คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 973 แสงและเงาจะคงอยู่ร่วมกันตลอดไป
ตอนที่ 973 แสงและเงาจะคงอยู่ร่วมกันตลอดไป
นานๆ ทีฉินหลิวซีถึงจะได้มาเยือนตระกูลอวี้ นางหลงใหลห้องตำราของพวกเขา จนเผลออยู่ในนั้นนานหลายวัน นางใช้เวลาเกือบทั้งวันทั้งคืนอยู่ในคลังตำรา ค้นคว้าตำราโบราณ โดยเฉพาะตำราเก่าแก่ที่แม้แต่คนในตระกูลก็หาโอกาสอ่านได้ยาก แต่ในเมื่อมีอวี้ฉังคงเป็นผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน อะไรก็ไม่เป็นปัญหา
ตระกูลอวี้มีคลังตำราอันมั่งคั่ง ไม่ใช่เพียงตำราที่เหมาะสำหรับนักปราชญ์ทั่วไป ยังมีบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ วรรณกรรมจากหลากหลายสาขาอาชีพ รวมถึงคัมภีร์พุทธและเต๋าจากปรมาจารย์ต่างๆ ตำราที่ฉินหลิวซีค้นหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องแพทย์ศาสตร์ ยาสมุนไพร และค่ายอาคมวิชาเต๋า นอกจากนี้ยังเจอตำราเรื่องเล่าตำนานพื้นบ้านเกี่ยวกับผีปีศาจป่าช้า ซึ่งก็น่าสนุกไปอีกแบบ
หลังจากที่ขลุกอยู่ในคลังตำราหลายวันจนพอใจ ฉินหลิวซีจึงกลับออกมา ถอนหายใจพลางเอ่ยกับอวี้ฉังคง “ห้องตำราของพวกเจ้าถ้าเปิดให้คนทั่วไปเข้ามาดูได้ คงทำให้นักปราชญ์ทั้งหลายคลั่งไคล้แน่ๆ”
ตำรามากมายหลายประเภท ยังมีตำราเก่าแก่ตกทอดไม่น้อย สมกับเป็นตระกูลอวี้
ห้องตำราเช่นนี้ในสายตาของบัณฑิต ไม่บ้าคลั่งสิถึงจะแปลก นั่นคือมหาสมุทรแห่งความรู้เลยนะ
อวี้ฉังคงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สำหรับบัณฑิตและตระกูลนักปราชญ์แล้ว ตำราถึงจะเป็นมรดกตกทอดที่ล้ำค่า ห้องตำราของตระกูลอวี้ ล้วนแล้วแต่สืบต่อมาจากบรรพบุรุษหลายรุ่น ไม่อาจเปิดเผยต่อภายนอก เพียงแต่มีตำราบางเล่ม หากมีความจำเป็น สามารถคัดลอกออกไปได้ แต่หากท่านอยากหยิบไปก็ตามสบายเถิด”
คนอื่นเอาไปไม่ได้ นางทำได้
แน่นอนฉินหลิวซีรู้ว่าไม่อาจแพร่งพรายออกไปได้ ก็เหมือนกับหอเติงเซียนของอารามชิงผิง ชั้นที่เก็บตำราสำคัญสองชั้นนั้นไม่อาจเปิดให้คนนอกเข้าไปได้
“อย่างไรการอ่านทำให้คนฉลาด เข้าไปที่นี่ก็เหมือนหนูที่ได้ลงไปในถังข้าว” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องเอาไปก็ได้ แค่ข้ามาอ่านก็นับว่าได้กำไรเยอะแล้ว ต่อไปถ้ายังมาได้อีกก็คงดี”
“ยินดีต้อนรับเสมอ” อวี้ฉังคงเอ่ย “จริงๆ แล้วตำราที่ว่าเอาไว้ก็เป็นเพียงทฤษฎี ทว่าต้องการการปฏิบัติจริงเช่นกัน บางอย่างเป็นวิธีที่แปลกและซับซ้อน หากไม่ผ่านการปฏิบัติ ก็จะไม่มีวันเข้าใจแก่นแท้ของมัน เหมือนกับตำราแพทย์ พวกท่านเองก็ต้องออกไปเป็นแพทย์ รักษาคนไข้ สั่งยาตามประสบการณ์ที่สั่งสมอย่างต่อเนื่องจึงจะสามารถสั่งยาได้แม่นยำใช่หรือไม่”
