คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 970 เบาะแสของกระดูกพุทธะชิ้นสุดท้าย...
ตอนที่ 970 เบาะแสของกระดูกพุทธะชิ้นสุดท้าย…
ฉินหลิวซีไม่รู้เลยว่าท่าทีของตนได้ทำลายความฝันอันรุ่งโรจน์ของผู้อื่นลงไปแล้ว ยามนี้นางเพิ่งมาถึงท่าเรือเพื่อตามหาฉินปั๋วชิง
ท่าเรือแห่งนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทั้งคนแบกของ หางานทำ และพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย คึกคักเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนกับอำเภอหนานซึ่งดูเงียบเหงาและผู้คนขาดความกระตือรือร้น
ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานที่ด้วย หากเป็นที่มั่งคั่ง แม้จะได้รับผลกระทบก็ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เว้นแต่จะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือภัยพิบัติจากมือมนุษย์
“ซี ซีเอ๋อร์หรือ”
ฉินหลิวซีหูไว หันไปมอง เห็นฉินปั๋วชิงนั่งอยู่ในโรงน้ำชาใกล้หน้าต่างติดถนน เขามองนางด้วยความประหลาดใจ แล้วก็รีบวิ่งออกมาทันที
“เป็นเจ้าจริงๆ ข้ายังนึกว่าตาฝาดไปเสียอีก” ฉินปั๋วชิงดูตื่นเต้น ตาแดงขึ้นเล็กน้อย พลางตำหนิ “เจ้านี่นะ หลายปีมานี้หายไปไหนมา ชีวิตนั้นยาวนัก ไม่มีอุปสรรคใดที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ เรื่องเกิดแก่เจ็บตายก็เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องประสบ”
ฉินหลิวซียิ้ม เอ่ย “ข้าไปปิดด่านฝึกวิชามา”
ฉินปั๋วชิงได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจ เอ่ย “เจ้าคิดได้เช่นนี้ก็ดีแล้ว อย่าได้คิดฟุ้งซ่าน ชีวิตยังอีกยาวไกล”
“อืม”
“เราเข้าไปคุยกันข้างในดีกว่า ที่นี่ใกล้ทะเล ลมทะเลพัดมาแรง ใกล้เดือนสิบเอ็ดแล้ว พัดจนหน้าชาปวดแสบ” ฉินปั๋วชิงขมวดคิ้วมองดูการแต่งกายของนาง “เจ้ายังแต่งตัวบางเช่นนี้อยู่อีก”
“ผู้บำเพ็ญเพียร ทนหนาวได้” ฉินหลิวซีเห็นว่าเขามีริ้วรอยแห่งกาลเวลามากขึ้น ดูเป็นผู้ใหญ่และมั่นคงขึ้น จึงเอ่ย “ท่านอาสาม พวกท่านเป็นอย่างไรกันบ้าง”
“ดี ทุกคนสบายดี เพียงแต่ไม่กี่ปีมานี้ที่ไม่มีข่าวจากเจ้า ทุกคนคิดถึงเจ้ากันมาก”
เข้าไปในโรงน้ำชา ฉินปั๋วชิงสั่งให้คนเปลี่ยนน้ำชาใหม่แล้วรินให้ฉินหลิวซีหนึ่งถ้วย เอ่ย “แล้วเจ้าล่ะ มาทำอะไรที่นี่ เมื่อครู่ข้าไม่กล้าเชื่อเลยว่าเป็นเจ้า”
นางเติบโตขึ้นจนเป็นสาวสะพรั่งแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเครื่องแต่งกายสีครามที่มีลายปักสัญลักษณ์เต๋าและมวยผม รวมถึงความสูงนั้น เขาคงไม่กล้าทักจริงๆ
อย่างไรส่วนสูงของหลานสาวผู้นี้แม้ในบรรดาหญิงสาวหลายคนก็มักจะโดดเด่นเสมอ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคนในบ้านไม่กี่คนที่เตี้ยกว่านางไปหนึ่งศอก
ชายหนุ่มบางคนที่ร่างกายบอบบางยังไม่สูงเท่านางเลย
