คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 960 อย่าได้เป็นศัตรูกับบรรพบุรุษผู้นั้น
ตอนที่ 960 อย่าได้เป็นศัตรูกับบรรพบุรุษผู้นั้น
เมื่อรู้ว่าฉินเหมยเหนียงยังไม่ได้กลับเมืองหลวง ฉินหลิวซีจึงเดินทางไปพบนางสักครั้ง ฉินเหมยเหนียงเห็นฉินหลิวซีกลับมา รู้สึกตื้นตันจนดวงตาแดงก่ำ เอ่ยถามด้วยความวิตกกังวลถึงที่ไปของนางในหลายปีที่ผ่านมา
“พวกพี่สะใภ้ใหญ่เป็นห่วงเจ้ามาก กังวลไม่น้อย เจ้ากลับมาครานี้ ได้ส่งข่าวไปให้พวกนางแล้วหรือไม่”
ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ เอ่ย “ข้าจะเดินทางไปเมืองหลวงในไม่ช้า”
“ก็ดีเหมือนกัน ไม่ได้เจอกันหลายปี พวกนางคิดถึงเจ้ามาก” ฉินเหมยเหนียง เอ่ย “ร้านผลไม้แช่อิ่มก็ยังเป็นข้าดูแลแทนเจ้าอยู่ เจ้ารอก่อน เดี๋ยวข้าจะให้ผู้จัดการส่งบัญชีมาให้เจ้าตรวจสอบดู”
“ไม่ต้องหรอก เดิมทีข้าเองก็ไม่มีความตั้งใจจะเก็บร้านนี้ไว้ หากรายได้ดี ก็ขอให้ท่านมอบเงินให้กับพ่อบ้านหลี่หรือช่วยข้าแลกเปลี่ยนเป็นข้าวสารแทน” ฉินหลิวซีคว้ามือห้ามนางไว้
ฉินเหมยเหนียงรับคำ เอ่ยต่อ “เรื่องของท่านอาจารย์เจ้า น่าเสียดายมากจริงๆ”
ฉินหลิวซียิ้ม เอ่ย “ไม่เป็นไร เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ อวี่เยียนแต่งงานแล้วหรือเจ้าคะ”
ฉินเหมยเหนียงพยักหน้าแล้วเอ่ย “เป็นฮูหยินอวี๋ที่เป็นแม่สื่อให้ แต่งกับครอบครัวชาวนาที่มีการศึกษาในเมืองครอบครัวหนึ่ง แซ่เหมียว แม้จะยากจนไปบ้างแต่ก็เรียบง่าย พ่อแม่สามีก็ใจดี อีกทั้งยังมีน้องสาวสามีอีกคน สามีของนางเป็นผู้ที่ได้รับตำแหน่งจวี่เหริน นิสัยดี ขยันเล่าเรียน ข้าเตรียมสินสมรสให้นางนับว่าสมบูรณ์พร้อม ใช้ในชีวิตประจำวันได้ หากลูกเขยมีโชคได้ตำแหน่งจิ้นซื่อ ข้าก็คงวางใจแล้ว”
“อวี่ชิงเล่า” ฉินหลิวซีมองไปทางฉินอวี่ชิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ย “ปีนี้ก็ถึงวัยปักปิ่นแล้วใช่หรือไม่”
ฉินอวี่ชิงพยักหน้า “พี่หญิงใหญ่ ข้าปักปิ่นแล้วเจ้าค่ะ”
“เดิมข้าไม่คิดจะออกเรือนอีก และได้แต่งตั้งเป็นหัวหน้าครอบครัวเรียบร้อยแล้ว อวี่เยียนแต่งงานไปแล้ว ชิงเอ๋อร์ก็จะอยู่บ้านเพื่อแต่งเข้ามา ลูกในอนาคตจะใช้แซ่ฉิน” ฉินเหมยเหนียงวางแผนไว้แล้ว
ฉินหลิวซีมองไปที่ฉินอวี่ชิงที่อายม้วนจนหน้าแดง เอ่ย “ดวงดาวหงหลวน[1]ยังไม่เคลื่อนไหว อย่าพึ่งรีบร้อน แต่งงานช้าสักนิด รอให้โตขึ้นอีกนิด กระดูกแข็งแรงแล้ว การมีบุตรก็จะง่ายขึ้น”
