คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 955 เรื่องการโต้เถียง นางไม่เคยแพ้
ตอนที่ 955 เรื่องการโต้เถียง นางไม่เคยแพ้
Ink Stone_Romance
เมื่อพลังอำนาจของฉินหลิวซีเผยออกมา ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดหวั่น หยวนซิ่วไฉผู้นั้นยิ่งตกใจจนล้มก้นจ้ำเบ้า ใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากขาวซีด
“เจ้า…” หยวนซิ่วไฉกลืนน้ำลายหลายครั้ง เดิมทีก็รู้สึกผิดอยู่แล้ว ตอนนี้ถึงกับเอ่ยอะไรไม่ออก
ฉินหลิวซีหัวเราะเย็นชา “เอ่ยสิ ให้ทุกคนได้ฟังว่าเจ้าไปจ้างคนมาสอบแทนอย่างไร แล้วหลังจากนั้นเจ้าจัดการกับคนผู้นั้นอย่างไร”
ทั่วทั้งพื้นที่เต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง
หยวนซิ่วไฉจ้องมองด้วยความตื่นตระหนก เหงื่อเย็นไหลซึมลงบนหน้าผาก เป็นไปได้อย่างไร
เหล่าโจวซิ่วไฉมองเขาด้วยความอยากจะเชื่อ “พี่หยวน ท่านรีบแก้ต่างเถิด” เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องจริงใช่หรือไม่
“ข้า…”
ฉินหลิวซีชี้ไปยังเด็กน้อยคนหนึ่ง เอ่ย “เจ้าจงไปแจ้งทางการ บอกว่าที่อารามชิงผิงได้จับคนที่จ้างคนสอบแทนและสวมรอยตำแหน่งนี้ ยังฆ่าคนปิดปากอีกด้วย”
เด็กน้อยรีบวิ่งออกไปทันที
หยวนซิ่วไฉตกใจใบหน้าถอดสี เอ่ย “ไม่ ข้าไม่ได้ทำ เจ้าเอ่ยเหลวไหล เจ้าเป็นนักพรตปีศาจ เจ้าจงใจใช้เล่ห์เพทุบายทำร้ายข้า ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้น…”
เขากำลังเอ่ย ใบหน้าพลันถูกตบด้วยฝ่ามือที่ว่างเปล่าไร้การสัมผัส หัวเบี่ยงไปด้านข้าง สลบไปทันที
“ไยเจ้าจึงตบคนด้วยเล่า” โจวซิ่วไฉตกใจถอยหลังไปสองก้าว
ฉินหลิวซีหัวเราะเย็นชา “เจ้าใช้ตาไหนมอง เห็นว่าข้าตบเขาหรือ พวกเจ้าเห็นหรือไม่”
ทุกคนส่ายศีรษะ นางแทบไม่ได้สัมผัสหน้าของหยวนซิ่วไฉเลยด้วยซ้ำ อยู่ห่างตั้งเจ็ดแปดฉื่อเลยด้วยซ้ำ
นางไม่ได้เคลื่อนไหว แล้วผู้ใดกันที่ตบหน้าหยวนซิ่วไฉ
ทุกคนหันไปมองใบหน้าขาวซีดของหยวนซิ่วไฉที่ปรากฏรอยนิ้วเขียวขึ้นมา รู้สึกสันหลังเย็นวูบขึ้นมาท่านเจ้าลัทธิเต๋า กลางวันแสกๆ พื้นที่ของท่านยังมีผีที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ
เหล่าโจวซิ่วไฉ “บัณฑิตไม่เอ่ยถึงเรื่องลี้ลับ ทุกอย่างล้วนเป็นภาพลวงตา นี่คือวิชากลที่เจ้าใช้หลอกลวงคน”
“ถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังจะใส่ร้ายข้าว่าเป็นปีศาจอีกหรือ เช่นนั้นข้าก็จะบอกว่าพวกร่ำเรียนอย่างพวกเจ้านี้ไม่รู้จักแยกแยะ สมองถูกหญ้าขึ้นแล้ว ความยุติธรรมก็ไม่รู้จัก มีแต่จะโทษคนบริสุทธิ์ ข้าเสียใจแทนครูบาอาจารย์ที่สอนพวกเจ้า”
“เจ้า…ไร้เหตุผล ดังคำที่ว่า มีเพียงผู้ที่มีจิตใจต่ำทรามและสตรีเท่านั้นที่เลี้ยงดูยาก[1]”
“สตรีที่เจ้าเอ่ยถึงก็คือข้า ยามนี้ข้าคือเจ้าอาวาสอารามชิงผิง ข้าได้ช่วยชีวิตคนนับไม่ถ้วน ทำความดีมาไม่ต่ำกว่าล้าน บุรุษอย่างเจ้าทำอะไรเพื่อบ้านเมืองบ้าง” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเย็น “ฮ่องเต้หมกมุ่นกับการปรุงยา สร้างวังหรูหรา ละเลยการบ้านการเมือง พู่กันของพวกเจ้าไยพวกเจ้าไม่ไปตำหนิฮ่องเต้ พู่กันอยู่ในมือของพวกเจ้า เขียนหนังสือเป็นหรือไม่ เส้นทางไปเมืองหลวงไปเป็นหรือไม่ เส้นทางไปวังหลวงรู้ใช่หรือไม่ ในเมื่อไม่พอใจต่อฮ่องเต้ ไม่พอใจต่อแผ่นดิน ใช้พู่กันของพวกเจ้าไปตำหนิถึงความไม่พอใจเสียสิ แต่ความเป็นจริงเล่า”
“ความจริงคือพวกเจ้าไม่กล้า พวกเจ้ากลัวจะเสียอนาคตของตัวเอง จึงได้แต่มาโกรธอย่างบ้าคลั่ง โทษคนบริสุทธิ์ อารามเหล่านี้ทำร้ายพวกเจ้าอย่างไร นักพรตเต๋าเหล่านี้ขวางทางพวกเจ้าอย่างไร ถึงต้องถูกพวกเจ้าเอาความโกรธมาลง มาสวมหมวกของมารร้ายให้เช่นนี้ อีกทั้งเหล่าผู้มีจิตศรัทธาที่มากราบไหว้ พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาขัดขวางความเชื่อของพวกเขา พวกเจ้าบัณฑิตไม่เอ่ยถึงเรื่องลี้ลับ เรื่องอะไรต้องขอให้ผู้อื่นเป็นเหมือนตนเอง พวกเจ้าไม่เชื่อในผีสาง นั่นหมายความว่าพวกเจ้าจะไม่เคารพต่อบรรพบุรุษของตนเอง ไม่ทำพิธีเซ่นไหว้ใช่หรือไม่ ไม่มีชาติตระกูลใช่หรือไม่”
ใบหน้าของเหล่าโจวซิ่วไฉแดงบ้างซีดบ้างจากคำต่อว่าของนาง
“แล้วเรื่องของมหาราชครูที่เจ้ากล่าวถึง เขาเกี่ยวข้องอะไรกับอารามเต๋าทั้งหลาย เขาเป็นตัวแทนของพวกเราคนใด เรื่องอะไรที่ต้องให้พวกเรามารับบาปที่เขาก่อ พวกเจ้าไม่พอใจ จะไปหาความยุติธรรมจากเขาก็ได้ ทำไมหรือ หรือพวกเจ้าไม่กล้า กล้าแต่มาลงกับพวกเราที่บริสุทธิ์ ผู้ใดให้ความกล้ากับพวกเจ้า”
สายตาของฉินหลิวซีเฉียบคมดุจมีด จ้องไปที่พวกเขา “พวกเจ้าเห็นว่าคนในอารามและนักพรตเต๋าที่อยู่ในสถานที่เล็กๆ นี้รังแกได้ง่ายๆ ใช่หรือไม่ หรือเห็นว่าพวกเจ้าอยู่เหนือกว่าผู้อื่น คิดจะยกตนเองสูงส่งเพราะการตำหนิผู้อื่นอย่างนั้นหรือ ถุย เป็นเพียงซิ่วไฉ ทำอย่างกับตนเองไม่ใช่ซิ่วไฉแล้ว มือชี้ไม่ได้ไหล่ยกไม่ขึ้น ทำสิ่งใดเพื่อบ้านเมืองได้บ้าง อ่านคำพูดเสียดสีมามากมาย แต่กลับไม่กล้าไปเผชิญหน้า กินอิ่มแล้วมาอวดเบ่งก่อกวนคนบริสุทธิ์ พวกเจ้าช่างเก่งจริงๆ”
เรื่องการโต้เถียง นางไม่เคยแพ้
“ดี เอ่ยได้ดี” มีชาวบ้านเริ่มปรบมือขึ้นมา
เหล่าโจวซิ่วไฉ อับอายจนใบหน้าแดงก่ำ
ฉินหลิวซียืนกอดอก สายตากวาดมองพวกเขา จากนั้นมองไปยังชาวบ้านคนอื่นๆ ที่เข้ามาล้อมรอบ ก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า “อารามชิงผิงเปิดทำการใหม่จนถึงบัดนี้ก็สิบห้าปีแล้ว ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา อารามชิงผิงของเราไม่เคยทำสิ่งใดผิด ไม่เคยเรียกร้องเงินทองจากประชาชน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนได้รับจากการบริจาคด้วยใจศรัทธาของประชาชน และในแต่ละปี เราจะนำเงินบริจาคส่วนใหญ่ไปทำความดี แจกข้าวแจกยา และยังให้การรักษาโดยไม่คิดเงิน ข้าเชื่อว่าพวกท่านย่อมทราบดี”
“ถูกต้อง ข้าได้รับยาจากอารามชิงผิงทุกปี ไม่คิดเงิน”
“อารามชิงผิงในฤดูหนาว ยังมีซุ้มให้ดื่มน้ำขิงเพื่อขับไล่ความหนาว ผู้ใดก็สามารถตักดื่มได้ และยังไม่คิดเงินอีกด้วย”
“ใช่ แม้ไม่มีเงินบริจาค ก็ยังสามารถกราบไหว้เจ้าลัทธิเต๋าได้”
“เจ้าอาวาส อารามชิงผิงเป็นอารามลัทธิเต๋าที่ดี”
เสียงที่ปกป้องอารามดังขึ้นไม่หยุดยั้ง ดวงตาของซานหยวนและคนอื่นๆ แดงระเรื่อ
มีคนหนึ่งขว้างใบผักเน่ามาทางโจวซิ่วไฉ เอ่ย “พวกเจ้าเป็นพวกไม่รู้จักบุญคุณ หอเติงเซียนของอารามชิงผิงนั้น พวกบัณฑิตอย่างพวกเจ้ามาใช้มากกว่าผู้ใด ตำราในนั้นล้วนไม่คิดเงิน ยอมให้พวกเจ้าได้คัดลอก ยังต้องการอะไรอีก ตอนนี้เพื่อชื่อเสียงของตนเองจึงมากล่าวหาต่อว่าอาราม กล่าวหาว่าเขาเป็นปีศาจ ใช้วิชามาร ยังบอกว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกับมหาราชครู ถุย พวกเจ้าต่างหากเล่าที่เป็นพวกเดียวกับพวกไม่รู้คุณคนนั่น”
“ถูกต้อง พวกเจ้าไร้ยางอาย”
“แยกแยะถูกผิดไม่ได้ หนังสือที่อ่านไปคงอยู่ในท้องสุนัขหมดแล้ว”
จากนั้นมีคนเริ่มขว้างใบผักเน่ามากขึ้น บางคนถึงกับขว้างก้อนหิน
