คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 978 งานเข้าตลอดทาง
ตอนที่ 978 งานเข้าตลอดทาง
………………..
หลังจากออกมาจากเรือนตระกูลมั่วก็รู้สึกไม่ง่วงงุนอีกแล้วจึงไม่ได้กลับไปนอนต่อ นางให้เว่ยเสียไปผูกรถม้า เตรียมตัวออกเดินทางต่อ
“เหตุใดต้องเป็นข้าด้วย” เว่ยเสียบ่นพึมพำ เขาเป็นคนทำงานเบ็ดเตล็ดหรืออย่างไรกัน
ฉินหลิวซีเหลือบมองชุดใหม่ของเขา พลางพูดขึ้น “ชุดใหม่ที่สั่งตัดให้ผู้ดูแลเว่ย ให้ไปเสียเปล่ารึ หืม?”
เว่ยเสีย “…”
หน้าเจื่อนไปเลยทีเดียว
เขาหันไปมองโสมน้อย “รีบไปเร็ว จะสัมผัสประสบการณ์ชีวิต การผูกรถม้าก็เป็นสิ่งที่จำเป็น”
โสมน้อยกลับรีบไปจัดการอย่างอารมณ์ดี
จู่ๆ ผู้ใหญ่บ้านก็มาหาด้วยความเร่งรีบ เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังขนห่อผ้าขึ้นรถม้า ก็ชะงักไปเล็กน้อย พลางถามขึ้น “ท่านจะไปแล้วหรือ”
ฉินหลิวซีพยักหน้าเบาๆ “ข้าหายง่วงแล้ว เลยไม่อยู่รบกวนต่อ”
นางหยิบเอายันต์แคล้วคลาดออกมาจากแขนเสื้อยื่นให้เขา “เข้าฤดูหนาวแล้ว หากหิมะตกหนัก ต้องคอยโกยมันออก อย่าให้หิมะกองหลังคาจนหนา จะได้รับพรจากสวรรค์ไม่มีที่สิ้นสุด”
ผู้ใหญ่บ้านคนนี้เป็นคนจิตใจดี เต็มใจทำในสิ่งที่ถูกต้อง ในเมื่อมีวาสนาต่อกัน ให้นางพักอาศัยหนึ่งคืน นางจึงมอบยันต์แคล้วคลาดให้กับเขา ถือเป็นการตอบแทนน้ำใจ
ผู้ใหญ่บ้านชะงักไปชั่วขณะ ในใจตื้นตันเป็นอย่างมาก นางกำลังทำนายให้เขาหรือ
“ขอบคุณท่านนักพรต” ผู้ใหญ่บ้านรับยันต์ด้วยความนอบน้อม พลางถามขึ้น “ท่านนักพรต จู้จื่อมีลูกได้แค่คนเดียวจริงๆ หรือ”
“ถึงแม้ว่านักแสวงบุญของลัทธิเต๋าจะไม่หลอกลวงผู้คนเฉกเช่นชาวพุทธ แต่ข้าก็ไม่มีความจำเป็นที่จะไปหลอกลวงพวกเจ้า” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย “หากอยากให้ผิวของเด็กคนนั้นงอกขึ้นมาใหม่ ก็ใช้ผงแป้งที่บดจากข้าวเจ้าทาให้ทั่วร่างกายก็พอ สุขภาพร่างกายอ่อนแอต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่ หากเขาสามารถมีชีวิตอยู่จนถึงเจ็ดขวบได้ ที่บ้านเขายังพอมีข้าวสารอาหารแห้งเหลืออยู่ สามารถส่งเสียเขาเรียนได้”
ผู้ใหญ่บ้านได้ยินแล้วก็ดีใจขึ้นมาทันที “ท่านอาจารย์หมายความว่าเด็กคนนี้จะมีอนาคตที่เจริญรุ่งเรืองหรือ”
“ข้าไม่ได้พูด”
ผู้ใหญ่บ้านเมินคำพูดประโยคนี้ไปอย่างสิ้นเชิง พลางเอ่ย “ท่านอาจารย์วางใจได้ แม้ว่าพวกจู้จื่อจะไม่สนใจเด็กคนนี้ก็ตาม ข้าไม่มีทางเพิกเฉยอย่างแน่นอน”
หากสามารถอบรมบ่มเพาะคนเรียนหนังสือที่มีอนาคตเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาหนึ่งคน สอบตำแหน่งที่มีชื่อเสียงได้ หมู่บ้านก็ถือว่าได้หน้าได้ตาไปด้วย
พอฉินหลิวซีเห็นสีหน้าที่ดีอกดีใจของเขา “…”
เจ้าเข้าใจผิดแล้ว!
