คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 967 ขนแกะไม่สามารถขูดได้จากแกะตัวเดียว
ตอนที่ 967 ขนแกะไม่สามารถขูดได้จากแกะตัวเดียว
อำเภอหนานยากจน แต่ก็ยังมีคนที่ร่ำรวยอยู่บ้าง แม้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันจะไม่ดีเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ยังมีคนที่ยังคงมีศรัทธาอยู่ ศาลเทพเจ้าประจำเมืองมีผู้ดูแลใหม่ที่มีความสามารถ ข่าวว่าเทพเจ้าศาลเทพเจ้าประจำเมืองมีพลังมากขึ้นก็แพร่กระจายออกไป คนที่มาสักการะก็เริ่มเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
อย่างไรผู้ดูแลศาลเทพเจ้าที่นี่ก็ตีความคำทำนาย เรียกได้ว่าแม่นยำมาก
ฉินหลิวซีทำหน้าที่อยู่ที่ศาลเทพเจ้าประจำเมือง ทั้งช่วยท่านเทพเจ้าประจำเมืองรวบรวมศรัทธาจากผู้คน พร้อมทั้งพาซาหยวนจื่อทำหน้าที่ที่ผู้ดูแลศาลเทพเจ้าควรทำ อย่างไรต่อไปนางก็ต้องไปทำภารกิจในที่ต่างๆ ยังต้องไปเมืองหลวงสักพัก พาเขาออกมาแล้ว จะได้ดูแลศาลเทพเจ้าให้ดี
หากมีคนมาเสี่ยงเซียมซี ผู้ดูแลศาลเทพเจ้าย่อมต้องช่วยแปลคำทำนายเป็นเรื่องปกติ สำหรับซาหยวนจื่อแล้ว เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องยาก แม้ว่าจิตใจของเขาจะยังคงสับสนเพราะเคยถูกค้นวิญญาณมาก่อนก็ตาม ทำให้ดูเหมือนว่าเขายังมีความโง่เขลาอยู่
เพราะเหตุนี้ ฉินหลิวซีจึงบ่นพึมพำประโยคหนึ่ง เทพเจ้าประจำเมืองเพิ่งจะมีวิญญาณมั่นคงขึ้นมาบ้างด้วยอานิสงส์จากศรัทธาของผู้คน เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงประทานประกายแสงแห่งปัญญาให้ซาหยวนจื่อเล็กน้อย
ฉินหลิวซี “!”
นางจ้องเขาเขม็งด้วยความขุ่นเคือง นางเองเป็นคนวิ่งเต้นช่วยรวบรวมศรัทธาให้เขาแท้ๆ แต่กลับไม่ได้รับประกายแสงแห่งปัญญานั้นแม้แต่น้อย เขานี่สิกลับมอบให้คนโง่เขลาเช่นนั้นไปเสียได้
เทพเจ้าประจำเมืองรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เอ่ย “เจ้าไม่อาจเฝ้าดูแลที่นี่ได้ตลอดไปมิใช่หรือ เจ้ามีเส้นทางของเจ้าเอง เมื่อเขาเป็นผู้ดูแลศาลเทพเจ้านี้ ข้าจึงมอบประกายแสงแห่งปัญญาให้เขาเล็กน้อย เพื่อให้จิตใจของเขามั่นคงขึ้นและสามารถปฏิบัติหน้าที่ของผู้ดูแลศาลได้ดีขึ้นไม่ใช่หรือ”
ฉินหลิวซีหัวเราะเยาะเบาๆ สองครั้ง แต่ไม่ได้โต้แย้งอะไร
ใช่แล้ว นางมีเส้นทางของนางเอง
ซาหยวนจื่อแสดงความตั้งใจด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าจะทำหน้าที่ผู้ดูแลศาลให้ดี”
