คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 972 ก่อกบฏด้วยกันเถิด
ตอนที่ 972 ก่อกบฏด้วยกันเถิด
ดื่มเหล้ากันไปสามรอบ ฉินหลิวซีมองดูใบแปะก๊วยเก่าแก่ร้อยปีในลานบ้านที่ปลิวร่วงหล่นลงมา พลันคลี่ยิ้ม
“เจ้าว่า การที่จะทำการใหญ่สำเร็จ จำต้องมีการเสียสละหรือไม่”
มือของอวี้ฉังคงที่กำลังจับไหเหล้าอยู่พลันหยุดชะงัก ก่อนจะเอ่ย “ไม่ว่าจะเป็นการงานใด ย่อมต้องมีการเสียสละเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเสียสละชีวิตหรือสละสิ่งที่ตนปรารถนาในใจ เช่นการสร้างแผ่นดินผ่านสงคราม ความสำเร็จหนึ่งอย่างต้องแลกมาด้วยชีวิตนับหมื่น นี่ก็เป็นเหตุผลเช่นเดียวกัน”
“ก็จริง” จู่ๆ ฉินหลิวซีก็เปลี่ยนเรื่องอย่างกะทันหัน “ดังนั้น ข้าสังหารพระไปแล้ว”
นักบวชผู้บรรลุธรรม หากมรณภาพด้วยความสมัครใจก็ย่อมจะบรรลุเป็นพระพุทธได้ใช่หรือไม่
อวี้ฉังคงรินเหล้าลงในจอกเหล้าของนางจนเต็ม เอ่ย “นั่นย่อมเป็นเพราะเขามีเหตุผลที่จำเป็นต้องถูกสังหาร”
“เขารอให้ข้าสังหารเขา และผู้ที่ทำได้ก็มีเพียงข้า เพื่อประชาชน” ฉินหลิวซียกจอกเหล้าขึ้นดื่มอีกจอก เอ่ย “เพื่อประชาชนในแผ่นดินนี้ อาจารย์ของข้าก็ตายไปแล้ว และพระผู้บรรลุธรรมก็ตายเช่นกัน นี่คือสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่ แม้ต้องเสียสละตนเองก็ไม่เสียดาย”
อวี้ฉังคงมองนาง “ท่านกลับมาทำไมเล่า”
ฉินหลิวซีอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะหันมามอง
“ไยท่านถึงกลับมา นั่นแหละคือคำตอบแล้ว
ฉินหลิวซีนั่งนิ่ง ครุ่นคิดถึงคำพูดนี้อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหัวเราะเยาะออกมา “ข้าช่างมองเพียงส่วนเล็กๆ จนมองข้ามสิ่งใหญ่แล้ว”
“ตัวท่าน หากผู้ใดก็ตามย่างกรายเข้ามาเหยียบย่ำขีดจำกัดของท่าน ไม่ว่าผู้ใดมาขวางก็ล้วนแต่ต้องสังหาร เจอเทพสังหารเทพ เจอพระสังหารพระ ความกังวลอ่อนไหว มิใช่นิสัยของท่าน” อวี้ฉังคงเอ่ย
ฉินหลิวซียิ้มเบาๆ “ก็จริง คุณชายฉังคง เจ้าสนใจที่จะเล่นกระดานหมากใหญ่หรือไม่”
“ว่ามาสิ”
ฉินหลิวซีเอ่ยสิ่งที่บอกกับกงปั๋วเฉิงให้อวี้ฉังคงฟังอีกรอบ
ซื่อหลัวต้องการทำลายล้างโลก นางก็จะช่วยกอบกู้โลก เช่นนั้นในเมื่อจะช่วย นางก็จะค่อยๆ ตั้งกองกำลังเล็กๆ ขึ้นมาเอง พวกเขาจะได้ผลักดันให้หมากในกระดานเดินต่อไป
อวี้ฉังคงเป็นกุนซือที่นางเตรียมไว้เพื่อผลักดันให้ฉีเชียนขึ้นสู่ความสำเร็จ
หากกองกำลังเล็กๆ นี้พ่ายแพ้ในท้ายที่สุด ก็แสดงว่าเป็นเพราะสวรรค์ลิขิตแล้วว่าไม่ยืนอยู่ฝ่ายธรรมะ หากเป็นเช่นนั้น ก็ทำลายล้างไปด้วยกันทั้งหมดเถิด
ฉินหลิวซีหรี่ตามองท้องฟ้าที่มีเมฆดำเคลื่อนคล้อย ฟ้าครึ้มราวกับจะมีพายุใหญ่กำลังรอระเบิดลงมา
มีปัญญาก็ฟาดข้าให้ตายสิ จะได้จบเรื่องไป
ลมพัดผ่าน เมฆดำสลายหายไป
อวี้ฉังคงไม่คาดคิดว่า หลายปีไม่พบหน้า พอได้พบนางจะเอ่ยวาจาสะเทือนโลกเช่นนี้
“เช่นนั้น ท่านคิดจะชวนข้าก่อกบฏด้วยกันอย่างนั้นหรือ”อวี้ฉังคงเลิกคิ้วถาม