นางไม่ได้อธิบายต่อ พยักหน้าให้เขา จากนั้นก็ขึ้นรถม้า ไม่นานรถม้าก็หายลับไปกับบรรยากาศอันมืดมิดในยามค่ำคืน
ผู้ใหญ่บ้านยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวอยู่สักพัก ก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่ารถม้าแล่นไปไกลแล้ว เขาเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ ยืนหัวเราะคนเดียวอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าเพียงไม่นาน จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเป็นกลุ้มใจแทน ปล่อยท่านอาจารย์ไปทั้งอย่างนี้ ไม่ได้ให้ภรรยาของเขาทอดแป้งแผ่นและต้มน้ำร้อนให้ท่านอาจารย์พกเดินทางไปสักหน่อย
หลังจากที่ฟ้าสว่างแล้ว มั่วจู้จื่อก็มาหา อยากจะพบฉินหลิวซี พอรู้ว่าพวกนางออกเดินทางตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ก็ยืนทำตัวไม่ถูกอยู่หน้าเรือนของผู้ใหญ่บ้าน
ผู้ใหญ่บ้านพูดขึ้น “จู้จื่อ เจ้าจะเลอะเลือนต่อไปไม่ได้แล้ว เป่าเอ๋อร์เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของเจ้า อย่าทำความชั่วอีกเลย เจ้าอย่ารู้สึกไม่เชื่อ นางและเจ้ามาพบเจอกันด้วยความบังเอิญเท่านั้น แล้วเหตุใดนางถึงต้องพูดจาเช่นนี้กับเจ้าด้วย แค่บุคลิกภายนอกก็ดูออกชัดเจนว่านางและผู้ติดตามไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป บุตรชายของเจ้าเป็นคนมีบุญวาสนา มิเช่นนั้น เหตุใดถึงได้มาคลอดตอนนี้ บังเอิญมาเจอกับพวกนาง และบังเอิญรอดชีวิตได้อย่างไรกัน”
หากไม่ใช่เพราะฉินหลิวซีและผู้ติดตาม คนในตระกูลมั่วคงจะฆ่าเด็กทิ้งไปตั้งนานแล้ว เพราะอย่างไรเสียก็ไม่มีใครรู้ว่าโรคไร้ผิวหนังยังมีทางรักษาได้ และการที่เป็นโรคนี้ มีเพียงสองสาเหตุเท่านั้น
หากรอดจากภัยพิบัติมาได้ อนาคตย่อมมีความโชคดี เด็กคนนั้นจะต้องมีอนาคตที่เจริญก้าวหน้าอย่างแน่นอน
ผู้ใหญ่บ้านครุ่นคิดในใจ แม้ว่าตระกูลมั่วจะไม่ชอบ แต่เขาจะต้องปกป้องเด็กคนนั้นให้ได้
มั่วจู้จื่อเดินจากไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก
ส่วนฉินหลิวซีและคนอื่นๆ เวลานี้กำลังนั่งกินเกี๊ยวหมูสับเห็ดหอมร้อนๆ ที่ตลาดเช้าในเมืองแห่งหนึ่ง
“ป้า ข้าเอาเกี๊ยวหนึ่งถ้วย” จู่ๆ มีเสียงที่ค่อนข้างแหบแห้งดังมาจากทางด้านหลัง
รู้สึกคุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก
ฉินหลิวซีหันกลับไปดู ก็เห็นชายหนวดเครายุ่งเหยิงสีหน้าซีดเซียวคนหนึ่งค่อยๆ นั่งลงอย่างช้าๆ พอสบตากับนาง เขาก็ดีดตัวลุกขึ้นจนโต๊ะคว่ำไปหมด
“ท่าน…ท่านอาจารย์”
“คุณชายรองตระกูลจั่ว” ฉินหลิวซีกลืนเกี๊ยวลูกสุดท้าย จากนั้นก็หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปาก
งานเข้าไม่ขาดสายจริงๆ
คนตรงหน้า คือบุตรชายคนรองตระกูลจั่ว ผู้ตรวจการของเมืองนี้ ตอนนี้เป็นชายวัยกลางคนที่สุขุมและหนักแน่น ไม่สิ เป็นพ่อคนแล้ว
“เป็นท่านอาจารย์จริงๆ ด้วย ฮือๆ” จั่วจงจวิ้นคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความตื้นตันใจ เขาเอื้อมมือจับชายชุดของฉินหลิวซีพร้อมกับร้องไห้เสียงดังลั่น
