คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 980 ท่านอยู่ไหน พวกข้าก็จะอยู่ที่นั่น!
ตอนที่ 980 ท่านอยู่ไหน พวกข้าก็จะอยู่ที่นั่น!
หลังจากที่จัดการกู่ดูดวิญญาณเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉินหลิวซีก็สวมเสื้อให้เด็กน้อยด้วยความอ่อนโยน จากนั้นก็ขยับร่างกายบังสายตาของทุกคน แล้วจึงค่อยๆ ถอดกางเกงของเด็กน้อยออก
เมื่อกางเกงถูกถอดออก ก็มีกลิ่นฉุนลอยมาแตะจมูกทันที
จั่วจงจวิ้นตั้งสติได้ ก็รีบพูดขึ้นด้วยความเก้อเขิน “ทุกครั้งที่หานเอ๋อร์ร้องไห้ ก็จะกลั้นฉี่และอุจจาระไม่ได้ ตอนนี้จึงต้องสวมผ้าอ้อมด้วย เมื่อครู่นี้คงจะพึ่งอุจจาระไป ข้าให้แม่นมมาเช็ดล้างก่อนดีหรือไม่”
“อืม ให้แม่นมนำน้ำอุ่นมาเช็ดทำความสะอาด” แม้ว่าฉินหลิวซีจะไม่ได้รังเกียจ แต่ก็ไม่อยากตรวจโรคทั้งอย่างนี้
จั่วจงจวิ้นก็รีบเรียกแม่นมมาจัดการ หลังจากเช็ดล้างทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉินหลิวซีจึงค่อยตรวจดูอาการของเด็กน้อย เถิงเจารับตำราการแพทย์จากลูกสมุนมาเปิดดู เขาอ่านวิธีการรักษาอยู่หลายวิธี
ไม่ได้ถือว่าผิดแปลกไปจากโรคเดิมทั้งหมด แต่ด้วยความที่มีกู่ดูดวิญญาณอยู่ในร่างกาย เด็กน้อยถูกกู่รังควานจนไม่สามารถพักผ่อนได้ เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด จึงไม่สามารถรักษาให้หายจากโรคได้
ฉินหลิวซีจับชีพจร จากนั้นก็หันไปพูดกับจั่วจงจวิ้น “อาการป่วยของเสี่ยวหานเอ๋อร์ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เป็นผลกระทบจากกู่เสียมากกว่า จึงทำให้รักษาไม่หายเสียที อีกทั้งยังทำให้เลือดและลมปราณของนางอ่อนแอลงอีกด้วย นางป่วยเป็นโรคนี้ราวสองเดือนแล้วกระมัง”
“ใช่ สองเดือนที่แล้ว นางออกไปร่วมงานเลี้ยงกับถังเอ๋อร์ กลับมาก็เป็นหวัดไม่สบาย ทั้งอาเจียนและท้องเสีย จากนั้นอาการก็เป็นอย่างที่เห็น ข้าฟังโรคของเด็กเล็กมามากมาย แต่ไม่เคยเห็นอย่างนี้มาก่อน ตอนนั้นข้าตกใจเป็นอย่างมาก ที่นึกไม่ถึงไปกว่านั้น ก็คือนางถูกพิษกู่ ไปหาหมอหลวงมาหลายต่อหลายท่าน ทว่าก็ไม่เคยตรวจเจอเลย”
เอ่ยถึงตรงนี้ น้ำเสียงของจั่วจงจวิ้นก็สะอึกสะอื้นขึ้นมา
“อืม ตอนนี้เลือดและลมปราณของเด็กน้อยไม่เพียงพอ อวัยวะภายในทั้งห้าและลำไส้ทั้งหกยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ พอเป็นหวัดก็ไอและอาเจียนอย่างรุนแรง ทั้งยังมีอาการท้องเสียร่วมด้วย เกิดการบิดม้วนลำไส้เป็นเวลานาน เมื่อช่องท้องมีอากาศเพิ่มมากขึ้น บวกกับร้องไห้ไม่หยุด ส่งผลให้ลำไส้ตรงหลุดทะลักออกมาได้ง่าย และไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ เดิมทีก็อ่อนแออยู่แล้ว อวัยวะภายในยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ จึงป่วยเป็นโรคนี้ขึ้นมา”
ฉินหลิวซีลูบผมที่อ่อนนุ่มบนศีรษะของเด็กน้อยอย่างเบามือ เอ่ย “อาการป่วยไม่ทันจะหายดี ยังมาโดนพิษกู่เข้าไปอีก พอกู่ดูดวิญญาณออกฤทธิ์ขึ้นมา จิตวิญญาณของนางก็ได้รับความเสียหาย ย่อมร้องไห้ทุรนทุรายไม่หยุดอยู่แล้ว เช่นนี้จะดื่มยามากมายขนาดไหนก็เปล่าประโยชน์ อันที่จริงนางป่วยเป็นโรคไส้ตรงปลิ้นตอนอายุน้อยเช่นนี้ อีกหน่อยก็จะค่อยๆ หายไปเองตามอายุที่เพิ่มขึ้น”
“ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว จัดการกู่ดูดวิญญาณเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ก็จะต้องจัดยารักษาอาการป่วย ค่อยๆ ฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาเป็นปกติ” ฉินหลิวซีเปลี่ยนสีหน้า “หากเรื่องนี้มัวรอช้า เด็กน้อยก็จะกลายเป็นหญิงงามร่างกายอ่อนแออย่างแท้จริง ต่อไปในภายภาคหน้าก็จะลำบากไม่น้อย”
หญิงงามร่างกายอ่อนแอ ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นหญิงที่สะสวยทว่ามีชีวิตที่ไม่ค่อยยืนเท่าไหร่นัก และถึงแม้จะโชคดีมีชีวิตอยู่รอดมาได้ แต่อนาคตก็มีลูกยากเป็นอย่างมาก หรืออาจเสียชีวิตเพียงเพราะโรคหวัดก็เป็นได้
ดังนั้นหากจะให้รอ ย่อมไม่ได้อย่างแน่นอน ป่วยก็ต้องรักษาทันที
“วางใจเถิด ไม่มีกู่ดูดวิญญาณ อาการของนางจะค่อยๆ ดีขึ้น” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อไปอีก “หากอยากหายไวๆ มีวิธีรักษา แต่ข้ากลัวว่าเด็กจะทนไม่ไหว ต้องคิดหาวิธีอื่น”
“รักษาด้วยวิธีไหนหรือ”
“กินพริก หากกินพริกเขียวมากๆ จะช่วยรักษาโรคได้ แต่มันเผ็ดเกินไป นางเด็กแค่นี้ คงจะไม่ยอมกิน ข้าจะฝังเข็มให้นางก่อน ประเดี๋ยวค่อยไปคิดหาวิธีรักษา” ฉินหลิวซีหยิบเอาห่อผ้าข้างเอวยื่นให้เถิงเจา
เถิงเจารับหอผ้า จากนั้นก็กางห่อผ้าออกมาวางไว้ข้างๆ
ฉินหลิวซีทำความสะอาดมือเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็สั่งให้เขาจุดธูปหอมผ่อนคลาย จากนั้นก็หยิบเข็มเงินฝังไปที่จุดไป่ฮุ่ย จุดซานหลี่ จุดฉางเฉียง จุดเฉิงซานและจุดอื่นๆ
จั่วจงจวิ้นเห็นเข็มสีเงินที่เป็นประกายระยิบระยับแทงลงบนร่างกายของบุตรสาวแล้ว ก็รู้สึกปวดใจจนแทบจะทนไม่ไหว จู่ๆ เกิดบ่อน้ำตาตื้นขึ้นมา น้ำตารื้นเต็มกรอบตา เขาจึงรีบเช็ดออกทันที
หลังจากเก็บเข็มเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉินหลิวซีก็เปิดตำราการแพทย์ขึ้นมาดู เด็กตัวเล็กขนาดนี้ ให้กินพริกก็คงจะทานไม่ลง เช่นนั้นก็นำพริกมาบดเป็นผง ใส่ลงไปในยาต้มหรือข้าวต้มข้นๆ รสชาติต้องทำให้อร่อยด้วย มิเช่นนั้นนางคงจะกเรไม่ลงเป็นแน่
เพียงครู่เดียว ฉินหลิวซีก็คิดค้นยาที่เหมาะสำหรับให้เด็กทานได้ จึงยื่นให้จั่วจงจวิ้นดู “ต้มยาตามตำรับนี้ สามารถรักษาอาการของลูกเจ้าได้ เน้นการบำรุงฟื้นฟูร่างกายเป็นหลัก กู่ดูดวิญญาณอยู่ในร่างกายของนางมาระยะหนึ่งแล้ว จิตวิญญาณได้รับความเสียหายค่อนข้างมาก ดังนั้นการฟื้นฟูรักษาจิตวิญญาณจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
จั่วจงจวิ้นคุกเข่าลงกับพื้น เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสน้อย ท่านช่วยชี้แนะลูกสาวของข้าที นางพึ่งจะอายุครบหนึ่งขวบปีเมื่อไม่นาน ก็มาเจอเรื่องหนักหนาสาหัสเช่นนี้เข้า น่าสงสารเกินไปแล้ว”
โสมน้อยเหลือบมองเถิงเจาครู่หนึ่ง จากนั้นก็อธิบายขึ้นว่า “นางเลื่อนขั้นเป็นท่านเจ้าอาวาสแล้ว ตอนนี้ตำแหน่งเจ้าอาวาสน้อยคือเจาเจา”