ฉินหลิวซีทำหน้าจริงจัง เอ่ย “เจ้าพูดอะไร ข้าก็แค่จะปัดเป่าความโกลาหลให้เป็นระเบียบ”
อวี้ฉังคงหมุนจอกเหล้าด้วยปลายนิ้วยาว แค่นเสียง “ข้าเชื่อท่านแล้ว”
ฉินหลิวซีเคาะโต๊ะเบาๆ “ว่าอย่างไร เอาไม่เอา”
“เอาสิ”
ก่อกบฏ เรื่องสนุกเช่นนี้ มีหรือที่เขาจะไม่เอาด้วย ตระกูลอวี้คัดสรรผู้มีความสามารถเพื่อช่วยเหลือคนดีงาม เช่นนั้นก็ให้เขาดูกันว่า เขาจะช่วยให้มีฮ่องเต้สักองค์ขึ้นมาได้หรือไม่
“ท่านอาจารย์”
ฉินหลิวซีนั่งตัวตรง หันไปมองยังทางเข้าลานบ้าน เด็กหนุ่มคนหนึ่งมองกลับมา นัยน์ตาของเขาสบกับนางชั่วขณะก่อนจะแสดงสีหน้างุนงงออกมา เขายืนมองนางอย่างเหม่อลอย
อวี้ฉังคงเอ่ย “พี่หญิงใหญ่ของเจ้ามาแล้ว มานี่สิ”
ฉินหมิงเยี่ยนเดินก้าวยาวมาหาสามก้าวรวดด้วยท่าทางร้อนใจ คำตำหนิออกจากปากทันทีด้วยความกังวล “ท่านหายไปไหนมาหลายปี ไม่ส่งข่าวกลับมาเลยสักนิด”
ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าใจกล้าแล้วหรือถึงกล้าตั้งคำถามกับข้า หรือคิดว่าโตขึ้นแล้วจะไม่ถูกข้าตีอีก”
ฉินหมิงเยี่ยนอ้าปากจะพูด แต่กลับเม้มริมฝีปาก ท่านก็มาตีข้าสิ
อวี้ฉังคงหัวเราะเบาๆ เอ่ย “ข้าจะไปสั่งให้เตรียมมื้อเที่ยง”
เขาลุกขึ้นเดินออกไป ปล่อยให้สองพี่น้องได้พูดคุยกันตามลำพัง
ฉินหมิงเยี่ยนเดินเข้ามาใกล้พลางเอ่ยว่า “ท่านหายไปหลายปี ไม่มีแม้แต่ข่าวกลับมา ทุกคนต่างก็คิดถึงท่าน” รวมทั้งข้าด้วย
“นั่งสิ” ฉินหลิวซีชี้ไปยังเก้าอี้ข้างๆ “ข้าก็แค่ปิดด่านฝึกตนอยู่หลายปี สำหรับผู้ฝึกตนนั้นการปิดด่านเป็นเรื่องปกติ พวกเจ้าก็ควรชินได้แล้ว เส้นทางของข้ากับพวกเจ้ามันแตกต่างกัน ไม่ว่าข้าจะอยู่หรือไม่ ชีวิตของพวกเจ้าก็ยังดำเนินไปตามปกติ”
ใบหน้าของฉินหมิงเยี่ยนซีดลง หัวใจสั่นไหว นี่หมายความว่านางกำลังจะตัดขาดจากพวกเขาหรือ
“ได้ยินว่าตอนนี้เจ้าสอบได้ซิ่วไฉแล้วนี่ ไม่ใช่ว่าเจ้าหลอกล่อเสี่ยวอู่ให้สอบเข้ารับราชการหรอกหรือ เหตุใดเจ้าถึงมาสอบเข้ารับราชการแล้วเล่า ไม่ใช่ตั้งใจจะเป็นยอดมือปราบสืบคดีหรอกหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยถาม
ฉินหมิงเยี่ยนเอ่ย “ทำขอรับ แต่ท่านอาจารย์บอก จริงสิ ข้าได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ฉังคงแล้ว”
“โชคดีของเจ้าแล้ว”
ฉินหมิงเยี่ยนยกยิ้มมุมปาก เอ่ย “ท่านอาจารย์บอกว่า การไม่ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับผู้อื่นนั้นคือการรับผิดชอบต่อตัวเอง หากข้าต้องการเป็นยอดมือปราบก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องพึ่งการสอบเข้ารับราชการ แต่ถ้าข้าสอบได้ตำแหน่งจิ้นซื่อ เส้นทางและทางเลือกของข้าก็จะกว้างขึ้น หากข้าใช้ความสามารถขึ้นมาเป็นขุนนางจากตำแหน่งเล็กๆ ย่อมมีข้อจำกัด และเมื่อทำสำเร็จขึ้นมาก็อาจถูกคนอื่นแย่งผลงานไป และข้าจะไม่มีวันมีอำนาจตัดสินใจได้เลย”
อวี้ฉังคงเอ่ยไว้ว่า ผู้คนย่อมถูกแบ่งเป็นชั้นชนตามลำดับมาตั้งแต่อดีต มีชาติกำเนิดที่ดี ย่อมประสบความสำเร็จได้ง่ายกว่าผู้ที่ไม่มี