“แล้วคนของตระกูลอวี้ได้ออกไปบ้างหรือไม่”
อวี้ฉังคงพยักหน้า “ไม่กี่ปีมานี้ข้าบอกว่าข้าจะรับช่วงต่อจากตระกูลอวี้ ขอเพียงทำตามความคิดของข้า ออกไปโลกภายนอก จึงจะรู้ว่าเหนือฟ้ามีฟ้า เหนือคนยังมีคน เหมือนอย่างท่านบอก สัมผัสความจริง”
“พอจะเห็นผลหรือไม่”
อวี้ฉังคงยิ้มเยาะ “เห็นได้ชัดเลยล่ะ”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเล่าเรื่องลูกหลานของตระกูลอวี้คนหนึ่งที่ออกไปข้างนอก เจ้าหนุ่มคนนั้นมีฝีมือดี งานฝีมือเล็กๆ น้อยๆ ภายในตระกูลทำได้ยอดเยี่ยม เมื่อออกไปข้างนอกแล้ว ไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีการซ่อมแซมกังหันน้ำที่เสียอยู่ เขาก็โอ้อวดว่าตนเป็นคนจากตระกูลอวี้และสามารถช่วยซ่อมได้ ผลก็คือซ่อมกังหันน้ำเสร็จแล้วแต่กลับใช้งานได้ไม่ดีเหมือนเดิม คนในหมู่บ้านที่มีฝีมือมากประสบการณ์มาดู พบว่ามีชิ้นส่วนใส่กลับด้าน เขาเลยอายจนต้องหนีออกไปยามดึก
ฉินหลิวซีหัวเราะออกมาไม่อาจหยุดได้
“เรื่องเช่นนี้ยังมีอีกหลายเรื่อง ออกไปสักรอบแล้วถึงจะรู้ว่าตนเองมีฝีมือเพียงใด และได้รู้ว่ามีคนที่ไม่รู้จักตระกูลอวี้อีกมาก โดนความพ่ายแพ้มามากเข้า พวกเขาก็จะถอดทิ้งความเย่อหยิ่งนั่นไปเอง” อวี้ฉังคงเอ่ยอย่างเย็นชา
ฉินหลิวซีดึงหญ้าหางหมาแห้งมาเส้นหนึ่งมาเล่นในมือ เอ่ย “ความเย่อหยิ่งอยู่ที่กระดูกไม่ใช่ที่ผิวหนัง ข้าว่าแม้บางคนจะดูไม่ยโสโอหังเหมือนแต่ก่อน แต่ยังคงมีกระดูกที่แข็งแกร่ง น่าดูยิ่งกว่าท่าทางสูงส่งปลอมๆ ที่เคยมีเสียอีก”
อวี้ฉังคงเอ่ยเรียบเฉย “ก็เพราะไม่มีคนเอาใจแล้ว”
“ทุกการเปลี่ยนแปลงก็นับว่าเป็นเรื่องดี รากฐานที่แท้จริงยังอยู่ สืบทอดกันต่อไปได้” ฉินหลิวซีเอ่ย
“ปล่อยพวกเขาเถิด อย่างที่ท่านว่า ข้าก็แค่ชายโสดมีอายุ ต่อไปไม่มีลูกหลานที่แท้จริง ตระกูลอวี้จะกลายเป็นอย่างไรก็ตามใจพวกเขา”
ฉินหลิวซี “…”
ดูสิ เจ้าเจ้าคิดเจ้าแค้นเพียงใด
นางยิ้มเก้อ “คำเอ่ยเช่นนี้ของเจ้า อย่าให้บรรพบุรุษของเจ้าได้ยินเล่า พวกท่านคงไม่สบอารมณ์นัก”
ตระกูลเป็นเหมือนราก รากเสียก็ต้องกำจัดจัดการเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นคนหัวรุนแรงเช่นนี้
แต่อวี้ฉังคงไม่ได้ใส่ใจนัก
“ไปดูสุสานบรรพบุรุษเจ้าหน่อยหรือไม่” ฉินหลิวซีเสนอ
ไม่นานทั้งสองก็มาถึงสุสานบรรพบุรุษตระกูลอวี้
“เจ้ายังมองเห็นพลังลมปราณอยู่หรือไม่” ฉินหลิวซีเอ่ยถาม
อวี้ฉังคงหลับตาลงเล็กน้อย ใจนิ่งแล้วจึงหรี่ตามองไปยังสุสานบรรพบุรุษ ไม่เห็นมีกลุ่มพลังสีดำ จึงเอ่ย “มีกลุ่มพลังสีแดงจางๆ”
“นั่นคือพลังมงคล แม้จะจางลงไปบ้าง แต่ยังไม่กระจายหายไป ถือว่าดีแล้ว” ฉินหลิวซีมองสุสานบรรพบุรุษอย่างละเอียด โดยเฉพาะหลุมศพใหญ่ตรงกลาง หลุมที่เคยถูกดูดพลังบุญและลมปราณได้ถูกอุดไว้แล้ว
