คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 968 เตรียมพร้อมก่อนฝนตก
ตอนที่ 968 เตรียมพร้อมก่อนฝนตก
เมื่อฉินหลิวซีเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาอย่างรวดเร็ว กงปั๋วเฉิงรู้สึกเคอะเขินอยู่บ้าง
“เจ้ามองออกแล้วหรือ” เขาดื่มชาไปหนึ่งอึก ดูเหมือนประหม่าเล็กน้อย
ฉินหลิวซีชี้ไปที่ดวงตา “ดูจากโหงวเฮ้งแล้ว ดวงตาของข้าก็ยังคมชัดอยู่”
กงปั๋วเฉิงเหมือนอยากเอ่ยบางอย่างทว่าหยุดเอาไว้
ฉินหลิวซีหัวเราะพลางเอ่ย “ท่านอายุอานามก็จะครึ่งร้อยแล้ว ลูกหลานก็ยังไม่มี ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีลูก มิเช่นนั้นสมบัติอันมากมายนี้จะสืบทอดแก่ผู้ใด”
“เพียงวัตถุไร้ค่าเหล่านี้ จะเรียกว่าทรัพย์สมบัติล้ำค่าได้อย่างไร” กงปั๋วเฉิงหัวเราะเบาๆ “เด็กคนนี้ก็เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น”
ฉินหลิวซีเกือบสำลักชา เอ่ย “ท่านควรระวังคำพูดของท่าน อย่าไปเอ่ยเช่นนี้ข้างนอกเชียว ไม่อย่างนั้นท่านจะโดนซ้อมโดยไม่รู้ตัว คนที่อิ่มหนำย่อมไม่รู้ถึงความหิวโหย อาจทำให้ผู้คนเกลียดเอาได้”
กงปั๋วเฉิงยิ้มมุมปาก เปลี่ยนกลับไปสู่หัวข้อที่คุยกันก่อนหน้านี้อีกครั้ง “ฮ่องเต้ช่างโง่เขลา ขุนนางส่วนใหญ่ก็เป็นพวกคดโกง พ่อค้าต่างถูกกดขี่มากขึ้น ทำการค้ายากกว่าแต่ก่อนแล้วจริงๆ”
“แต่ถ้าเลี่ยงได้ก็อย่าทำตัวเป็นทาสแผ่นดินล่มจมเลย” ฉินหลิวซีเล่นถ้วยกระเบื้องบางในมือ เอ่ย “เรื่องอายุยืนนี้ แม้แต่นักพรตยังไม่กล้าแสวงหา นับประสาอะไรกับมนุษย์ธรรมดา สิ่งที่เขาทำทั้งหมดก็เพียงความพยายามไร้ผล ข้ามาครั้งนี้ นอกจากอยากให้ท่านส่งคนไปพัฒนาอำเภอหนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งก็คือข้าจะเอ่ยถึงสถานการณ์ในแผ่นดินนี้ สอดมือเข้าไปยุ่งได้หรือไม่”
“เจ้าว่าอย่างไร” กงปั๋วเฉิงมองนางอย่างจริงจัง เพราะแม้แต่นักพรตเช่นนางยังเอ่ยถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะสนใจ
ความจริงฉินหลิวซีก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดมาก เพียงเอ่ยว่าแผ่นดินกำลังจะปั่นป่วน หากต้องการให้แผ่นดินนี้ยังเป็นแผ่นดิน ให้ประชาชนไม่ต้องพลัดถิ่นพเนจร ไม่อาจพึ่งฮ่องเต้ได้และไม่อาจคิดพึ่งเหล่าองค์ชายที่กำลังแย่งชิงอำนาจกันอยู่
ดังที่กงปั๋วเฉิงเคยเอ่ยไว้ การบริจาคช่วยเหลือผู้นำที่ดีให้ลุกขึ้นต่อสู้คงจะดีกว่า
“เจ้ามีคนในใจแล้วหรือ” กงปั๋วเฉิงถามด้วยความประหลาดใจ
