คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 983 ข้าว่าท่านมีภัยพิบัตินองเลือด...
ตอนที่ 983 ข้าว่าท่านมีภัยพิบัตินองเลือด…
ใต้เท้าจั่วกลับไปนั่งตรงข้ามเสนาบดีลิ่นอีกครั้ง พอเห็นสีหน้าท่าทีใจเย็นของเขาแล้ว ก็สบถเสียงในลำคอด้วยความฉุนเฉียว
“ท่านแลดูใจเย็นเสียไม่มี ไม่รู้จักสงสารหลานสาวบ้าง” หลานนอกกับหลานในมันแตกต่างกันเช่นนี้นี่เอง
เสนาบดีลิ่นแตะจดหมายเบาๆ พลางเอ่ย “ในจดหมายก็บอกไว้แล้ว ว่าหานเอ๋อร์มีโชควาสนา ได้เจอกับท่านเจ้าอาวาสกลางทาง แม้ว่าอาการป่วยของนางจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยไม่ต้องใช้ยาก็ตาม แต่ก็จะไม่แย่ลงอีก”
ผ่านมาแล้วสามปี นางเองเป็นถึงเจ้าอาวาสแล้ว คงจะเป็นนักพรตชั้นสูงแล้วกระมัง?
ใต้เท้าจั่วหยิบจดหมายขึ้นมาดู ความเดือดดาลก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง “เปี่ยนเจียวเจียวคนนั้นอายุยังไม่ถึงยี่สิบเสียด้วยซ้ำ ทว่าจิตใจกลับเหี้ยมโหด ถึงขั้นลงมือกับเด็กตัวเล็กๆ การกระทำชั่วร้ายขนาดนี้ บาปหนาจนมิอาจจะบรรยายได้”
แววตาของเสนาบดีลิ่นสั่นไหวเล็กน้อย เอ่ย “แม้ว่าท่านจะเขียนการกระทำที่ชั่วร้ายนี้แล้วถวายฎีกา แต่ก็ไม่สามารถที่จะยืนยันได้ จวิ้นเอ๋อร์บอกว่ากู่ถูกฆ่าไปแล้ว อีกฝ่ายคงจะรู้ตัวและทำลายหลักฐานไปหมดแล้ว”
เขียนเรื่องกู่ลงบนฎีกาโดยไร้ซึ่งหลักฐาน หากเอาไปยื่น มีหวังคงถูกฝ่าบาทด่าตะเพิดว่ากำเริบเสิบสานเป็นแน่
ทว่าตอนนี้ฝ่าบาทเองก็กำเริบเสิบสานไม่น้อย
เสนาบดีลิ่นยกน้ำชาขึ้นมาจิบ ภายในกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก
“แล้วจะปล่อยไปทั้งอย่างนี้หรือ”
เสนาบดีลิ่นสบถเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ “มีแค่แมลงกู่หรืออย่างไรกันที่จะเอาเรื่องเขาได้ ตระกูลเปี่ยนกระทำการด้วยความชั่วช้าไร้ซึ่งความถูกต้องมาโดยตลอด จะจับจุดอ่อนเขามีถมเถไป”
ใต้เท้าจั่วขมวดคิ้ว “ได้ยินมาว่าซิ่นหยางอ๋องได้ถวายยาอายุวัฒนะขนานหนึ่ง ฝ่าบาทหลงเหยียนพึงพอใจเป็นอย่างมาก พาลูกหลานได้หน้าได้ตาไม่น้อย ยิ่งจองหองพองขนเข้าไปใหญ่ จะทำการใดก็ควรต้องระมัดระวังให้มาก”
“แค่จับจุดอ่อน จะต้องระมัดระวังขนาดไหนกันเชียว นางอสรพิษสกุลเปี่ยนกล้าทำก็ต้องกล้ารับผลที่จะตามมา หลานสาวของข้าลิ่นหรูเฟิงคือคนที่นางแตะต้องได้หรืออย่างไรกัน” แววตาที่คมกริบของเสนาบดีลิ่นเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก
เดิมทีเขาคิดว่าเป็นเพราะร่างกายของหลานสาวอ่อนแอจึงป่วยเป็นโรคเท่านั้น นึกไม่ถึงเลย ว่าที่แท้แล้วร่างกายของนางจะมีสิ่งที่น่ากลัวเช่นนี้ซ่อนตัวอยู่ ลงมือกับเด็กน้อยที่ยังนับว่าเป็นแค่ทารกคนหนึ่ง จิตใจของนางช่างเหี้ยมโหดเลวทรามเสียไม่มี
ใต้เท้าจั่วได้ยินคำพูดประโยคนี้ ก็หันมามองเขาโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
“เราควรต้องรีบหวนคืนสู่อำนาจโดยเร็ว ตอนนี้สถานการณ์ฝ่ายราชสำนักและฝ่ายราษฎรวุ่นวายเป็นอย่างมาก” ใต้เท้าจั่วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “คนผู้นั้นก็เช่นกัน นับวันยิ่งหูเบาเชื่อแต่คำพูดของเจินเหรินเหล่านั้น”
พูดตามตรง หากไม่ได้รู้จักกับฉินหลิวซีก่อน ใต้เท้าจั่วผู้ซึ่งเดิมทีเป็นคนศรัทธาในปรัชญาที่ว่า ‘ขงจื้อไม่สอนเรืองอำนาจลี้ลับ’ พอได้เห็นฝ่าบาทที่เชื่อในพลังยาอายุวัฒนะแล้ว เกรงว่าเขาคงจะรีบกลับไปฝึกฝนอย่างหนักกระมัง ทว่าตอนนี้ เมื่อเห็นฝ่าบาทหลงเชื่อเรื่องผีวิญญาณลี้ลับเหล่านั้นว่าเป็นยาอายุวัฒนะ? ช่างเหลวไหลสิ้นดี!