แม้ว่าเขาอาจไม่สนใจชื่อเสียงหรือผลประโยชน์ แต่ก็เพียงเพราะเขารักในการคลี่คลายคดีเท่านั้น หากวันหนึ่งชื่อเสียงของเขากลายเป็นที่เกรงกลัวและสามารถปกป้องคนที่เขาต้องการปกป้องได้เล่า
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ไม่มีทางอยู่ตัวคนเดียวได้เสมอไป โดยเฉพาะคนที่ห่วงใยเช่นเขา
การสอบเข้ารับราชการก็แค่เปิดทางให้เขามีทางเลือกมากขึ้น หากสอบได้จิ้นซื่อ เขาอาจจะไม่ต้องเป็นขุนนางก็ได้ แต่ไม่ว่าจะทำสิ่งใด หากมีตำแหน่งจิ้นซื่อติดตัวย่อมทำให้คำพูดของเขาน่าเชื่อถือมากขึ้น
ฉินหมิงเยี่ยนคิดไปคิดมา เขาก็อยากมีความสามารถพอที่จะปกป้องครอบครัว จึงเปลี่ยนความคิดเดิม และตัดสินใจลองสอบดู หากสอบได้ก็จะมีทางเลือกเพิ่มขึ้น หากอยากเข้ารับราชการก็ทำได้ ไม่อยากก็แค่เป็นยอดมือปราบที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระ
ฉินหลิวซีฟังแล้วจึงเอ่ย “วิชาล้างสมองของอวี้ฉังคงก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน อยู่ในตระกูลอวี้หลายปี เจ้าได้เรียนรู้อะไรมาบ้าง”
“ตระกูลอวี้นั้นสมแล้วที่ชื่อว่าเป็นตระกูลเร้นลับ ครูบาอาจารย์ของพวกเขาหากออกมา เทียบกันแล้วก็ไม่แพ้บัณฑิตใหญ่ข้างนอก ข้าโชคดีที่ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่เขารู้ก็ถ่ายทอดให้ข้าไม่มีซ่อนเร้น” ฉินหมิงเยี่ยนยิ้มเล็กน้อย เอ่ยถามอย่างระมัดระวังอีกครั้ง “ท่านยังจะปิดด่านอีกหรือไม่”
“คงไม่ใช่ในช่วงนี้” ฉินหลิวซีมองดูเคราที่เริ่มขึ้นบางๆ ของเขา เอ่ย “เจ้าถึงเวลาที่ควรแต่งงานแล้วหรือไม่”
ฉินหมิงเยี่ยนหน้าร้อน แดงขึ้นทันที เอ่ย “รีบอะไรเล่าขอรับ ข้าเพิ่งอายุสิบเจ็ดเอง บุรุษตั้งตัวก่อนแต่งงานมีถมเถ ท่านอาจารย์ยิ่งใกล้สามสิบแล้ว ยังไม่แต่งงาน เป็นชายโสดมีอายุ ผู้ใดว่าอะไรเขาได้เล่า”
ชายโสดมีอายุที่กำลังจะเดินมาที่ลานบ้าน “..”
ศิษย์อกตัญญูถึงกับกล้าวิจารณ์อาจารย์ลับหลัง เช่นนี้ไม่สมควรที่จะตัดขาดความสัมพันธ์กันหรือ
ฉินหลิวซีเอ่ย “อวี้ฉังคงนั่นเขาเป็นพวกที่ต้องใช้ชีวิตโดดเดี่ยวจนตาย เจ้าอยากเป็นแบบเขาหรือ”
“เอ่อ ไม่น่าจะขนาดนั้นกระมัง” ฉินหมิงเยี่ยนชะงักไปเล็กน้อย นั่นคือคุณชายฉังคงผู้มีชื่อเสียงเลยนะ งดงามดั่งเซียนที่ตกลงมาจากสวรรค์ หากอยากแต่งงานเกรงว่าสตรีคงกรูเข้าหา
“ถ้าข้ามองผิด ข้าจะควักตาตัวเองออก” ฉินหลิวซียิ้มหยัน อวี้ฉังคงน่ะเป็นพวกที่มีชะตาโดดเดี่ยวไปตลอดชีวิต น่าเสียดายเสียจริงกับรูปโฉมที่งดงามเช่นนี้ หากเขามีลูก ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าจะสวยงามแค่ไหน
ฉินหมิงเยี่ยน “เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ข้าเองก็จะดูแลท่านอาจารย์ในยามแก่เฒ่าเอง ไม่ต้องห่วง ข้าจะคอยส่งเขาไปในทางที่ดี”
อวี้ฉังคงที่มีอายุเพียงยี่สิบหก แต่กลับถูกคนวางแผนส่งไปแก่เฒ่าอย่างสงบแล้ว ข้าขอบคุณเจ้าแล้ว
เขาเดินเข้าไป หน้าทะมึน เอ่ย “ชายโสดมีอายุ เรียกพวกเจ้ามากินข้าวได้แล้ว”