ฉินหลิวซีพยักหน้า “มี หากถึงวันนั้นจริงๆ ข้าคงต้องผลักเขาขึ้นครองบัลลังก์”
“ผู้ใดกัน”
กงปั๋วเฉิงย่อมมีช่องทางรับข่าวสารของตนเอง เอ่ย “ลูกชายไม่แท้[2]ของหนิงอ๋องผู้ล่วงลับน่ะหรือ”
ฉินหลิวซีพยักหน้า หากต้องเลือกหนึ่งคน นางเลือกฉีเชียน เขาก็เป็นบุตรชายของฮ่องเต้ ขอเพียงเขามีความสามารถที่จะต่อสู้และควบคุมคนได้ แผ่นดินนี้นางก็พร้อมจะใช้เส้นสายของตนช่วยให้เขาได้ครอบครอง
คนผู้นั้นมีลักษณะของกษัตริย์ที่ดี
“เขาต้องทำบุญอะไรในชาติก่อน ถึงได้มีโชคลาภมหาศาลที่เจ้ามอบให้เช่นนี้” กงปั๋วเฉิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอิจฉา
นี่แทบจะเหมือนกับการยื่นข้าวเข้าปากให้กินโดยตรงเลยนี่นา
ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ “อาจจะไม่ใช่ บางทีอาจเป็นการโยนปัญหาให้ก็เป็นได้”
กงปั๋วเฉิงชะงัก “หมายความว่าอย่างไร”
“คนที่พวกท่านเอื้อมไม่ถึงกำลังทำเรื่องวุ่นวาย บางทีอาจต้องใช้ชีวิตของประชาชนทั้งแผ่นดินนี้เพื่อสร้างทางเดินที่เต็มไปด้วยดอกไม้ให้กับเขา ท่านก็แค่รู้ไว้ในใจ แต่อย่าเอาไปเอ่ยกับผู้ใด”
กงปั๋วเฉิงหน้าซีดเผือด ไม่ใช่คนธรรมดา อย่างนั้นก็ต้องเป็นคนเช่นนางหรือไม่ก็พวกปีศาจร้ายอย่างนั้นหรือ
การใช้ชีวิตของประชาชนทั้งแผ่นดินเป็นทางเดินที่เต็มไปด้วยดอกไม้ นั่นย่อมหมายถึงความหายนะครั้งใหญ่
แม้ว่าเขาจะเคยผ่านพายุลมแรงมากี่ครั้ง แต่เมื่อเข้าใจเรื่องนี้ก็อดที่จะหน้าซีดไม่ได้
หากเป็นเรื่องที่ทำให้ฉินหลิวซีให้ความสำคัญถึงเพียงนี้ และยังเกี่ยวข้องกับการทำลายล้างชีวิตประชาชน มันย่อมรุนแรงยิ่งกว่าสงคราม
กงปั๋วเฉิงดื่มชาอีกอึก “สิ่งที่ต้องการคือเพียงการสนับสนุนทางเงินทองและสิ่งของใช่หรือไม่”
“หากวันนั้นมาถึงจริงๆ วันที่บ้านเมืองทรุดโทรมทุกหย่อมหญ้า ที่ใดบ้างที่ไม่ต้องใช้เงิน หากเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่ นอกจากเงินทองสิ่งของแล้ว ยังต้องการกำลังคนอีกด้วย” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “การจัดการกับคนผู้นั้นเป็นเรื่องของสองนิกายพุทธและเต๋า ส่วนการปกครองแผ่นดินนั้น จำเป็นต้องอาศัยกษัตริย์ผู้มีปัญญา ขุนนางที่มีความสามารถ และพ่อค้าที่มั่งคั่ง ข้าเพียงแต่เตรียมตัวไว้สำหรับอนาคต”
เว้นแต่ว่าสวรรค์จะเปิดตา ฟ้าผ่าซื่อหลัวตายเสียก่อน มิเช่นนั้นพวกเขาก็คงต้องเผชิญหน้ากันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“อีกอย่าง ฉีเชียนยังไม่รู้ตัวเลยว่าข้ากำลังวางแผนกับเขา และเขาเองก็อาจไม่เต็มใจที่จะเป็นผู้นำก็ได้” ฉินหลิวซียิ้มแห้ง