ทันทีที่เขาพูดจบ พ่อบ้านก็มารายงานที่หน้าประตูห้องหนังสือด้วยความดีอกดีใจ “ท่านเสนาบดี มีพระราชโองการจากวังหลวง ฎีกาเรื่องการไว้ทุกข์ของนายท่านยื่นไปได้รับคำอนุญาตแล้ว กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมอย่างเป็นทางการ”
ใต้เท้าจั่วได้ยินแล้วก็ดีใจเป็นอย่างมาก
เสนาบดีลิ่นเองก็ถอนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาหันไปสบตากับใต้เท้าจั่ว พลางหัวเราะเสียงเบา “วันนี้ ช่างเป็นวันที่ดีเสียจริง”
จิ้งจอกเฒ่าทั้งสองฉีกยิ้มกว้าง หวนคืนสู่อำนาจอีกครั้ง พวกเขาสามารถทำอะไรได้อีกเยอะแยะมากมาย
…
เข้าสู่ฤดูหนาวเดือนสิบสอง อากาศหนาวเย็นเป็นอย่างมาก หิมะตกหนักติดต่อกันไม่ขาดสาย ฉินหลิวซีพึ่งจะเดินทางมาถึงศาลาพัก ซึ่งห่างจากเมืองหลวงราวสิบวันเดินทาง
ฉินหลิวซียืนดูหิมะขาวโพลนอยู่หน้าศาลาพักม้า นางขมวดคิ้วแน่น หิมะตกหนักเกินไป พวกนางพึ่งจะเดินทางมาถึงศาลาพักม้ายังไม่ถึงครึ่งชั่วยามเสียด้วยซ้ำ ทว่าหิมะก็ตกจนเป็นชั้นหนาแล้ว
“โอ้โห ปีนี้หิมะตกหนักจริงๆ ดูท่าแล้วปีถัดไปคงจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อุดมสมบูรณ์อย่างแน่นอน” มีคนขี่ม้าเร็วมาหยุดที่หน้าศาลาพักม้า จากนั้นก็กระโดดลงจากหลังม้า
“นั่นสิ แต่ออกจะหนาวไปหน่อย”
ฉินหลิวซีเหลือบมองทั้งสอง หลังหิมะตก ไม่ใช่เรื่องที่ดี จะมีภัยพิบัติขนาดใหญ่
ทั้งสองหันไปเห็นนางยืนอยู่หน้าศาลาพักม้า สบตากับนางพอดี จึงถามขึ้นด้วยความหนาวสั่น “เจ้า…ไม่หนาวหรือ”
ยังเป็นแค่เด็กสาวกระมัง สวมใส่เสื้อผ้าบางมายืนรับลมหนาวเช่นนี้ สติไม่ดีแล้วหรืออย่างไรกัน?
ฉินหลิวซีพูดขึ้น “ข้ามีไฟในตัว”
ฟังดูแล้ว คงจะสติไม่ดีจริงๆ
คนหนึ่งเดินเข้าไปเรียกผู้ดูแลศาลาพักม้า อีกคนที่ดูยังหนุ่มยืนรอที่หน้าประตู เขาทอดมองถนนเบื้องหน้าพลางขยับเท้าเป่าลมคลายหนาว ด้วยความเบื่อหน่ายจึงหันไปถามฉินหลิวซี “แม่นาง เจ้าไม่หนาวจริงหรือ”
“อืม” ฉินหลิวซีเห็นว่าเขาหนาวจนใบหน้าซีดไปหมด ก็สังเกตดูชุดที่เขาสวมใส่พลางถามขึ้น “ผู้คุ้มกัน?”
