คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 981 คนที่ปล่อยแมลงกู่ใส่ ไม่ใช่คนที่จะล่วงเกินได้ง่ายๆ
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 981 คนที่ปล่อยแมลงกู่ใส่ ไม่ใช่คนที่จะล่วงเกินได้ง่ายๆ
ตอนที่ 981 คนที่ปล่อยแมลงกู่ใส่ ไม่ใช่คนที่จะล่วงเกินได้ง่ายๆ
Ink Stone_Romance
ลิ่นชิงถังอยากจะตามนางกลับเมืองหลวงไปด้วย ฉินหลิวซีไม่มีความคิดเห็นใดๆ เพราะอย่างไรเสียคนที่ปล่อยกู่ใส่หานเอ๋อร์ก็ตายไปแล้ว คนที่เลี้ยงกู่จะได้รับอาคมสะท้อนกลับ ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง และก็ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นต้องการจะถอนรากถอนโคนหรือไม่ หากจัดการเรื่องใหญ่ได้เรื่องอื่นๆ ก็ง่ายแล้ว หลังจากกลับเมืองหลวงไป อาศัยตระกูลลิ่นตระกูลจั่วทั้งสองตระกูล คงจะสามารถสืบหาความจริงได้ไม่ยาก
เมื่อเห็นเด็กน้อยสงบลง ลิ่นชิงถังก็หันไปถามย้ำกับจั่วจงจวิ้นอีกครั้งว่ากู่ดูดวิญญาณตายแล้วใช่หรือไม่ นางจึงค่อยมีกะจิตกะใจถามเรื่องทำนาย
ถือว่านางเองก็รู้ความไม่น้อย รู้ด้วยว่าจะให้ทำนายเปล่าๆ โดยที่ไม่จ่ายเงินไม่ได้ จึงหยิบเอาตั๋วเงินออกมาสองใบส่งให้ฉินหลิวซี อยากจะรู้ว่าใครเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง
“ท่านก็รู้ พวกข้าทั้งสองผ่านการถอนหมั้นกันก่อน แล้วค่อยมาแต่งงานกัน หากจะพูดถึงเรื่องล่วงเกิน ก็คงจะเป็นผู้อื่นเสียมากกว่าที่เป็นฝ่ายล่วงเกินเรา พวกข้าทั้งสองไม่ได้มีนิสัยชอบหาเรื่องผู้อื่น ไม่มีทางที่จะไปล่วงเกินผู้อื่นอยู่แล้ว” ลิ่นชิงถังหันไปมองบุตรสาวที่กำลังหลับสนิท เอ่ยขึ้นด้วยดวงตาแดงก่ำ “แต่ในความเป็นจริง พวกข้ากลับไปล่วงเกินผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ปล่อยให้อีกฝ่ายใช้หานเอ๋อร์ในการแก้แค้น”
“ใช่ ไม่รู้ว่าโกรธแค้นอะไรกัน เหตุใดถึงไม่มาล้างแค้นกับเรา” จั่วจงจวิ้นเอ่ยขึ้นด้วยความเคียดแค้น
ฉินหลิวซีจ้องมองทั้งสอง “พวกเจ้าไม่เคยล่วงเกินผู้อื่นจริงๆ หรือ แต่ข้ารำลึกได้ว่าเหตุต้นผลกรรมครั้งนี้มันมาจากพวกเจ้าสองคน เขียนตัวอักษรมาสักตัว ข้าจะช่วยพวกเจ้าทำนายตัวอักษร”
จั่วจงจวิ้นเขียนคำว่า ‘ฮุ่ย’ เขาอธิบาย “นี่เป็นชื่อของหานเอ๋อร์ ฮุ่ยหาน”