กงปั๋วเฉิงฮึดฮัด “ถ้าไม่มีความกล้าหาญพอที่จะรับผิดชอบเรื่องนี้ แผ่นดินนี้จะหาคนดีๆ ไม่ได้เลยหรือ สกุลฉีครองอำนาจมาร้อยปีแล้ว เปลี่ยนเป็นสกุลอื่นบ้างก็ไม่มีปัญหาอะไร”
“ท่านจะมาเป็นเองหรือ”
“อย่าเลย ข้าไม่ใช่คนที่จะยอมถูกกักขังในกรงแคบๆ แผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ มีที่ใดที่ข้าไปไม่ได้ หากถูกกักขังในเมืองเดียวหรือ คงมองเห็นเพียงท้องฟ้าหนึ่งผืนเท่านั้น” กงปั๋วเฉิงรีบส่ายศีรษะ
ฉินหลิวซีหัวเราะพลางจิบชาอีกหนึ่งอึก
กงปั๋วเฉิงเอ่ย “ตกลง ในเมื่อเจ้ามุ่งมั่นเพียงนี้ เช่นนั้นก็เป็นเขาแล้วกัน ตอนนี้ที่เมืองหลวงกำลังแย่งชิงกันอย่างดุเดือด แม้แต่พวกพ่อค้าระดับล่างอย่างพวกเราก็ยังถูกดึงตัวไปด้วย”
การแย่งชิงตำแหน่ง ต้องอาศัยไม่เพียงแต่ขุนนางในราชสำนัก ต้องใช้เงินทองด้วยเช่นกัน
เพียงแต่พวกเขายังทำตัวโอหัง นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงส่ง และทำทีเหมือนไม่ได้มาขอจากเจ้า แต่เป็นเจ้าเองที่อยากถวายให้
บรรดาพ่อค้าก็จำต้องฝืนยิ้มและมอบให้ไป เพื่อให้การค้าขายเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ติดขัดตามด่านต่างๆ ที่อาจทำให้เสียโอกาสทางการค้า
ดังนั้น ขุนนางและพ่อค้าไม่เคยแยกจากกัน ต่างพึ่งพาและคานอำนาจกัน ต่อให้เขาจะปากกล้าประกาศจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจแล้วพาเงินทองหนีไปก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ
ฉินหลิวซีรู้ว่าเขาคงไม่ปฏิเสธ เอ่ย “ไม่จำเป็นต้องทำอะไรมากเกินไป เพียงแต่เตรียมตัวให้พร้อม ท่านเข้าใจการสะสมทรัพย์สินดีกว่าข้า ตอนนี้ก็เพียงเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสงครามที่จะมาถึงเท่านั้น”
กงปั๋วเฉิงพยักหน้า
ฉินหลิวซีตกลงรายละเอียดกับเขาอีกเล็กน้อย เอ่ยถามเขา “ในเมื่อท่านมีเรือการค้า ท่านคงรู้เรื่องอารามเก่าแก่พันปีบนเกาะเผิงไหล”
“รู้สิ แต่ได้ยินว่าช่วงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างปีที่แล้ว อารามเก่าแก่นั้นเกิดเรื่องใหญ่ คล้ายจะพังทลายลงครึ่งหนึ่ง เกาะเผิงไหลก็ถูกน้ำท่วมไปครึ่งหนึ่ง เล่าลือกันว่าเพราะราชามังกรโกรธจึงเกิดภัยพิบัติครั้งนี้”
ฉินหลิวซีใจหายวาบ ไอ้เจ้านั่นหรือไม่ที่ลงมืออีกแล้ว