จั่วจงจวิ้นอึ้งไปชั่วขณะ
“อืม ข้ารับตำแหน่งเจ้าอาวาสแล้ว” ฉินหลิวซีไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย “ฟื้นฟูจิตวิญญาณ จะไปที่อารามก็ได้ หากพวกเจ้าตามกลับไปที่เมืองหลวง ก็สามารถหาอารามสักอาราม พาลูกไปอยู่ที่นั่นสักระยะ ฟังพระสวดคัมภีร์ สามารถช่วยให้จิตใจสงบลงได้ หากยังไม่กลับเมืองหลวง ก็ไปที่อารามชิงผิง ร่วมทำวัตรเช้ากับนักพรตในอารามทุกๆ วัน เจ้าลัทธิเต๋าก็จะช่วยคุ้มครองนางด้วย แน่นอนเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักน่าชังเช่นนี้ ข้าก็จะมอบหยกแคล้วคลาดให้นางด้วย จิตวิญญาณจะได้สงบ”
จั่วจงจวิ้นหันขวับด้วยความดีใจ รีบกล่าวขอบคุณเป็นพัลวัน ทว่าจู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องที่มาเจอกับนางกลางทางขึ้นมา จึงถามขึ้นว่า “ท่านจะเข้าเมืองหลวงหรือ”
“ใช่”
จั่วจงจวิ้นตัดสินใจไม่ได้ว่าจะตามนางกลับเมืองหลวงหรือจะเดินทางไปที่อารามชิงผิงดี เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยว่า “รอให้ถังเอ๋อร์ได้สติ ข้าค่อยปรึกษาหารือกับนางอีกที”
“ข้าฟื้นแล้ว” ลิ่นชิงถังลุกขึ้นจากเตียง ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา นางเอื้อมมือที่สั่นเทาสัมผัสขาของบุตรสาวอย่างเบามือ ทว่าก็รีบดึงมือกลับราวกับถูกกระแสไฟฟ้าดูดก็ไม่ปาน พลางหันไปหาฉินหลิวซี “ข้าอยากจะอยู่ใกล้ๆ กับท่านเจ้าอาวาส หากท่านจะเดินทางเข้าเมืองหลวง พวกข้าจะขอติดตามไปด้วย”
ลิ่นชิงถังจ้องมองใบหน้าที่ผอมและซีดเซียวของบุตรสาว ในใจรู้สึกกลัวเป็นอย่างมาก หากนางและเขาไม่ตัดสินใจเดินทางลงใต้ พวกนางจะรู้เรื่องกู่ดูดวิญญาณได้อย่างไรกัน ให้หมอหลวงตรวจดูอาการของบุตรสาวตั้งมากมาย ก็ยังไม่มีใครตรวจเจอแม้แต่คนเดียว เห็นได้ชัดว่ามันร้ายกาจเป็นอย่างมาก
กู่ดูดวิญญาณ ได้ยินแค่ชื่อก็น่ากลัวแล้ว เหมือนที่ฉินหลิวซีพูด อาการป่วยสามารถรักษาให้หายได้ แต่จิตวิญญาณหากแตกสลายไปแล้ว ก็จะกลายเป็นร่างเปล่าที่สติฟั่นเฟือนเท่านั้น
หากมัววิตกกังวลถนนหนทางที่ยาวไกล บุตรสาวของนางคงจะทรมานจนตายเป็นแน่แท้ และพวกนางก็คงจะคิดว่าสาเหตุมาจากอาการป่วย ไม่ใช่กู่ดูดวิญญาณอะไรนั่น
ลิ่นชิงถังใบหน้าซีดเผือดไปหมด ทว่าก็รู้สึกโชคดีเป็นอย่างมาก พวกนางเดินทางลงใต้ครั้งนี้ยังไม่ทันถึงอารามชิงผิงเสียด้วยซ้ำก็เจอฉินหลิวซีเสียก่อน แถมยังหาสาเหตุการป่วยของบุตรสาวที่รักษาไม่หายจนเจอ หรือว่าหานเอ๋อร์ของพวกนางและฉินหลิวซีจะมีบุญวาสนาต่อกัน ถึงได้รอดชีวิตมาได้
มิเช่นนั้น พวกนางเดินทางลงใต้ ส่วนฉินหลิวซีไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ หากทั้งสองฝ่ายไม่ได้หยุดพักผ่อนที่เมืองแห่งนี้ ทุกคนก็จะคลาดกันอย่างสิ้นเชิง
บุตรสาวของนางจะต้องมีบุญวาสนาอย่างแน่นอน
ดังนั้นไม่ว่าฉินหลิวซีจะอยู่ที่ไหน พวกนางก็จะอยู่ที่นั่น ต้องอยู่ใกล้ๆ กับอีกฝ่ายเท่านั้น จึงจะรู้สึกอุ่นใจ เพราะอีกฝ่ายคือผู้มีพระคุณของบุตรสาวนาง