ฉินหลิวซีจิบชาหนึ่งอึก เอ่ยตอบ “ข้ามาหากงปั๋วเฉิง ได้ยินว่าท่านอาอยู่ที่นี่พอดี ข้าจึงมาหาท่านด้วย ท่านอาตั้งใจจะค้าขายแล้วหรือ”
“ข้าเป็นขุนนางไม่ได้แล้ว ก็ต้องหาทางทำอะไรบ้าง” ฉินปั๋วชิงยกแขนเทียมที่ฉินหลิวซีทำให้ขึ้น “เป็นขุนนางไม่ได้ ก็ต้องหาทางหาเงินไว้เผื่อให้เป็นสินสมรสลูกๆ ในอนาคต”
ฉินหลิวซีเห็นเขาไม่เศร้าหมองเพราะความพิการ จึงเอ่ย “มีอะไรทำ ก็เพียงพอแล้ว”
“ถูกของเจ้า” ฉินปั๋วชิงเอ่ย “เจ้าเพิ่งออกจากด่านมาใช่หรือไม่ ท่านแม่และญาติๆ ของเจ้าคิดถึงเจ้ามาก หากไม่ใช่เพราะท่านพ่อออกคำสั่ง พี่สะใภ้ใหญ่คงอยากรอเจ้าอยู่ที่บ้านเก่าตลอดเวลา”
“ข้าจะเข้าเมืองหลวงเร็วๆ นี้”
ฉินปั๋วชิงดีใจ “เช่นนั้นก็ดี” ก่อนจะชะงักไป จึงเอ่ย “จริงสิ หมิงเย่ว์นางเป็นชายารองของจ้าวอ๋องไปแล้ว”
“ข้าได้ยินมาบ้างแล้วเจ้าค่ะ”
ฉินปั๋วชิงมองนางอย่างระมัดระวัง เอ่ย “ตั้งแต่ตระกูลฉินออกจากการไว้ทุกข์ สามารถเข้าร่วมงานสังสรรค์ได้ ท่านพ่อก็ได้รับเทียบเชิญมาหลายปี ท่านพ่อรู้ดีว่าไม่อยากทำให้เจ้าเดือดร้อน แต่กับสตรีในตระกูล พี่สะใภ้รองไม่ค่อยเอาใจใส่นัก หมิงเย่ว์ยังไต่เต้าขึ้นสูง ท่านพ่อกลัวว่านางจะทำอะไรผิดพลาด เลยให้พี่สะใภ้ใหญ่กลับมาดูแลภายในบ้าน”
เส้นสายของฉินหลิวซีนั้นนายท่านผู้เฒ่าพอรู้อยู่บ้าง เพราะเช่นนี้จ้าวอ๋องนั่นถึงได้หมายตาตระกูลพวกเขา ดูท่าจะมีแผนร้าย
ไม่ใช่เพราะฉินปั๋วชิงดูถูกลูกหลานของตระกูลตัวเอง แต่อาศัยตำแหน่งขั้นสี่ที่นายท่านผู้เฒ่าได้กลับคืนมา ทั้งยังไม่เข้าตาฝ่าบาท ต่อให้เหล่าหลานสาวของเขาจะงดงามโดดเด่นเพียงใดก็ไม่อาจได้เป็นพระสนม ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงบุตรสาวของพี่รอง
พี่รองอาจจะมีตำแหน่งขุนนางอยู่บ้าง แต่ก็เป็นตำแหน่งที่ไม่มีอำนาจโดยแท้จริง มีเพียงแค่ชื่อเสียงในตำแหน่งเล็กๆ ซึ่งในเมืองหลวงมีมากมาย บุตรสาวของเขาจะมีสิทธิ์อะไรมาเป็นพระชายาขององค์ชาย
นี่ไม่ใช่เพราะวิ่งมาผูกสัมพันธ์กับเส้นสายของฉินหลิวซีหรอกหรือ
พี่สะใภ้รองยังหลงตัวเองไม่เบา
ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้าได้ยินเรื่องทั้งหมดมาแล้ว” นางนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “ในเมื่อฉินหมิงเย่ว์เลือกกิ่งก้านที่สูงนี้ จะขมจะหวานก็ต้องให้นางได้ชิมเอง คนอื่นไม่อาจช่วยได้ รวมถึงข้าด้วย”
ฉินปั๋วชิงหน้าตึงขึ้นมา นี่หมายความว่านางจะไม่สนับสนุนฉินหมิงเย่ว์และจ้าวอ๋องสินะ
“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า” ฉินปั๋วชิงคิดในใจ ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ฉินหลิวซีไปเมืองหลวง เขาก็ต้องส่งสัญญาณไปยังท่านพ่อ ขอให้ท่านพ่อควบคุมครอบครัวของพี่รอง ไม่ให้ทำอะไรให้ฉินหลิวซีไม่พอใจ