จั่วจงจวิ้นมองดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มนับนิ้วทำนาย พลางพูดขึ้น “คำว่า ‘ฮุ่ย’ มีคำว่า ‘เฟิง’ เป็นส่วนประกอบของอักษรส่วนบน คำว่า ‘เฟิง’ มาจากอักษร ‘หวัง’ ที่ไม่มีขีดบนหัว อักษร ‘หวัง’ เมื่อวางแนวตั้งจะหมายถึงกาลเวลาที่เหมาะสม สถานที่ที่เหมาะสมและแรงสามัคคี ดังนั้นจึงมีความหมายว่าราชาหรืออ๋อง อักษรส่วนกลางเป็นคำว่า ‘ซาน’ ภูเขาที่มีความหมายว่าหวนกลับ อักษรส่วนล่างเป็นคำว่า ‘ซิน’ ที่หมายถึงหัวใจ ‘ซาน’ ทับอยู่บน ‘ซิน’ หนักหน่วงพันชั่ง หมายถึงการข่มและการยกยอให้ท้าย…” ฉินหลิวซีหรี่ตามองดูทั้งสอง พลางเอ่ยต่อไปว่า “พวกเจ้าลองคิดดูว่ามีคนไหนที่เป็นอ๋อง มีบุตรสาวและพึ่งกลับเมืองหลวง มีเพียงบิดาที่เป็นอ๋องเท่านั้นที่สามารถข่มและยกยอให้ท้ายลูกของตนเอง”
สีหน้าของจั่วจงจวิ้นและลิ่นชิงถังก็เปลี่ยนไปในทันที ทั้งสองนึกออกแล้ว
“เขามีนามว่าซิ่นหยางอ๋อง เปี่ยนชุนอ๋อง เพิ่งจะกลับเมืองหลวงมาร่วมงานเลี้ยงฉลองพระราชพิธีหมื่นพรรษาเมื่อปีที่แล้ว พาลูกสาวฝาแฝดกลับมาสองคน นิสัยของซืออี๋จวิ้นจู่ดื้อรั้นเป็นอย่างมาก นาง…โอ๊ย” ขณะที่กำลังพูด จั่วจงจวิ้นก็ถูกลิ่นชิงถังข่วนเข้า
ใช่แล้ว มีอักษร ‘หวัง’ และอักษร ‘ซิน’ ไม่ผิดแน่
ลิ่นชิงถังหันไปจ้องจั่วจงจวิ้นตาเขม็ง พลางทุบตีจั่วจงจวิ้นอย่างเต็มแรง “จั่วจงจวิ้นคนสารเลว ที่แท้แล้วก็เป็นท่านนี่เองที่ไปข้องเกี่ยวกับความสัมพันธ์เสื่อมทราม เรื่องร้ายๆ จึงมาตกใส่หัวลูกสาวของเรา ท่านเป็นพ่อทั้งคน ไม่รู้สึกผิดหรืออย่างไรกัน หา!”
จั่วจงจวิ้นรวบมือของนางแล้วจึงเอ่ย “ข้า ข้าไม่ได้เป็นคนเข้าไปยุ่งกับนางเสียหน่อย ข้าเพียงแค่แข่งพายเรือมังกรไปครั้งเดียว ใครจะไปนึกว่าจะไปเกี่ยวข้องกับองค์หญิงจิตวิปริตเช่นนี้เข้า ข้าไม่เคยมองนางเต็มตาแม้แต่ครั้งเดียว และมีใครบ้างในเมืองนี้ที่ไม่รู้ว่าข้าคือเขยขวัญของพ่อตาข้า ใครจะมาสนใจข้าได้ องค์หญิงจิตวิปริตผู้นั้นสมองฟั่นเฟือน เจอหน้ากันครั้งเดียว ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่านางจะสนใจคนที่แต่งงานแล้ว”
“ถุย! ไม่แน่นางอาจจะมีรสนิยมแบบนี้ก็ได้ใครจะไปรู้ เผลอๆ ยังเก็บตำแหน่งบุตรเขยไว้ให้ท่านอยู่เลย” ลิ่นชิงถังโมโหจนดวงตาแดงก่ำไปหมด
นึกถึงเรื่องนี้นางก็รู้สึกขยะแขยงขึ้นมาทันที ปีที่แล้วตอนที่นางและจั่วจงจวิ้นเพิ่งจะแต่งงานกันไม่นาน มีงานเลี้ยงฉลองพระราชพิธีหมื่นพรรษา ซิ่นหยางอ๋องก็พาบุตรสาวของเขากลับเมืองหลวง ซืออี๋จวิ้นจู่ที่ชอบเลี้ยงผู้ชายก็ไปถูกใจจั่วจงจวิ้นเข้า เลยบังคับให้เขาไปหย่ากับภรรยา ตอนนั้นเรื่องราวใหญ่โตเป็นอย่างมาก จนนางต้องกลับไปอยู่ที่บ้านสกุลเดิม