“พี่หญิงใหญ่” ฉินอวี่ชิงอายแทบก้มหน้ามุดลงไปในหน้าอกอยู่แล้ว
ฉินเหมยเหนียงได้ยินว่าการแต่งงานของบุตรสาวยังมาไม่ถึง แม้จะรู้สึกเสียดายอยู่ในใจที่บุตรสาวคนเล็กยังไม่มีคู่ครอง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่นัก อย่างไรนางก็เพิ่งปักปิ่น บุตรสาวคนโตก็นับว่าแต่งงานช้า นางก็ไม่มีปัญหาอะไร เป็นอย่างที่ฉินหลิวซีบอก ให้กำเนิดลูกตอนโตขึ้นมาสักหน่อยก็ไม่เลว
ฉินหลิวซีมีเวลาจำกัด หลังจากตกลงเรื่องร้านกับฉินเหมยเหนียงแล้วก็ออกเดินทางทันที นางไม่ได้พักในเมืองนานนัก เพราะยังต้องไปทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลที่ศาลเทพเจ้าประจำเมือง แต่ก่อนจะกลับไปอำเภอหนาน นางได้แวะไปยังอารามเต๋าก่อน
“สามปีนี้ ยันต์สงบสุขที่อารามจำเป็นและเครื่องรางที่ต้องใช้ในพิธีต่างๆ เจ้าเขียนได้ดีมาก เจ้าสมควรได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสน้อยแล้ว” ฉินหลิวซีพาเถิงเจาไปยังห้องลับที่มีเพียงทายาทผู้สืบทอดเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ เอ่ยต่อไปว่า “ที่นี่เป็นที่จัดวางป้ายบรรพบุรุษของท่านอาจารย์ในอดีต รวมถึงป้ายชะตาชีวิต เจ้าในฐานะทายาทรุ่นถัดไป ต้องรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งนี้”
เถิงเจาพยักหน้า ถือธูปขึ้นและไหว้ป้ายบรรพบุรุษหลายครั้ง ปักธูปลงในกระถาง
“ส่วนป้ายชะตาชีวิต ล้วนทำจากเลือดหัวใจและวันเดือนปีเกิดของเจ้าของ ใช้อาคมสร้างขึ้นมา แทนความเป็นชีวิตของแต่ละคน ดั่งเช่นตะเกียงวิญญาณ หากตะเกียงดับลง บุคคลนั้นจะสิ้นชีวิต และป้ายชะตาชีวิตจะแตกสลาย” ฉินหลิวซีมองไปยังป้ายชะตาชีวิตที่เหลืออยู่ไม่กี่ป้าย เอ่ย “ความหมายของป้ายชะตาชีวิตนั้น ก็เพื่อให้ผู้ที่ยังมีชีวิตรู้ถึงชะตากรรมของคนที่เกี่ยวข้องกับป้ายนั้น หากป้ายมีรอยร้าว หมายถึงอันตราย หวังว่าเราจะสามารถจัดการได้ทันการณ์ ไม่ปล่อยให้เกิดความเสียใจ”
เถิงเจามองไป ป้ายชะตาของท่านอาจารย์ปู่ชื่อหยวนถูกเก็บไปแล้ว
ฉินหลิวซีพาเขาไปยังโต๊ะหินที่สลักด้วยรูปแปดเหลี่ยมหยินหยาง เอ่ย “ศาสตร์การทำนายต้าเหยียนนั้น ต้องใช้พลังชีวิตและพลังวิญญาณอย่างมาก เจ้ายังอายุน้อย ห้ามใช้วิชานี้โดยไม่จำเป็น การปูพื้นฐานให้มั่นคงและฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอคือเส้นทางที่ถูกต้อง มิฉะนั้น หากเจ้ามีพลังไม่เพียงพอ ก็จะไม่สามารถใช้วิชาทำนายต้าเหยียนได้ และต้องเผชิญกับการสะท้อนกลับที่รุนแรง”