พวกเขาไม่ได้รับความเมตตาจากฉินหลิวซีเหมือนพี่สะใภ้ใหญ่ หากยังใช้ชื่อของนางไปทำเรื่องไม่สมควร ก็อย่าโทษนางที่ไม่ไว้หน้า ถ้าไม่แก้แค้นเอาคืนก็ถือว่าดีแล้วเพราะเห็นแก่ความเป็นญาติ ถ้านางโกรธขึ้นมา เพียงพูดคำเดียว ตระกูลฉินก็อาจถูกกดดันจนย่อยยับได้
ตระกูลฉินไม่สามารถทนต่อการถูกเนรเทศได้อีกครั้งแล้ว
ส่วนฉินหมิงเย่ว์ วันนั้นท่านพ่อก็เคยบอกให้นางคิดให้ดีแล้ว แต่นางก็ยังเลือกทางที่สูงส่งนั้น เช่นนั้นอย่าได้โทษที่ครอบครัวทอดทิ้งนาง
ฉินหลิวซีเพียงได้ยินว่าฉินปั๋วชิงอยู่ที่นี่ นางจึงมาพบตามมารยาท หลังจากสนทนากันครู่หนึ่ง นางก็ขอตัวลา หาสถานที่เงียบไม่มีคน เปิดเส้นทางแล้วเดินทางไปยังเกาะเผิงไหลนั่น
ดังที่กงปั๋วเฉิงกล่าวไว้ เกาะเผิงไหลราวกับว่ามังกรทะเลโกรธเกรี้ยวพลิกกาย ที่นี่ถูกน้ำท่วมไปครึ่งหนึ่ง หลายแห่งมองเห็นได้ว่าบอบช้ำแสนสาหัส
นางหันมองไปยังใจกลางเกาะ ที่นั่นมีเจดีย์พุทธะตั้งอยู่ โผล่ยอดเพียงเล็กน้อย แต่กลับเอียงเล็กน้อย เวลานี้เป็นยามเย็น หมอกเหนือทะเลพวยพุ่งขึ้นมา สถานที่นั้นดูรางเลือนคล้ายหอคอยในตำนาน
ฉินหลิวซีกระโดดถีบปลายเท้า มุ่งไปยังทิศนั้น
อารามเก่าแก่นับพันปีเบื้องหน้า ยามนี้เหลือเพียงซากปรักหักพัง มหาเจดีย์ถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง พระพุทธรูปขนาดใหญ่ยังคงนั่งอย่างสงบ เมตตาพิศดูสรรพสัตว์
ภายในมีธูปหอมบางเบาลอยละล่อง
ฉินหลิวซีหลับตาลงเล็กน้อย สำรวมจิตตั้งใจรับรู้ แต่ไม่พบสัญญาณของกระดูกพุทธะเลย
ถูกเอาไปแล้วหรือ
ใครกันที่ทำลายอารามเก่าแก่นับพันปีแห่งนี้จนย่อยยับเช่นนี้ แล้วยังทำให้เกาะเผิงไหลถูกน้ำท่วมไปกว่าครึ่งหนึ่ง ดูท่าเจ้าคนนั้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย
ขณะที่ความโกรธเริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจ ฉินหลิวซีก็ได้ยินเสียงพระพุทธมนต์ดังขึ้น เมื่อเปิดตาขึ้นก็เห็นเพียงสามเณรน้อยรูปหนึ่ง หน้าตางดงามสง่า แต่สายตาสุขุมบริสุทธิ์ ราวกับว่าการพำนักในวัดที่พังทลายแห่งนี้ก็ไม่กระทบอะไรต่อเขา
“ท่านผู้แสวงบุญ อาจารย์ของข้ารอท่านมานานแล้ว” สามเณรน้อยกล่าวพร้อมประนมมือไว้ที่อก มองดู ฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีเม้มริมฝีปากเล็กน้อย เอ่ย “นำทางเถิด”
สามเณรน้อยนำทางไปข้างหน้า ผ่านอารามที่พังทลาย มาถึงเจดีย์ที่เอียงคด มีประตูเล็กๆ ที่ฐานเจดีย์ ภายในนั้นมีพระเถระชรารูปหนึ่ง นั่งอยู่เบื้องหน้า รูปร่างผอมแห้ง มีคิ้วและหนวดสีขาว เขาก้มตัวเล็กน้อย หลับตาลง
พระเถระชราเปิดตาขึ้น มองไปยังฉินหลิวซีแล้วเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสบายใจ “อมิตาภพุทธ อาตมานั่งรอท่านผู้แสวงบุญมาเนิ่นนานแล้ว เพื่อที่จะได้จากไปพร้อมกับกระดูกบาปนี้”
ลมหายใจของเขาเปลี่ยนไปอย่างแรง
ดวงตาของฉินหลิวซีเปลี่ยนไปเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงสัญญาณของกระดูกพุทธะที่อยู่ในร่างของเขา