การได้รับประกายแสงแห่งปัญญาจากเทพเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการกินยาอันประเสริฐใดๆ ทำให้จิตใจที่สับสนของซาหยวนจื่อแจ่มใสขึ้นมาก เขาจึงมีสติสงบสุขและจิตใจผ่อนคลาย
ฉินหลิวซีเฝ้าสังเกตอยู่สองวัน เห็นว่าเขาสามารถจัดการทุกสิ่งทั้งในและนอกศาลได้เรียบร้อย จึงวางใจและเริ่มเสี่ยงทายเพื่อหาตำแหน่งของกงปั๋วเฉิง
หากต้องการให้ศาลเทพเจ้าประจำเมืองมีศรัทธาและธูปเทียนเจริญรุ่งเรือง ประชาชนในแถบนี้ย่อมต้องมีชีวิตที่สงบสุข แม้อาจไม่ถึงขั้นมั่งคั่ง แต่ก็ควรที่จะไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง ดังนั้นอำเภอหนานนี้ต้องมีความมั่งคั่งขึ้นมาจึงจะได้
และการหาเงินต้องพึ่งมือทองของกงปั๋วเฉิง ผู้เชี่ยวชาญในการเปลี่ยนสิ่งธรรมดาให้เป็นทองคำสมดังสมญาอันศักดิ์สิทธิ์ของเขา
เขาฉลาดหลักแหลม ย่อมสามารถทำให้พื้นที่นี้เจริญรุ่งเรืองขึ้นได้ ต่อให้ทำกิจการการค้าก็สามารถสร้างงานให้ประชาชนได้ไม่น้อยเมื่อมีเงินเข้ามาแล้วมิใช่หรือ
ผู้คนก็จะไม่ต้องกังวลกับการดำรงชีวิต ถึงจะมีความสุขใจในการไปไหว้พระ ทำบุญ และเดินเที่ยวงานที่ศาลเทพเจ้าจัด ใช่แล้ว ถ้ามีงานวัดที่ศาลเทพเจ้าประจำเมืองแห่งนี้ ศรัทธาก็จะหลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสาย
แต่ตอนนี้ ท่านลุงท่านนี้กลับไปอยู่ที่ซานตง
ในซานตง มีเกาะเผิงไหล[1]ต่างแคว้นอยู่ที่นั่นด้วย
ฉินหลิวซีจึงเดินทางผ่านเส้นทางหยิน
กงปั๋วเฉิงอยู่ที่เมืองหลินของซานตง เมื่อฉินหลิวซีสัมผัสถึงตำแหน่งที่อยู่ของเขา เขากำลังประชุมเจรจาการค้ากับพ่อค้าท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่สองคน เมื่อเขากลับมาถึงที่พักของตนเองก็เห็นเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นผิงกั่ว[2] มือทั้งสองข้างไขว้หลัง
ยังคงสวมเสื้อผ้าสีครามเช่นเดิม แต่ดูสูงขึ้นมาก คาดคะเนว่าตอนนี้สูงเกินเจ็ดฉื่อแล้ว ผมหางม้ายาวห้อยลงมาที่กลางหลัง ดูผอมบางลงไม่น้อย
เมื่อนางหันหลังกลับมา เด็กหญิงตัวน้อยในวันวานได้เติบโตเป็นหญิงสาวเต็มตัวแล้ว ใบหน้าคิ้วคมดูสงบนิ่ง ราวกับมีอะไรบางอย่างที่สะสมอยู่ในใจ
ฉินหลิวซียกมือขึ้นทักทายเขา “พี่ชาย ไม่ได้พบกันนาน สุขสบายดีหรือไม่”
กงปั๋วเฉิงหัวเราะเบาๆ เดินเข้าไปหา ยื่นมือมาขยี้ศีรษะนางเล็กน้อย ตบไหล่นาง “ยังสบายดีอยู่หรือ”