กงปั๋วเฉิงเห็นสีหน้านางไม่สู้ดี ด้วยความละเอียดอ่อนเขาหรี่ตาลง เอ่ยถาม “หรือว่าจะเป็นฝีมือของคนที่เจ้าว่า”
“เป็นไปได้ถึงเก้าส่วน”
กงปั๋วเฉิงสูดหายใจลึก น่ากลัวถึงเพียงนี้ นางจะจัดการได้หรือไม่
เขามองดูด้วยความเป็นห่วง
ฉินหลิวซีหันไปมองนอกหน้าต่าง ยกคิ้วขึ้น “นั่นคงเป็นฮูหยินคนใหม่ของท่านหรือ”
กงปั๋วเฉิงมองตามสายตานางออกไป ขมวดคิ้วก่อนจะยืนขึ้นและเดินออกไป
ฉินหลิวซีเดินตามเขาไป
สตรีผู้นั้นคือหญิงตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนเศษ รูปโฉมงดงามอ่อนช้อย มีสาวใช้และบ่าวรับใช้ตามอยู่ข้างกาย พร้อมถือกล่องอาหารหนึ่งกล่อง
“เจ้ามาที่นี่ทำไมหรือ” กงปั๋วเฉิงถามนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หลิ่วซื่อชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มเอ่ย “ได้ยินว่านายท่านมีแขกสำคัญมา ข้าเลยทำขนมมาส่งให้”
นางเอ่ยพลางหันไปมองฉินหลิวซี สายตาของนางแสดงความเคลือบแคลง
ฉินหลิวซีพยักหน้าให้นางเล็กน้อย เอ่ยเสียงแผ่วเรียกฮูหยินเบาๆ จากนั้นหันไปเอ่ยกับกงปั๋วเฉิง “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ข้าจะไปพบท่านอาสามของข้า แล้วจะแวะไปเกาะเผิงไหล จากนั้นจะไปเมืองอวี้ในชิงโจวสักหน่อย ข้าคงไม่ได้กลับมาลาท่านอีก”
กงปั๋วเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ย “ข้าจะไปที่อำเภอหนานด้วยตนเอง”
ฉินหลิวซียิ้มเอ่ยตอบตกลง ก่อนจะเอ่ยลาหลิ่วซื่อ แล้วตามผู้ดูแลจ้าวออกไป
หลิ่วซื่อขมวดคิ้วเดินไปหากงปั๋วเฉิง “นายท่าน ข้ามาผิดเวลาใช่หรือไม่”
กงปั๋วเฉิงมองนางด้วยสายตาเย็นชา เอ่ย “ดูแลครรภ์ของเจ้าให้ดี อย่าได้คิดเรื่องอื่น เด็กคนนี้ ใช่ว่าข้าจะไม่มีเขาไม่ได้”
ฉินหลิวซีไม่ชอบนางผู้นี้ ไม่เช่นนั้นนางคงไม่เดินจากไปทันทีโดยไม่เอ่ยอะไรเลย
คนที่ทำให้นางไม่ชอบย่อมเป็นคนที่นางมองทะลุถึงจิตใจ
และกงปั๋วเฉิงซึ่งผ่านสนามการค้าหลายปีย่อมรู้ดีว่า ดูจากท่าทางของหลิ่วซื่อแล้วยังมีสิ่งใดไม่เข้าใจ กลัวว่าความมั่งคั่งสุขสบายของตนสองแม่ลูกจะถูกแย่งชิงไปกระมัง
หลิ่วซื่อถูกความเย็นยะเยือกของเขาตักเตือนไป ใบหน้าซีดขาวทันใด ยกมือกุมท้องก้าวถอยไปสองก้าว
[1] เตรียมพร้อมก่อนฝนตก เตรียมการล่วงหน้าก่อนปัญหาจะเกิด
[2] ลูกชายไม่แท้ แต่ได้รับการยอมรับหรือเลี้ยงดูราวกับเป็นลูกชายแท้ๆ คำนี้มักใช้ในความหมายที่เป็นการล้อเลียนหรือหยอกล้อ เพื่อสื่อถึงคนที่ได้รับผลประโยชน์หรือสถานะโดยที่ไม่ต้องพยายามมาก