“ใช่แล้ว พวกเราเป็นคนคุ้มกันของสำนักคุ้มกันม้าพันลี้ ข้าแซ่เหมียว แม่นางดูออกได้อย่างไรกัน” ผู้คุ้มกันเหมียวหยิบเอาห่อกระดาษห่อหนึ่งออกจากเสื้อมาเปิดออก จากนั้นก็ยื่นให้นาง พลางเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ขนมขิงเค็มที่ทำมาจากขิงแก่ แม่นางลองชิมดู ช่วยกำจัดความหนาวเย็น”
ฉินหลิวซีมองดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบขนมชิ้นหนึ่งมาชิม เอ่ย “หลังเสร็จการคุ้มกันครั้งนี้แล้วอย่าพึ่งรีบตีกลับ อยู่ฉลองตรุษจีนที่เมืองหลวงดีกว่า”
ผู้คุ้มกันเหมียวชะงักไปครู่หนึ่ง “เพราะเหตุใดหรือ”
“จะมีพายุหิมะเกิดขึ้น หิมะครั้งนี้จะตกต่อเนื่องอย่างน้อยครึ่งเดือน หากรีบกลับไป จะมีอันตรายกลางทาง” ฉินหลิวซีจ้องมองเขาพลางเอ่ย “มีเมฆดำกำลังครอบคลุมอยู่เหนือศีรษะเจ้า จะมีหายนะนองเลือด เกรงว่าอาจจะร้ายแรงถึงขั้นชีวิต”
ผู้คุ้มกันเหมียว “!”
อุตส่าห์ชวนเจ้ากินขนมขิงเค็ม เจ้ากลับแช่งข้ารึ?
ฉินหลิวซีพูดจบก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบเอาขนมอีกชิ้น โรยงาแล้วหอมไม่น้อย
ผู้คุ้มกันเหมียวจ้องมองแผ่นหลังของนาง “…”
อะไรกัน สตินางฟั่นเฟือนจริงๆ เสียด้วย
“ชิ่นจื่อ มัวเหม่อลอยอะไรอยู่” ผู้คุ้มกันที่เข้าไปในศาลาพักม้าเดินออกมาผลักเขาเบาๆ จากนั้นก็ก้มมองดูห่อกระดาษในมือของเขา “เอ้ นี่คืออะไร”
ผู้คุ้มกันเหมียวก้มหน้าดูตาม ก็เห็นว่าบนห่อกระดาษมียันต์รูปทรงสามเหลี่ยมวางอยู่หนึ่งแผ่นตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
แม่นางคนเมื่อครู่นี้ให้ไว้หรือ?
เขาหยิบขึ้นมาดู พลางพูดขึ้น “พี่ใหญ่อู๋ แม่นางคนเมื่อครู่นี้บอกว่าหิมะครั้งนี้จะตกต่อเนื่องอย่างน้อยครึ่งเดือน ให้เราอย่าพึ่งรีบตีกลับ ทางที่ดีควรรอหลังปีใหม่ นางบอกว่าหากรีบกลับไปตอนนี้ ข้าจะมีหายนะนองเลือด อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้!”
ทว่าผู้คุ้มกันเหมียวกลับรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก “นางเป็นคนทิ้งยันต์แผ่นนี้ไว้” อีกอย่าง ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า เวลาที่กำยันต์นี้ไว้ในมือ กลับรู้สึกว่าไม่ค่อยหนาวแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“พอได้แล้ว อย่าคิดมากไป คาราวานมาถึงแล้ว รีบไปต้อนรับเร็วเข้า”
ผู้คุ้มกันเหมียวเก็บห่อกระดาษใส่เข้าไปในเสื้อพลางจ้องมองยันต์ในมือ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ดึงสร้อยเชือกสีแดงที่ห้อยกระเป๋าผ้าใบเล็กคล้องกับคอของเขาออกมา นี่คือกระเป๋าผ้าที่แม่ของเขาปักให้ ข้างในกระเป๋าผ้าใส่เหรียญแคล้วคลาดเอาไว้ เขานำยันต์แผ่นนั้นใส่เข้าไปในกระเป๋าผ้าใบเล็ก
ส่วนฉินหลิวซีก็เดินเข้าไปหาจั่วจงจวิ้นในศาลาพักม้า เขากำลังคุยกับใครบางคนอยู่ พอเห็นนางเดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นกำลังจะแนะนำ ทว่าฉินหลิวซีเอ่ยปากเสียก่อน
“หลังอาหารเที่ยง เราจะออกเดินทางกันต่อ เข้าเมืองหลวงเร็วหน่อย หากไม่หยุดระหว่างทางได้ก็ไม่ต้องหยุด” ฉินหลิวซีพูดขึ้น
จั่วจงจวิ้นชะงักไปครู่หนึ่ง “เพราะเหตุใดหรือ”
เดิมทีเขาตั้งใจจะค้างแรมที่ศาลาพักม้าหนึ่งคืนแล้วค่อยออกเดินทาง
“หิมะตกค่อนข้างหนัก และก็จะตกต่อเนื่องอย่างน้อยครึ่งเดือน หิมะตกยิ่งหนัก ถนนข้างหน้าก็จะยิ่งเดินทางลำบากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการติดขัดกลางคัน ควรรีบเดินทางเข้าเมืองหลวงจะเป็นการดีกว่า เรายังมีเด็กเล็กเดินทางด้วย” ฉินหลิวซีเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้น “จะมีภัยหิมะ”
“ภัยหิมะ? เหตุใดถึงได้มั่นใจขนาดนี้” ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ดีดตัวลุกขึ้น เขาขมวดคิ้วพลางจ้องมองฉินหลิวซี