“ยังมีชีวิตอยู่” ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย เดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับเขา เอ่ยถาม “ไยจึงมาซานตงแล้วเล่า”
กงปั๋วเฉิงเอ่ย “ทางเส้นทางสายไหมในแถบตะวันตกต้องการเครื่องลายครามเป็นจำนวนมาก ในเมืองหลินที่นี่เครื่องปั้นดินเผามีชื่อเสียง เลยมาดูสินค้า อีกอย่าง เมื่อปีที่แล้วข้าได้ต่อเรือเดินสมุทรที่นี่ด้วย จริงสิ อาสามของเจ้าอยู่ที่เมืองหลินพอดี วันนี้มีเรือเดินสมุทรกลับมา เขาเลยไปรอรับพร้อมกับผู้ดูแลจ้าว”
กงปั๋วเฉิงหัวเราะเบาๆ “เขาเพียงตามหลังไปกินน้ำแกง[3] จะเป็นภาระอะไรได้ได้”
“ก็ดีแล้ว” ฉินหลิวซีจิบชา เอ่ย “เอ่อ ตอนนี้ท่านทำกิจการการค้าใหญ่โตไปทั่วแล้ว ทำเรื่องดีๆ บ้างสิ”
“ข้าทำความดีไม่น้อย ทุกปีบริจาคข้าวสารและเสื้อกันหนาวไม่เคยขาด หากที่ใดเกิดภัยพิบัติ จวนของข้าย่อมจัดการบริจาคทันที” กงปั๋วเฉิงจ้องนาง “อย่าหวังจะใส่หมวกพ่อค้าชั่วที่เอาแต่ได้ให้ข้า”
เขาทำกิจการการค้าใหญ่โต แต่การทำความดีก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากัน นี่ก็เป็นสิ่งที่ฉินหลิวซีบอกเอาไว้ สิ่งที่เขาได้รับก็คือการดึงทรัพย์สินของผู้อื่นมาโดยชอบธรรม เมื่อได้มากเท่าใด ก็ต้องกระจายออกไปบ้าง ไม่เช่นนั้นจะเสียโชคดีไป
เขาฟังคำพูดนี้ไว้ในใจและถือเป็นหลักปฏิบัติ
ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่มีที่หนึ่งที่ท่านน่าจะส่งคนไปฟื้นฟูให้ดีสักหน่อย”
“ที่ใด” ที่ใดกันนะที่ทำให้นางต้องมาบอกด้วยตนเอง คงเป็นสถานที่สำคัญไม่ใช่น้อย
“อำเภอหนาน”
กงปั๋วเฉิงชะงักไปครู่หนึ่ง “อำเภอหนานที่อยู่ภายใต้การปกครองของจวนอันหนานแห่งหนิงโจวใช่หรือไม่ ที่นั่นมีแต่ภูเขาล้อมรอบ และข้าเคยได้ยินว่ามีประชาชนบางส่วนอาศัยอยู่ในภูเขาลึก ซึ่งควบคุมได้ยากมาก อำเภอหนานก็ยากจน แม้ว่าจะอยู่ภายใต้การปกครองของเมืองหลีเหมือนกัน แต่ถ้าเทียบกับเมืองหลีแล้ว อำเภอหนานก็เหมือนพี่น้องที่ยากจน เจ้าหน้าที่ในเมืองหนาน ต่างก็คิดจะเป็นนายอำเภอสามปีแล้วเปลี่ยนไปสั่งสมประสบการณ์ในที่อื่น”
“นั่นแหละที่ข้าอยากให้ท่านช่วยคิดหาทางฟื้นฟู” ฉินหลิวซีเอ่ย “ท่านเป็นพ่อค้าย่อมรู้ดีว่าสถานการณ์ของต้าเฟิงตอนนี้เป็นอย่างไร พวกพ่อค้าร่ำรวยก็ย่อมจะได้รับผลกระทบโดยตรง”