อวี้ฉังคงฉลาดมาก เอ่ยถาม “ท่านกำลังกังวลอะไรอยู่หรือ”
“อืม ข้ากังวลว่าสิ่งที่สังหารอาจารย์ของข้ายังคงแอบดูดกลืนพลังบุญของตระกูลอวี้อยู่” ฉินหลิวซีเดินไปมาโดยเอามือไพล่หลัง “ยิ่งเขาได้พลังมาก ก็ยิ่งจัดการยากขึ้น”
อวี้ฉังคงเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยถาม “พลังบุญมีประโยชน์กับท่านหรือไม่”
“แน่นอนว่ามีสิ ไม่ว่ามนุษย์ ภูติผีหรือปีศาจ พลังบุญและลมปราณนั้นเป็นสิ่งล้ำค่า เป็นเหมือนยาอายุวัฒนะชั้นยอด นอกจากจะหล่อเลี้ยงวิญญาณ ยังปกป้องกายอีกด้วย สำหรับการบำเพ็ญเพียรแล้ว มันเป็นดั่งพลังจากสวรรค์เลยทีเดียว” ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ “แล้วจะไม่ให้พวกนักบำเพ็ญเพียรบางคนหันมาทำสิ่งชั่วช้าเพื่อแย่งชิงพลังนี้ได้อย่างไร แม้จะต้องขัดต่อสวรรค์ก็ยังไม่ลังเล ไม่กลัวทั้งผลร้ายและกรรมตามสนอง”
“แล้วท่าน…”
“อย่าเอ่ยว่าจะให้ข้าเอาพลังบุญไป ข้าเองก็มีหลักการเหมือนสุภาพบุรุษที่รักในทรัพย์ แต่ต้องได้มาโดยชอบธรรม ข้าไม่มีวันใช้วิธีชั่วร้ายเพื่อแย่งชิงพลังบุญแน่นอน”
อวี้ฉังคงเอามือไพล่หลังพลางเอ่ย “ข้าไม่อาจเทียบท่านได้ ไม่แปลกที่ท่านอาจารย์ของท่านจะเคยเตือนข้าด้วยคำว่า ‘หนึ่งความคิดสู่สวรรค์ หนึ่งความคิดสู่ขุมนรก’ หลังจากที่รู้ความจริงเกี่ยวกับการตายของท่านพ่อท่านแม่ ข้าเคยมีความคิดที่จะทำลายตระกูลอวี้ทั้งตระกูล ไม่สนว่ามันจะเป็นรากฐานของตระกูลหรือไม่ ตอนนั้นข้ามีแต่ความคิดชั่วร้าย ข้ายอมทรยศต่อคนทั้งโลก แต่ไม่ยอมให้ใครมาทรยศต่อข้า”
ฉินหลิวซียิ้มบาง “แสงสว่างกับเงามืดจะอยู่คู่กันตลอดไป ตอนที่ท่านอาจารย์ของข้าตาย ข้าก็ไม่สนแล้วว่าชะตากรรมของผู้คนจะเป็นเช่นไร หากสวรรค์ทรยศข้า ไยข้าต้องสนใจว่าประชาชนจะอยู่หรือตาย”
“แต่ท่านก็ยังกลับมาสู่โลกมนุษย์” อวี้ฉังคงเอ่ย “นั่นแสดงว่าเจ้าอาวาสชื่อหยวนยังคงอยู่ในใจท่าน แม้ว่าตัวจะจากไปแล้ว แต่ท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ในใจท่านเสมอ”
ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “เพราะคนผู้นั้นเหยียบย่ำข้าเกินไป ท้าทายข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าก็ต้องตอบโต้กลับสิ”
อวี้ฉังคงเอื้อมมือหยิบใบไม้สีเหลืองที่ตกลงบนศีรษะของนางออก เอ่ย “นับข้าด้วยหนึ่งคน”
“ดึงเจ้าลงน้ำด้วยแล้ว หากคิดหนี ข้าจะทุบเจ้าให้” ฉินหลิวซีเลิกคิ้วมองเขา
แสงอาทิตย์สาดแสงเอียงลงมา เข้ามาในดวงตาของอวี้ฉังคง ราวกับมีแสงดาราทอประกายอยู่ในดวงตา มองนางพลางยิ้ม เอ่ยว่า “ท่านจะไปที่ใด ข้าก็จะไปที่นั่น ท่านจะมุ่งไปทางใด ข้าก็จะตามไป”