“ศิษย์เข้าใจ” เถิงเจาเอ่ยอย่างละอายใจ “ข้ายังไม่เก่งพอที่จะใช้วิชาทำนายต้าเหยียน”
ฉินหลิวซีคลี่ยิ้ม เอ่ย “ไม่ต้องดูถูกตัวเอง เจ้ามีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว เพียงต้องพยายามฝึกฝนต่อไป การบำเพ็ญทางเต๋านั้น เป็นเส้นทางที่ยาวนานและน่าเบื่อ แต่ถ้าเจ้าสามารถหาจุดที่ทำให้ตัวเองสนุกกับมันได้ เจ้าก็จะพบกับความลึกซึ้งและความสนุกน่าสนใจในนั้น”
เถิงเจาพยักหน้า เม้มปากเล็กน้อย เอ่ยถาม “ท่านเอ่ยกับข้ามากเพียงนี้ เป็นเพราะท่านตั้งใจจะจากไปอีกครั้งหรือไม่”
“ไยเจ้าจึงคิดเช่นนั้นเล่า”
เถิงเจาก้มศีรษะลง
“ข้าเพียงแต่เอ่ยตามที่นึกได้ วางใจ ข้าจะไม่จากไปโดยไม่บอกกล่าว หากเจ้าอยากตามไปด้วย เช่นนั้นก็ไปเมืองหลวงด้วยกัน” ฉินหลิวซีเอ่ย “อย่างไรเจ้าก็ไม่ได้พบกับบิดาของเจ้าเป็นเวลาหลายปีแล้ว”
เถิงเจาขมวดคิ้ว เอ่ย “ข้าอยากไปก็เพราะท่านจะไป ข้าเพียงอยากติดตามท่านและเรียนรู้จากท่าน ส่วนเรื่องครอบครัว ข้าไม่ได้อยากไป”
เขาเป็นคนที่เกิดมาไม่ค่อยมีอารมณ์ความรู้สึก ไม่สนิทสนมกับครอบครัวมากนัก หลังจากที่เข้าสู่เส้นทางเต๋า อารมณ์นี้ก็ยิ่งจืดจางลงอีก ครอบครัวเถิงสำหรับเขาแล้วเป็นเพียงแค่สายเลือดร่วมกัน เส้นทางของทุกคนไม่เหมือนกัน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยคิดถึงคนเหล่านั้นเลย
ฉินหลิวซีไม่คิดจะเกลี้ยกล่อม เพียงแค่ลูบศีรษะของเขาเบา ๆ เอ่ย “เมื่อศาลเทพเจ้าประจำเมืองที่นั่นมีผู้ศรัทธามากพอ ข้าจะกลับมารับเจ้า”
“ตกลง”
เมื่อออกจากห้องลับ ฉินหลิวซีก็เอ่ยกับชิงหย่วนว่าจะพาตัวซาหยวนจื่อไปด้วย
ชิงหย่วนสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนถามอย่างระมัดระวัง “เขาไม่มีที่ไปแล้ว อีกทั้งยังโง่เขลาไม่ประสีประสา จะปล่อยให้เขาออกไปเป็นขอทานก็คงไม่ดี”
ใบหน้าของฉินหลิวซีเปลี่ยนเป็นเขียวด้วยความรู้สึกไม่พอใจที่ชิงหย่วนคิดว่าตนโหดร้าย ถึงกับคิดว่านางจะพาคนโง่ออกไปเพื่อทิ้งเขา