กงปั๋วเฉิงหัวเราะเยาะ “แผ่นดินนี้ไม่แน่ว่าจะอยู่ได้อีกกี่ปี ข้ามาจัดการเรื่องเส้นทางสายไหมและเรือเดินสมุทรก็เพื่อเตรียมทางหนีทีไล่ หากเจ้าคนนั้นบีบพวกพ่อค้าอย่างพวกข้ามากเกินไป เช่นนั้นต้องขอโทษแล้ว ไม่ว่าไปเข้าร่วมกับแคว้นอื่นหรือหากองกำลังที่กล้าหาญ ไปลงทุนเพื่อยกธงขึ้นต่อสู้ก็ต้องทำแล้ว”
ว่ากันว่าเศรษฐกิจเป็นรากฐานของการปกครองแคว้น แคว้นใดจะแข็งแกร่งหรือไม่ ไม่ใช่เพียงแค่มีผู้มีวิสัยทัศน์ในการบริหารแคว้นเท่านั้น แต่ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจ ดูว่ามั่งคั่งหรือไม่ ว่ากันว่าถ้าแม่ครัวไม่มีข้าวสารจะทำอาหารอย่างไรได้ หากไม่มีเงินพอ จะพูดถึงความเข้มแข็งของแคว้นได้อย่างไร
หากฮ่องเต้ต้าเฟิงสติฟั่นเฟือนไปจริงๆ กดขี่พ่อค้าจนถึงที่สุด คนเหล่านั้นโมโหขึ้นมาแล้วพากันหนีไปพร้อมกับเงินทอง ความเป็นอยู่ของประชาชนก็จะล้มครืนทันที เพราะสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตทั้งอาหาร เสื้อผ้า ที่พักอาศัย จะมีส่วนใดที่ไม่ขึ้นอยู่กับพ่อค้าเล่า
กงปั๋วเฉิงเอ่ยอย่างเย็นชา “ตอนนี้ภาษีสมาคมพ่อค้าก็เพิ่มขึ้นอีกสองส่วนแล้ว หากใช้เพื่อทำสงครามหรือช่วยแผ่นดินในการบรรเทาภัยพิบัติก็ไม่ว่าอะไร ถือว่าใช้ไปในสิ่งที่คุ้มค่า ในเมื่อพวกเราเป็นคนต้าเฟิง มีเงินก็ช่วยเงิน มีแรงก็ช่วยแรง แต่ภาษีนี้เห็นได้ชัดว่าเพื่อเอาไปใช้ในวังหลวงเพื่อหาทางยืดชีวิต สร้างวังเซียนนั่น นั่นแหละที่ทำให้คนหงุดหงิด”
การเพิ่มภาษีไม่ได้ทำให้พ่อค้าร่ำรวยต้องหมดตัว แต่สำหรับพ่อค้ารายเล็กแล้ว มันเป็นความเจ็บปวดอย่างมาก ภาษีการค้าที่เพิ่มขึ้นสองส่วนนี้ พวกเขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเจรจา หากยังจะต้องเพิ่มอีก ก็อย่ามาโทษพวกเขาเลย
ตัดขนแกะจากแกะตัวเดียว นี่จะบีบให้แกะนั้นเป็นบ้าไปหรืออย่างไร
ฉินหลิวซียกกาเทชาให้เขา เอ่ย “ท่านก็จะเป็นพ่อคนแล้ว ไยพออายุมากขึ้นกลับมีโทสะมากขึ้นเล่า”
[1] ในบริบทของวรรณกรรมจีนและตำนานจีน “เผิงไหล” เป็นชื่อของเกาะลึกลับที่เชื่อกันว่ามีอยู่ในทะเลจีนตะวันออก มักถูกกล่าวถึงในเรื่องราวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์และสถานที่ที่เป็นที่อยู่อาศัยของเทพเจ้าหรือผู้มีชีวิตอมตะในวรรณกรรมจีนโบราณ
[2] ต้นผิงกั่ว ต้นแอปเปิล
[3] เป็นสำนวนใช้เพื่อสื่อถึงการที่บุคคลหนึ่งติดตามอีกคนไปโดยไม่มีบทบาทหรือหน้าที่สำคัญ เพียงแค่ตามไปเพราะเหตุผลบางประการ