คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 956 จะแก้แค้น นับข้าด้วยคนหนึ่ง
ตอนที่ 956 จะแก้แค้น นับข้าด้วยคนหนึ่ง
Ink Stone_Romance
ฉินหลิวซีหันกลับไปมอง พบว่าซือเหลิ่งเย่ว์กำลังยืนอยู่ด้านหลังไม่ไกลจากนาง ดวงตาเปี่ยมไปด้วยน้ำตา แต่กลับยิ้มอย่างอบอุ่นมองนางอยู่ ข้างกายซือเหลิ่งเย่ว์มีผู้ติดตามมาสองสามคน หนึ่งในนั้น คืออาฉาที่นางเคยพบมาก่อน กำลังอุ้มเด็กทารกคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขน
“เสี่ยวเย่ว์”
ซือเหลิ่งเย่ว์รีบสาวเท้าก้าวเข้ามา โอบกอดฉินหลิวซีไว้แนบแน่น เอ่ย “ขอโทษด้วย ตอนที่ท่านอาจารย์ชื่อหยวนละสังขาร ข้าไม่รู้ ไม่อาจมาได้ทัน ลำบากเจ้าแล้ว”
ตอนที่อาจารย์ชื่อหยวนละสังขาร ซือเหลิ่งเย่ว์กำลังปลีกวิเวกปิดด่านฝึกฝน จนกระทั่งนางออกจากการปลีกวิเวกถึงได้รับข่าว แต่ในเวลานั้นฉินหลิวซีก็ได้หายตัวไปแล้ว
หลายปีมานี้ นอกจากการฝึกฝนวิชาแม่มดแล้ว ซือเหลิ่งเย่ว์ยังได้ใช้โอกาสนี้ให้กำเนิดทายาท และเฝ้ารอการกลับมาของฉินหลิวซี จนกระทั่งไม่กี่วันก่อน นางได้ใช้วิชาแม่มดทำนาย จึงรู้ว่าสหายเก่าได้กลับมาแล้ว รีบร้อนอุ้มลูกน้อยมาหาทันที
ฉินหลิวซีได้กลิ่นหอมเย็นๆ จากซือเหลิ่งเย่ว์ นางแย้มยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ทุกอย่างผ่านไปแล้ว”
ซือเหลิ่งเย่ว์เช็ดน้ำตาที่หางตา คลายอ้อมแขน มองพิจารณาฉินหลิวซีโดยละเอียดด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะเคาะหน้าผากนางเบาๆ เอ่ย “เจ้าโตขึ้นมากแล้ว”
ฉินหลิวซีหัวเราะ “เจ้าเป็นแม่คนแล้วนี่”
ซือเหลิ่งเย่ว์พยักหน้า “ข้าต้องรีบให้กำเนิดทายาท เพื่อที่ข้าจะได้มุ่งมั่นฝึกวิชาแม่มดอย่างเต็มที่ ต่อไปจะได้ช่วยเจ้า แก้แค้นให้ท่านอาจารย์ชื่อหยวน นับข้าด้วยหนึ่งคน”
“ได้” ฉินหลิวซีมองดูเด็กทารกในอ้อมแขนของอาฉา เอ่ย “นี่คือลูกสาวเจ้าหรือ”
ซือเหลิ่งเย่ว์รับลูกสาวจากอาฉา ยื่นให้ฉินหลิวซีอุ้ม “อุ้มหลานสักหน่อย ชื่อจริงของนางคือซือโหมว”
ฉินหลิวซีไม่ได้เตรียมใจมาเจอสิ่งนี้ รู้สึกถึงน้ำหนักในมือ อุ้มทารกน้อยไว้แน่น เมื่อก้มลงไปมองก็สบสายตาเข้ากับเด็กน้อย
เด็กหญิงอายุไม่ถึงสองขวบ ผมถูกรวบไว้เป็นจุกเล็กๆ ด้วยเชือกสีแดง ตากลมโตใสแจ๋วราวกับแสงส่องสว่าง ผิวขาวดุจหิมะ มีจุดสีแดงเล็กๆ ที่กึ่งกลางหน้าผาก ดูอวบอิ่ม
นางดูดนิ้ว น้ำลายใสๆ ไหลออกมาจากมุมปาก ขณะที่มองดูฉินหลิวซี ตาก็กะพริบปริบ ไม่มีวี่แววของความกลัวแม้แต่น้อย
ฉินหลิวซีรู้สึกประหลาดใจ นางเอ่ยรับคำและหันไปมองซือเหลิ่งเย่ว์ น้ำเสียงของเด็กน้อยชัดเจนมาก และไม่มีทีท่าจะกลัวคนแปลกหน้าเลยสักนิด
“ที่บ้านข้ามีภาพวาดของเจ้า” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยขณะเดินเข้าอารามไปพร้อมกับฉินหลิวซี “ข้ามักจะอุ้มนางและชี้ให้รู้จักคน นางรู้จักประจบคนที่แข็งแกร่ง จึงไม่กลัวเจ้าเลย”
นั่นสินะ เด็กน้อยนั่งอยู่ในอ้อมแขนของฉินหลิวซี สายตาจ้องมองไปรอบๆ ไม่เหมือนกับเด็กที่เพิ่งพบกันครั้งแรก
ฉินหลิวซีอุ้มเด็กน้อยด้วยมือหนึ่งข้าง และอดไม่ได้ที่จะบีบแก้มนุ่มๆ ของนางเบาๆ นุ่มนิ่ม สัมผัสดีมาก ก้นน้อยๆ ของนางก็เช่นกัน นุ่มนิ่มเป็นพิเศษ
“เหมือนเจ้ามาก” ฉินหลิวซีก้มลงมองดูใบหน้าของเด็กหญิงที่มีลักษณะสวยงามเป็นพิเศษ ตาโตเป็นประกาย ริมฝีปากเล็กแดงใส อายุไม่ถึงสองขวบก็เห็นเค้าความงามแล้ว อนาคตต้องเป็นหญิงงามแน่นอน
ซือเหลิ่งเย่ว์ เอ่ย “นางเติบโตได้ดี”
“พ่อนางเล่า” ฉินหลิวซีถามเบาๆ
“ข้ามีเพียงลูก ไม่มีพ่อ” ซือเหลิ่งเย่ว์ เอ่ย “ข้าคำนวณวันที่เหมาะสมไว้แล้ว และกินยาที่ข้าปรุงขึ้น เพื่อให้ได้ผลทันทีในครั้งเดียวแบบนั้น”
ฉินหลิวซี “…”
ข้ายกย่องเจ้าว่าเป็นวีรสตรี เป็นสตรีแบบนั้น
กลุ่มคนขึ้นไปยังอารามเต๋า นั่งในห้องของฉินหลิวซี ซือเหลิ่งเย่ว์ให้อาฉาพาซือโหมวออกไปเดินเล่นรอบๆ เด็กหญิงตัวน้อยดูไม่เต็มใจนัก กอดคอฉินหลิวซีแน่นไม่ยอมปล่อย
ซือเหลิ่งเย่ว์ทำหน้าดุขึ้นมา
เด็กน้อยหดคอด้วยความกลัวทันที กลัวนางเล็กน้อย
“ทำอะไรน่ะ เป็นมารดาเข้มงวดอยู่ต่อหน้าข้าหรือ” ฉินหลิวซีบ่นนางไปหนึ่งประโยค อุ้มเด็กน้อยเบี่ยงหลบไปอีกฝั่ง เอ่ยปลอบเบาๆ “โหมวโหมว ในอารามมีที่สวยงามมากมาย เจ้าไปดูรอบๆ ไปจุดธูปให้เจ้าลัทธิเต๋าด้วย เจ้าลัทธิจะได้ปกป้องโหมวโหมวน้อยคนสวยของเรา เดี๋ยวอีกสักพักข้ากับท่านแม่เจ้าจะไปหาเจ้า”
ด้วยคำปลอบนั้น เด็กหญิงตัวน้อยเชื่อฟังในทันที ยอมก้าวเท้าเล็กๆ ไปหาอาฉา
ซือเหลิ่งเย่ว์หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เอ่ย “ดูเจ้าสิ ตามใจนางจริงๆ ข้าไม่รู้แล้วว่าใครเป็นแม่กันแน่”
“ยังเป็นเพียงต้นกล้าเล็กๆ อยู่เลย เข้มงวดเกินไปจะหักง่าย” ฉินหลิวซีบ่นเบาๆ
“นางเกิดในวันล่าปา[1] อีกสองเดือนก็จะครบสองขวบเต็มแล้ว” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย “เจ้าลงมือฝึกตนตั้งแต่อายุห้าขวบ ไม่กี่ปีเจ้าก็สามารถจ่ายใบสั่งยารักษาและฝังเข็มได้เอง เจ้าทำได้ ไยนางจะทำไม่ได้เล่า ต้นกล้าต้องได้รับการบำรุงตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ เพื่อให้เติบโตทีละนิด”
พรสวรรค์ของฉินหลิวซีเป็นสิ่งที่คนอื่นพยายามอย่างไรก็ไม่อาจเทียบได้
ซือเหลิ่งเย่ว์เองก็ไม่คาดหวังว่าลูกสาวคนเดียวของตนจะมีพรสวรรค์เทียบเท่าฉินหลิวซี ซึ่งเป็นพรสวรรค์ที่ฟ้าประทานให้ แต่ก็พยายามปลูกฝังตั้งแต่ยังเล็กเพื่อให้นางสามารถรับผิดชอบตระกูลซือได้ต่อไป
คนในตระกูลซือต่างไม่มีสิทธิ์ที่จะทำตัวตามใจ ต้องแบกรับภาระการสืบทอดเท่านั้น
ฉินหลิวซีฟังแล้วก็ไม่ได้แย้งอะไร เพียงบ่นพึมพำหนึ่งประโยค “เด็กน้อยตัวอ่อนนุ่มน่ารักอย่างนี้ เจ้ายังกล้าดุอีก”
โหมวโหมวมีกลิ่นหอมน้ำนม อีกทั้งยังน่ารักเพียงนั้น ควรได้รับการทะนุถนอมเป็นอย่างยิ่ง แต่นางก็รู้ดีว่าซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยไม่ผิด สตรีในตระกูลซือไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นดอกไม้ที่บอบบาง
ซือเหลิ่งเย่ว์มองใบหน้าของฉินหลิวซีที่ดูเติบโตเต็มที่แล้ว เอ่ย “ไม่กี่ปีมานี้ เจ้าไปอยู่ที่ใดหรือ”
“ข้าอยู่ในยมโลก”
ซือเหลิ่งเย่ว์พอจะเดาได้ แต่ก็ยังคงตกใจเล็กน้อย การที่คนมีชีวิตอยู่ในแดนมรณะไม่เป็นปัญหาหรือ
“ท่านอาจารย์ชื่อหยวนเขา…”
ฉินหลิวซียิ้มบาง “เขาสบายดี ไม่ต้องห่วง”
นางไม่ได้เอ่ยถึงการจากไปของอาจารย์มากนัก ไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจซือเหลิ่งเย่ว์ แต่ไม่อยากให้มีคนรู้มากเกินไป เกรงว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยาก เพราะตอนนี้อาจารย์ได้ย้ายไปยังภพอื่นแล้ว เรื่องราวในอดีตควรจะสิ้นสุดลง ไม่ต้องไปเชื่อมโยงอะไรอีกต่อไป
ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เช่นนั้นก็ดี ตอนนั้นข้ากำลังปลีกวิเวก ต่อมาได้รับข่าวก็รู้สึกตกใจมาก กะทันหันเกินไป”
“ไม่เป็นไร เป็นเรื่องของโชคชะตา ต่อให้เจ้ามาช่วยก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ แม้แต่ข้าก็ยังช่วยอะไรไม่ได้เลย” ฉินหลิวซีนึกถึงวันที่ท่านอาจารย์ถูกสังหาร ดวงตานางฉายแววเย็นยะเยือก สายลมเย็นแผ่กระจายออกมาจากร่างของนาง
ซือเหลิ่งเย่ว์จับมือของนางเบาๆ “แม้ข้าจะไม่เก่งเท่าเจ้า แต่จงอย่าลืมว่า เจ้าไม่ได้ไร้ผู้ช่วย หากต้องเผชิญหน้ากับปีศาจเฒ่าผู้นั้นโดยตรง เจ้าอย่าได้ไปคนเดียว”
นางหยิบแผนภาพค่ายกลแผ่นหนึ่งออกมา ยื่นให้ซือเหลิ่งเย่ว์ “นี่คือส่วนหนึ่งของแผนภาพค่ายกลขังเซียน เป็นค่ายกลลับที่ไม่ถูกสืบทอดของบรรพบุรุษแห่งอารามชิงผิง ในช่วงที่พลังวิญญาณสมบูรณ์ว่ากันว่าเคยสามารถขังเซียนระดับจินตาน[2]ได้ ข้าได้มาเพียงสองส่วนเท่านั้น ยังขาดอีกเล็กน้อยจึงจะสามารถเติมเต็มแผนภาพได้สมบูรณ์ ข้าไม่รู้ว่าบันทึกประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านพ่อมดแม่มดมีบันทึกไว้หรือไม่ เจ้าลองดูสักหน่อย หากพบส่วนที่คล้ายกัน ช่วยรวบรวมมาให้ข้าด้วย”
ซือเหลิ่งเย่ว์มองดูแผนภาพ เอ่ย “เจ้าคิดจะเติมเต็มแผนภาพค่ายกลขังเซียนนี้หรือ”
“ใช่แล้ว” ฉินหลิวซีชี้ไปที่แผนภาพ “ไม่เพียงแต่จะเติมเต็ม ข้ายังจะยกระดับให้กลายเป็นค่ายกลขังเซียนอีกด้วย”
แผนภาพค่ายกลนี้ นางเตรียมไว้เพื่อแก้แค้นศัตรูที่สังหารอาจารย์ของนาง
[1] ล่าปา คือวันที่ 8 เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติจีน เป็นวันที่สำคัญในวัฒนธรรมจีนและมักจะเป็นวันที่เริ่มต้นการเตรียมการสำหรับเทศกาลตรุษจีน โดยในวันนี้ ชาวจีนจะทำพิธีบวงสรวงเทพเจ้าผู้ปกป้องข้าวและอาหาร และนิยมกิน “ข้าวต้มลาบา” ซึ่งเป็นข้าวต้มที่ประกอบด้วยธัญพืชและถั่วต่างๆ ถือเป็นการเฉลิมฉลองความอุดมสมบูรณ์และเป็นการเริ่มต้นการเตรียมความพร้อมสำหรับปีใหม่
[2] จินตาน คำนี้มักใช้เพื่อแสดงถึงระดับพลังหรือความสำเร็จในวิชาการฝึกฝนตน โดยเฉพาะในด้านการบ่มเพาะพลังปราณและการเข้าสู่ระดับขั้นที่สูงขึ้นในการฝึกวิชาเหนือธรรมชาติ