ยังดีที่พ่อสามีเป็นคนมีคุณธรรม ไม่กลัวอำนาจไม่เห็นแก่เงินทอง ไม่สนใจฐานะบรรดาศักดิ์ของซิ่นหยางอ๋อง เข้าไปตำหนิติเตียนซืออี๋จวิ้นจู่ว่ากิริยาไม่เหมาะสม ต่อว่าซิ่นหยางอ๋องไม่อบรมสั่งสอนบุตรสาวของตนเอง ให้ท้ายบุตรสาวจนเสียนิสัย และเขาก็รู้สึกอับอายที่ต้องคลุกคลีและเกี่ยวข้องกับคนเช่นนี้
ตอนนั้นจั่วจงจวิ้นเองก็รู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก ใครจะไปนึกว่าแค่พายเรือมังกรก็นำมาซึ่งปัญหาวุ่นวายเช่นนี้ได้ เพื่อที่จะหลบหลีกองค์หญิงสติฟั่นเฟือน เขาถึงขั้นพาภรรยากลับไปอยู่บ้านสกุลเดิมของแม่เขาราวหนึ่งปีครึ่ง จนภรรยาคลอดลูกแล้วจึงค่อยกลับมาที่เมืองหลวง
“ข้าคิดว่าหากประจันหน้าไม่ได้ก็คงต้องหลีกเลี่ยง รอคลอดลูกแล้วค่อยกลับมา หากองค์หญิงสติฟั่นเฟือนนั่นได้รับสมรสพระราชทานแล้ว ก็คงจะลืมข้าไป” จั่วจงจวิ้นเองก็โกรธแค้นไม่แพ้กัน “อันที่จริงนางเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรข้าเท่าไหร่นัก แล้วก็ไม่ได้มีความคิดที่จะจับข้าแต่งงานอีก คิดไม่ถึงเลยว่านางจะ…”
จั่วจงจวิ้นมองดูบุตรสาวที่กำลังหลับสนิท เขาตบหน้าตนเองอีกครั้ง พลางเอ่ยขึ้นด้วยความโมโห “เป็นความผิดของข้า หากข้าไม่โผล่หัวไป ก็คงจะไม่มีเรื่องกับองค์หญิงสติฟั่นเฟือนนั่น ให้หานเอ๋อร์ต้องมาเจ็บตัวเช่นนี้”
ลิ่นชิงถังเห็นว่าเขาตบหน้าตนเอง ความสงสารก็ปรากฏขึ้นบนดวงตาของนาง อยากจะเข้าไปห้ามเขา ทว่าก็อดทนไว้ นางสูดจมูกพลางเอ่ย “ใช่ หลังจากกลับมา ก็อยู่อย่างสงบสุขมาโดยตลอด จวบจนหานเอ๋อร์ป่วย ข้านึกออกแล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าพาหานเอ๋อร์ไปงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ นางก็อยู่ที่นั่น ตอนนั้นนางยังให้ข้าอุ้มลูกสาวไปให้นางดู ข้าไม่ยอมไป แม้ว่าน้ำเสียงของนางจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ทว่าก็ไม่ได้ดึงดันแต่อย่างใด จากนั้นนางก็ให้คนใช้นำกำไลมามอบให้หานเอ๋อร์ เกรงว่าคงจะลงมือกับหานเอ๋อร์ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เป็นความผิดของข้าเช่นกัน”
“ไม่โทษเจ้า เจ้าไม่รู้เสียหน่อยว่านางจะสติฟั่นเฟือนและเจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนี้ อีกอย่างนี่ไม่ใช่เรื่องที่คิดจะป้องกันแล้วจะป้องกันได้” จั่วจงจวิ้นปลอบนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
