีมานี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ไยอำเภอหนานถึงกลับไปอยู่ในสภาพที่ยากลำบากเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว”