คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 958 นางอยากไปจับเขายัดใส่กระสอบ
ตอนที่ 958 นางอยากไปจับเขายัดใส่กระสอบ
ซือเหลิ่งเย่ว์ไม่ได้อยู่ในเมืองหลี่นานนัก นางมาเพื่อมาเยี่ยมฉินหลิวซีเป็นหลัก อีกทั้งยังมีธุระที่ต้องไปเยือนตระกูลอู ก่อนจากไปนางได้นำตัวกู่ไหมทองที่เลี้ยงมาหลายปีมอบให้แก่ฉินหลิวซี
“เดิมทีข้าก็หมายจะมอบให้เจ้า เพียงแต่เจ้าไปเสียหลายปี ยามนี้สิ่งของได้คืนสู่เจ้าของเดิมแล้ว”
ฉินหลิวซีรับกล่องหยกมา เมื่อเปิดออกเห็นกู่ไหมทองตัวนั้น สง่าผ่าเผยด้วยสีทองอร่าม นางเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “นี่นับว่าเป็นราชาแห่งกู่แล้วสินะ”
“ใช่แล้ว มีมัน ไม่มีกู่ใดกล้ารุกราน อีกทั้งมันยังสามารถกลืนกินกู่ตัวอื่นได้ ข้ารู้ว่าเจ้ามีเครื่องรางป้องกันตัวมากมาย แต่กู่ไหมทองนี้ถือเป็นน้ำใจของข้า มอบให้เจ้าใช้เป็นเครื่องป้องกันตัว” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย
กู่ไหมทองดุร้ายจะกัดฉินหลิวซี นางยิ้มเบาๆ ยื่นนิ้วไปแตะมัน ด้วยลมปราณอันน่ากลัวที่แผ่ออกมาก็ทำให้มันสงบลงทันที
ฉินหลิวซีกรีดนิ้วปล่อยเลือดหยดหนึ่งป้อนให้กู่ไหมทอง มองดูมันคลานเข้ามาที่บาดแผลที่นิ้วแล้วนางจึงเอ่ย “ข้าจะไม่เกรงใจเจ้าหรอกนะ”
ซือเหลิ่งเย่ว์ยิ้ม บ่น “ถ้าเจ้าเกรงใจข้า เช่นนั้นคงเห็นเป็นคนนอกแล้ว”
ฉินหลิวซีนำเครื่องรางหยกงดงามประณีตชิ้นหนึ่งขึ้นมาคล้องคอซือโหมว เอ่ย “นี่เป็นเครื่องรางป้องกันตัวจากน้า อย่าได้ทำหายเชียว”
ซือโหมวยิ้มแย้ม อ้าแขนโผเข้าหานาง หลังเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนแล้ว จูบที่แก้มไปหนึ่งครั้งจนเปียกน้ำลายไปหมด
ฉินหลิวซีเต็มไปด้วยกลิ่นนมจากนาง ลูบศีรษะของนาง เอ่ย “เจ้าต้องเติบโตอย่างปลอดภัย เทียนจุนอวยพร”
เมื่อส่งสองแม่ลูกกลับไปแล้ว ฉินหลิวซีเตรียมตัวลงเขากลับจวนตระกูลฉิน นางต้องกลับไปถามข่าวคราวของที่บ้าน
ระหว่างเดินผ่านห้องครัว ฉินหลิวซีเห็นซาหยวนจื่อ ผู้ที่ยังมีรอยแผลเป็นอยู่บนใบหน้า แต่ผมกลับกลายเป็นสีขาวหมดแล้ว เขานั่งอยู่ที่หน้าประตูห้องครัว จ้องมองนางไม่กะพริบตา
เท้าของฉินหลิวซีหยุดชะงักเล็กน้อย ไม่เอ่ยสิ่งใดแล้วเดินจากไป
ซาหยวนจื่อได้แต่มองตามเงานางจนลับตาด้วยความเศร้า
เถิงเจาเดินทางกลับเข้าเมืองไปพร้อมกับฉินหลิวซี ตอนนี้ร้านเฟยฉางเต๋าปิดประตูไม่ทำการค้าชั่วคราว เว่ยเสียเดินทางไปทุกหนแห่ง เมื่อมีประสบการณ์เพิ่มขึ้นหลายปี ก็สามารถมีตำแหน่งจริงจังในยมโลก กลายเป็นยมทูตจริงแล้ว
เพียงแต่ว่าเว่ยเสียรักความอิสระ จึงไม่ได้ไปรายงานตัวเพื่อรับตำแหน่ง ยังคงอาศัยอยู่ที่ร้านเฟยฉางเต๋า ทำอะไรไปมาตามใจชอบได้อย่างอิสระ
แท้จริงแล้วเถิงเจารู้ดีถึงความคิดของเว่ยเสีย การเป็นยมทูตไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ในภายภาคหน้ายังสามารถเลือกไปเกิดใหม่ได้ในภพที่ดี แต่ในยมโลกนั้นไม่มีฉินหลิวซี
ท่านอาจารย์ของเขาเป็นดั่งดวงตะวัน เป็นแหล่งของแสงสว่างที่ดึงดูดผู้คนรวมถึงวิญญาณทั้งหลาย
“ในที่สุดท่านก็กลับมาเสียที” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพุ่งตัวออกมาทางฉินหลิวซีราวกับกระสุน ด้านหลังของเขา ฉีหวงค่อยๆ เดินตามออกมา มองเห็นเจ้านายที่ไม่ได้เจอมาหลายปี น้ำตาพลันไหลอาบแก้ม
ฉินหลิวซียื่นนิ้วชี้ไปจิ้มหน้าผากเจ้าโสมน้อย ลดแรงพุ่งตัวเข้ามาของเขาได้ไม่น้อย “อย่าพุ่งพรวดไปมา ยืนคุยกันดีๆ”
เจ้าโสมน้อยถูกจิ้มหน้าผากจนเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว จ้องฉินหลิวซีอย่างขุ่นเคือง เจ้าคนไร้หัวใจ ไม่กลับมาหลายปี พอกลับมาก็สั่งสอนก่อนเลย
“เจ้าไปที่ใดมา ข่าวคราวก็ไม่ส่งกลับมาเลยแม้แต่นิด ทำให้ข้า…ทำให้ฉีหวงเป็นห่วงจนผ่ายผอม เจ้าดูนางสิผอมแห้งไปหมดแล้ว” เจ้าโสมน้อยเอ่ยพร้อมดึงตัวฉีหวงมา
ฉีหวงน้ำตาเอ่อคลอมองฉินหลิวซี นับตั้งแต่ปรนนิบัติดูแลอยู่ข้างกายฉินหลิวซีมา นางไม่เคยหายไปนานเพียงนี้มาก่อน
ฉินหลิวซียิ้ม “เอาล่ะ ข้าเพียงไปปิดด่านฝึกฝน นี่ก็กลับมาแล้วไม่ใช่หรือ”
“ผอมลงแล้ว” ฉีหวงเอ่ยพลางเช็ดน้ำตา
เจ้าโสมน้อยปลดถุงที่คาดเอวส่งให้นาง เอ่ย “เอาไปตุ๋นไก่บำรุงให้นางสักหน่อย”
ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว เอ่ย “เลี้ยงไม่เสียเปล่า เป็นคนมากี่ปี รู้จักใจกว้างแล้ว”
เจ้าโสมน้อยส่งเสียงหึ แล้วจึงเอ่ย “ข้าใจกว้างมาตลอด” หยุดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “ผลโสมของข้าก็เก็บไว้เต็มกล่องแล้ว สะสมมาเรื่อยๆ”
“วันหลังทำชาสมุนไพรให้ข้าบ้าง” ฉินหลิวซีมองดู เอ่ย “บ้านดูเงียบสงบลงไม่น้อย”
ฉีหวงเดินอยู่ข้างๆ นาง เอ่ย “หลังจากนายท่านสิ้นสุดการไว้ทุกข์ก็คืนสู่ตำแหน่ง นายหญิงใหญ่และอี๋เหนียงติดตามกลับเมืองหลวงแล้วเจ้าค่ะ ส่วนท่านป้าใหญ่ก็ย้ายออกไปซื้อบ้านที่ในตรอก เพราะคุณหนูอวี่เยียนแต่งงานแล้ว”
ฉินหลิวซีเอ่ยถาม “แล้วพวกเสี่ยวอู่เล่า”
ฉีหวงรินชาลงในถ้วยแล้วส่งให้ฉินหลิวซี นางนั่งลง เอ่ย “คุณชายห้ายังศึกษาอยู่ที่สำนักศึกษาจือเหอ คุณชายสามอยู่ที่ตระกูลอวี้มาโดยตลอด จริงสิ คุณชายสามสอบได้ตำแหน่งซิ่วไฉปีนี้ ปีหน้าจะสอบตำแหน่งจวี่เหรินอีกด้วยเจ้าค่ะ”
“แต่งตั้งรัชทายาทแล้ว องค์ชายที่โตแล้วก็ได้รับแต่งตั้งเป็นองค์ชายและสร้างจวนของตนเอง องค์ชายรองยามนี้เป็นจ้าวอ๋อง ทูลขอรับคุณหนูรองตระกูลฉินเป็นชายารองเจ้าค่ะ” ฉีหวงเอ่ย
ฉินหลิวซีหน้าตึง เอ่ย “เป็นนางจริงหรือ ข้าเคยทำนายดวงให้นาง แม้นางจะเลือกเส้นทางที่หวานก่อนขมทีหลัง ก็เพียงคนที่ดูภายนอกมั่งคั่ง ไยจึงไปพัวพันกับราชวงศ์ได้”
ดวงตาของฉีหวงสับสน เอ่ย “แท้จริงแล้วทั้งหมดนี้ก็เพราะท่านเจ้าค่ะ”
“ข้าหรือ”
“ก็เพราะท่านนั่นแหละ” เสียงชายคนหนึ่งดังมาจากนอกประตู
ฉินหลิวซีหันไปมอง เห็นเฟิงซิวในชุดเสื้อคลุมสีแดงเพลิงเดินเข้ามา จ้องนางด้วยความไม่พอใจ เอ่ย “กล้ากลับมาแล้วหรือ”
“เจ้ารู้ข่าวเร็วจริง” ฉินหลิวซีหัวเราะแก้เขินพร้อมแตะจมูกตัวเองเบาๆ
เฟิงซิวมองสำรวจนางอย่างละเอียด เยี่ยมจริงๆ เขาดูไม่ออกถึงขั้นการบำเพ็ญของนางแล้ว
“รอท่านมาหาข้า ข้าก็ไม่รู้จะเป็นปีใดเดือนใด” เฟิงซิวเอ่ย “หลายปีมานี้ ไม่ใช่มีเพียงท่านที่ก้าวหน้า”
เขาเองก็ไม่เคยละเลยการฝึกฝน นับตั้งแต่วันนั้นที่อาจารย์ชื่อหยวนถูกสังหาร ทุกคนก็เก็บความเคียดแค้นไว้ ไม่ใช่เพื่อสิ่งใดอื่น เพียงเพื่อวันที่จะสามารถช่วยนางกำจัดเหล่าปีศาจได้
ฉินหลิวซีมองดูทุกคนในห้องนี้ ความอบอุ่นเอ่อล้นในหัวใจ เอ่ยถาม “ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ที่เจ้าเอ่ยเมื่อครู่หมายความอย่างไร”
“หลายปีก่อนที่ท่านหาค่าน้ำมันตะเกียงในเมืองหลวง ท่านดึงดูดเพียงเงินน้ำมันตะเกียงหรือ ยังมีเส้นสาย สามปีก่อนตอนที่เจอจ้าวอ๋อง ท่านก็ดึงดูดความสนใจของเขา องค์ชายที่มีใจทะเยอทะยาน ที่ต้องการที่สุดคือเส้นสาย การแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์แน่นอนว่าไม่อาจเลี่ยงได้” เฟิงซิวนั่งลงเอ่ยต่อ “ตระกูลฉินไม่อาจตัดสินใจแทนท่านได้ และไม่กล้าตัดสินใจแทนท่าน อีกทั้งท่านหายตัวไปราวกับไม่อาจตามหาได้อีกแล้ว มิเช่นนั้นคนที่จ้าวอ๋องเล็งไว้ คงจะเป็นท่าน”
เขาเอ่ยถึงตรงนี้ น้ำเสียงเย็นชาขึ้นมา
เถิงเจาและคนอื่น ๆ รู้สึกขยะแขยง แม้พวกเขาจะรู้ว่าฉินหลิวซีไม่มีทางไปเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ แต่การถูกปฏิบัติเหมือนสิ่งของที่ถูกซื้อขายทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนมีก้างติดคอ น่ารังเกียจยิ่งนัก
จ้าวอ๋องผู้นั้นนับว่าเป็นตัวอะไร กล้าเพ้อฝันถึงฉินหลิวซี
“ท่านหายตัวไปหลายปีไม่ปรากฏตัว แต่อารามชิงผิงยังคงอยู่ และเขารู้ดีว่าคงไม่อาจดึงท่านเข้าไปในวังหลังได้ ก็เลยถอยไปเลือกคุณหนูรองฉินซึ่งกำลังอยู่ในวัยที่เหมาะสม อย่างไรก็ล้วนเป็นสตรีตระกูลฉิน ท่านเป็นพี่สาวของภรรยา ไม่แน่อาจเป็นประโยชน์ให้เขาได้อีกด้วย”
ฉินหลิวซีกำหมัดแน่น เทียนจุนไร้ขอบเขต นางอยากไปจับเขายัดใส่กระสอบจริงๆ