ลูกผู้ชายทั้งคน มาร้องห่มร้องไห้เสียงดังในเวลาเช้าตรู่เช่นนี้ ดึงดูดสายตาของผู้คนไม่น้อย
ฉินหลิวซีพูดขึ้น “หยุดร้องได้แล้ว พาข้าไปดูลูกของเจ้าหน่อย”
จั่วจงจวิ้นเงยหน้าขึ้น พลางสูดน้ำมูก “ท่านรู้หรือ”
“เจ้าเดินทางจากทิศใต้ไปเมืองหลี ไม่ได้กำลังตามหาข้าอยู่หรือ ข้าเข้าใจผิดงั้นหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ พวกข้ากำลังตามหาท่าน นึกไม่ถึงว่าจะเจอท่านระหว่างทาง ดีจริง ลูกสาวข้ารอดแล้ว” จั่วจงจวิ้นเช็ดดวงตาที่แดงก่ำ “ท่านรู้ได้อย่างไรกัน”
ฉินหลิวซีลุกขึ้นยืน พลางพูดขึ้น “ลืมแล้วหรือ ว่าข้าทำอาชีพอะไร”
เอ่อ เขาถามคำถามที่ช่างงี่เง่าสิ้นดี
จั่วจงจวิ้นไม่เอาเกี๊ยวที่สั่งแล้ว เขาโยนเงินก้อนเล็กไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็หันไปพูดกับฉินหลิวซี “เช่นนั้นก็เดินทางกันเถิด พวกข้าค้างแรมอยู่ที่โรงเตี๊ยมไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่นัก”
โรงเตี๊ยมอยู่ไม่ไกลจากร้านเกี๊ยวตามที่จั่วจงจวิ้นเล่า เขาบอกว่าเห็นบุตรสาวเขาร้องไห้ทุรนทุรายแล้วก็รู้สึกจุกอกและปวดใจเป็นอย่างมาก เลยออกมาสูดอากาศเสียหน่อย
“ข้าอยากจะเจ็บแทนนางเสียด้วยซ้ำ ไม่อยากเห็นนางทรมานเช่นนี้” จั่วจงจวิ้นปาดน้ำตา
ฉินหลิวซีถามขึ้น “นางป่วยหรือ”
จั่วจงจวิ้นพยักหน้า “หมอหลวงบอกว่าเป็นไส้ตรงปลิ้น ดื่มยามามากมาย ทดลองรักษามาก็หลายวิธี ทว่าอาการกลับไม่ดีขึ้นเลย ร่างกายผ่ายผอมและไม่มีชีวิตชีวา พวกข้าไม่กล้าเสียเวลาต่อ จึงตัดสินใจอุ้มลูกออกมาตามหาท่าน”
คนทั้งกลุ่มเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม พอถึงหลังเรือน ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กทารกและเสียงพร่ำพรรณนาของหญิงสาวที่พยายามกลั้นความสะอึกสะอื้นดังขึ้น “ลูกของแม่ อย่าร้องไห้อีกเลย แม่ใจจะขาดอยู่แล้ว ถงหมัวหมัว รีบส่งคนไปตามคุณชายรอง เราจะรีบออกเดินทางทันที”
จั่วจงจวิ้นสีหน้าเปลี่ยนไปทันควัน พร้อมกับรีบวิ่งเข้าไปข้างใน “หานเอ๋อร์อาการแย่อีกแล้วหรือ”
“เหตุใดท่านถึงเพิ่งกลับมา รีบสั่งให้คนไปเตรียมรถม้าเร็วเข้า เราจะไม่พักตลอดเส้นทาง ตรงดิ่งไปที่อารามชิงผิงทันที ข้าทนไม่ไหวแล้ว ทนไม่ไหวจริงๆ” เสียงร้องตะโกนที่เต็มไปด้วยความร้อนใจและความสิ้นหวังของสตรีดังขึ้น
“ไม่ต้องแล้ว พวกเราไม่ต้องไปแล้ว ถังเอ๋อร์ พวกเราไม่ต้องไปที่อารามชิงผิงแล้ว” จั่วจงจวิ้นดึงภรรยาและบุตรสาวเข้ามากอดไว้แน่น “หานเอ๋อร์รอดแล้ว”
เดิมทีลิ่นชิงถังก็อกสั่นขวัญผวาอยู่แล้ว พอได้ยินคำพูดประโยคนี้ก็อึ้งไปกันใหญ่ เมื่อเห็นฉินหลิวซีปรากฏขึ้นที่ประตู นางก็ร้องไห้โฮออกมาทันที “ท่านเจ้าอาวาสน้อย!”
ฉินหลิวซีมองดูสามคนพ่อแม่ลูกตรงหน้า มุมปากฉีกยิ้มเล็กน้อย นึกไม่ถึงเลยจริงๆ พากันถอนหมั้นทั้งคู่ แล้วตอนนี้ก็กลับมากอดกันตัวเป็นเกลียว!
เว่ยเสียหันไปกระซิบกับเถิงเจา “ฟังเสียงร้องไห้นั่นสิ อย่างกับไม่ได้พบคนรักมานานแรมปีอย่างไรอย่างนั้น เศร้าโศก อาลัยอาวรณ์เสียไม่มี” จุ๊ๆ
เถิงเจากลอกตามองบน เป็นผีที่ดีหน่อยเถอะ คนเป็นแม่เขากำลังโศกเศร้าเสียใจอยู่แท้ๆ!