มีคนที่กล้าหาญยิ่งกว่า คว้าถังขี้ของซานหยวน แล้วเทใส่พวกเขา
ฉินหลิวซี “…”
ไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้ กลิ่นแรงเช่นนี้ อีกไม่นานคงต้องรบกวนศิษย์อารามมาทำความสะอาด
แต่หลังจากเหตุการณ์นี้ เหล่าโจวซิ่วไฉก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว พวกเขาทั้งเสียหน้าและเสียศักดิ์ศรี พวกเขาต้องรีบหนีไป ส่วนหยวนซิ่วไฉนั่น ขอโทษเถอะ ตัวเองยังยากจะเอาตัวรอดได้
และในตอนนี้เอง มีผู้ตรวจการก็มาพร้อมกับเด็กน้อย ฉินหลิวซีอธิบายเหตุการณ์ ผู้ตรวจการถึงกับหน้าซีด เพราะการจ้างคนสอบแทนและแอบอ้างตำแหน่งนั้นเป็นความผิดใหญ่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการฆ่าคนปิดปาก
ส่วนฉินหลิวซีรู้ได้อย่างไรนั้น แน่นอนว่ามีผู้เสียหาย
ฉินหลิวซีได้บอกหลักฐานสำคัญสองอย่างตามที่ผู้เสียหายบอก ผู้ตรวจการคนหนึ่งจับกุมตัวหยวนซิ่วไฉไป ส่วนอีกคนไปหาหลักฐาน
เมื่อพวกเขาจากไป ชาวบ้านทั้งหลายต่างสงสัยจึงเอ่ยถาม “ท่านเจ้าอาวาส เขาเป็นซิ่วไฉปลอมหรือ ท่านไม่ได้แต่งเรื่องเพื่อหลอกพวกเราใช่หรือไม่”
ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ “มีเรื่องอะไรข้าก็เอ่ยไปตามจริง เจ้าอาวาสเช่นข้าไม่คิดจะหลอกลวงผู้ใด เรื่องเช่นนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะกุเรื่องขึ้นมา เช่นเดียวกัน อารามชิงผิงถือหลักการกำจัดมารปีศาจเป็นหน้าที่ ไม่เคยคิดจะสร้างวังเซียนขึ้นด้วยการขูดรีดประชาชน ยิ่งไม่เคยใช้อาคมชั่วร้ายใด เอาล่ะ ถ้าพวกท่านต้องการจุดธูปกราบไหว้ ศรัทธาเต็มเปี่ยมก็พอ ขอเทพเจ้าประทานพรให้ยืนนาน”
เมื่อชาวบ้านได้ยินเช่นนั้นพลันตื่นเต้นขึ้นมา นั่นแสดงว่าผู้เสียหายอาจอยู่ที่นี่สินะ เจ้าอาวาสช่างวิเศษนัก
“ท่านเจ้าอาวาส ท่านดูนี่สิ” ซานหยวนมองไปยังความสกปรกที่ทิ้งไว้
ฉินหลิวซีเอ่ย “เจ้าไปจัดการทำความสะอาดเสีย”
นางเพิ่งหมุนตัวกลับไป ด้านหลังกลับมีเสียงคุ้นเคยติดสะอื้นดังขึ้น “ซีซี”
[1] เป็นคำพูดจากขงจื๊อ คำพูดนี้สะท้อนถึงทัศนคติแบบโบราณที่เชื่อว่า สตรีและบุคคลที่มีจิตใจต่ำทรามนั้นยากต่อการควบคุมหรือรักษาให้อยู่ในระเบียบในปัจจุบัน คำพูดนี้มักถูกวิพากษ์วิจารณ์เนื่องจากมีลักษณะเป็นการแบ่งแยกเพศและมองสตรีในแง่ลบ