ฉินหลิวซีเอ่ย “เป็นเช่นนั้น โชควาสนาก็คือโชควาสนา จะเป็นเคราะห์ไปไม่ได้ ถ้าถึงคราวเคราะห์จะหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น ทว่าหากนางลงมือ อีกทั้งยังใช้แมลงกู่เช่นนี้ งานเลี้ยงถือเป็นโอกาสที่ไม่เลว ง่ายต่อการทำสำเร็จ ส่วนเรื่องอาฆาตพยาบาทและความหัวรั้น เป็นอย่างที่เจ้าพูด สติค่อนข้างฟั่นเฟือน สิ่งไหนที่ไม่ได้ก็จะยิ่งอยากได้ หากไม่ได้ก็จะทำลายทิ้ง นางไม่ทำลายพวกเจ้า แต่เลือกที่จะพุ่งเป้าไปที่เสี่ยวหานเอ๋อร์แทน เพราะเสี่ยวหานเอ๋อร์คือแก้วตาดวงใจของพวกเจ้า หากเด็กเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ต่างอะไรจากการทำลายพวกเจ้าทั้งสอง”
พ่อแม่บางคนสูญเสียลูกไปแล้ว อาจไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก
ทั้งสองกำหมัดแน่นด้วยสัญชาตญาณ สีหน้าหวาดกลัวและใจหายเป็นอย่างมาก
ใช่ หากลูกสาวของเขาเป็นอะไรไปจริงๆ ก็ไม่ต่างอะไรจากการคว้านหัวใจพวกเขา แม้ว่าในอนาคตพวกเขาจะมีลูกอีกก็ตามแต่ ก็ไม่ใช่ลูกคนนี้อีกแล้ว
“นางผู้หญิงอำมหิต อำมหิตประหนึ่งงูพิษประหนึ่งแมงป่องก็ไม่ปาน ความแค้นที่นางมาทำร้ายบุตรสาวข้า ข้าไม่มีวันอภัยเป็นอันขาด แค้นนี้หากไม่ชำระก็ไม่ใช่ลูกผู้ชายแล้ว” จั่วจงจวิ้นนึกถึงสตรีผู้มีอำนาจบาตรใหญ่จองหองพองขนนั่นแล้วดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมาทันควัน อยากจะรีบกลับเมืองหลวงแล้วเอากระบี่แทงทะลุหัวใจนางเป็นหมื่นๆ ครั้งเสียให้ได้
ลิ่นชิงถังเองก็โกรธเกลียดไม่แพ้กัน ทว่าก็ยังพอมีสติอยู่บ้าง จึงเอ่ย “ท่านอย่าใจร้อนเกินไป กลับเมืองหลวงไปปรึกษาหารือกับท่านพ่อก่อนค่อยว่ากัน แม้ว่าชื่อเสียงเรียงนามของนางจะย่ำแย่เพียงใด นางก็ยังเป็นองค์หญิงอยู่ดี”
จั่วจงจวิ้นยังคงโกรธแค้น ทว่าก็ยอมพยักหน้าตอบรับ
“ท่านเจ้าอาวาสท่านว่าหากกู่ดูดวิญญาณตาย คนที่อยู่เบื้องหลังก็จะโดนอาคมสะท้อนกลับไปด้วย เช่นนั้นก็แสดงว่านางจะโดนอาคมสะท้อนกลับและได้รับผลกรรมใช่หรือไม่” จั่วจงจวิ้นถามต่อ
ฉินหลิวซีส่ายหน้าเบาๆ “ไม่แน่เสมอไป หากนางไม่ได้เป็นคนเลี้ยงแมลงกู่ ก็จะได้รับกรรมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่โดนอาคมสะท้อนกลับ ข้าคิดว่าเบื้องหลังของนางมีผู้เชี่ยวชาญเลี้ยงแมลงกู่อยู่”
จั่วจงจวิ้นสีหน้าเคร่งเครียด
ฉินหลิวซีจ้องมองพวกเขาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เอ่ยว่า “อย่าวิตกกังวลจนเกินไป ฟังจากที่พวกเจ้าเล่ามา สตรีผู้นี้มั่วโลกีย์และร้ายกาจเป็นอย่างมาก ดูท่าคงจะทำเรื่องชั่วมาไม่น้อย ย่อมต้องได้รับผลกรรมอย่างแน่นอน”
ผ่านมาแค่สามปี เมืองเซิ่งจิงมีคนชั่วผุดขึ้นมากมายขนาดนี้เชียว ช่างครึกครื้นเสียจริง!