“ศาลเจ้าประจำเมืองในอำเภอหนานต้องการคนดูแล ข้าไม่อาจเป็นผู้ดูแลอยู่ที่นั่นได้ตลอดเวลา เขาไปเฝ้าอยู่ที่นั่นก็เหมาะสมแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยความไม่สบอารมณ์ “เขาอาจจะโง่ไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีความรู้อะไร เขามีพรสวรรค์ สิ่งที่เคยเรียนรู้เขาสามารถใช้ตามสัญชาตญาณได้ เพียงพอที่จะเฝ้าศาลเทพเจ้าประจำเมืองแห่งหนึ่งได้”
สิ่งที่นางเคยทำกับเขาในวันนั้น เพียงแค่ค้นหาวิญญาณซึ่งอาจมีผลต่อสมองบ้าง แต่ไม่ได้ทำให้เขาโง่เง่า ถ้าเขาถูกทำลายจนหมดสิ้นจริงๆ ในวันนั้น ก็คงไม่สามารถหาทางไปถึงภูเขาเทียนได้
ชิงหย่วนเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “ท่านอาจารย์เคยพาเขากลับมาอารามด้วย ข้ากลัวว่าท่านอาจจะทำผิดจากความตั้งใจดีของท่านอาจารย์โดยไม่รู้ตัว”
“เลิกเสแสร้งได้แล้ว ข้าดูออกว่าเจ้าคิดว่าข้าจะทิ้งเขา” ฉินหลิวซีแค่นเสียงเบาๆ
ชิงหย่วนโต้แย้ง “ไม่มีเรื่องเช่นนั้น”
ฉินหลิวซีเหลือบมองไปยังซาหยวนจื่อที่นั่งยองๆ อยู่ที่มุมห้อง เอ่ย “ถ้าข้าคิดจะทำอะไรกับเขาจริงๆ ก็ไม่มีใครสามารถขัดขวางข้าได้ แม้แต่ท่านอาจารย์ก็ไม่อาจทำได้ เขาควรจะขอบคุณที่ท่านอาจารย์ช่วยเหลือเขาไว้”
ไม่เช่นนั้น ซาหยวนจื่อคงได้ไปอยู่เป็นเพื่อนกับชื่อเจินจื่อแล้ว ไม่ใช่นั่งยองๆ วาดวงกลมอยู่ที่มุมห้องเช่นนี้
ในเมื่อตาเฒ่าช่วยเขาไว้ เขาก็ควรไปอยู่ในที่ที่ของตาเฒ่า การเฝ้าตาเฒ่าเป็นสิ่งที่สมควร
หากมีโชค ไม่แน่อาจได้อาศัยแสงแห่งเทพสักนิดหนึ่งก็เป็นได้ นี่นางกำลังวางทางให้เขาเดินบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยดอกไม้นะ แต่เขากลับไม่รู้ดีชั่ว
ชิงหย่วนรู้สึกผิด ไม่กล้ามองหน้าฉินหลิวซีที่มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเดินไปหาซาหยวนจื่อ กำชับเขาให้ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด อย่าได้เป็นศัตรูกับบรรพบุรุษผู้นั้นเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นหากเขาจะถูกสังหาร ตนก็ไม่อาจขอความเมตตาให้ได้
[1] ดาวหงหลวน เป็นหนึ่งในดวงดาวที่เกี่ยวข้องกับความรักและการแต่งงานในโหราศาสตร์จีนโบราณ เชื่อกันว่าหาก “ดาวหงหลวน” ปรากฏในดวงชะตาของใครคนนั้นจะพบกับเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก หรือการแต่งงานในช่วงเวลานั้นๆ ดาวหงหลวนยังไม่เคลื่อน จึงหมายความว่าเวลาสำหรับเรื่องความรักหรือการแต่งงานยังมาไม่ถึง หรือยังไม่ถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเจอคู่ครอง