คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 984 ยันต์ลัทธิเต๋าระดับสูง ทองพันชั่งก็มิอาจซื้อได้
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 984 ยันต์ลัทธิเต๋าระดับสูง ทองพันชั่งก็มิอาจซื้อได้
ตอนที่ 984 ยันต์ลัทธิเต๋าระดับสูง ทองพันชั่งก็มิอาจซื้อได้
ฉินหลิวซีหันไปมองชายหนุ่มที่สวมใส่ชุดฉางเผา[1]ผ้าดิ้น บนศีรษะสวมกวานทองอายุราวสามสิบต้นๆ
“เจ้าเป็นใคร”
จั่วจงจวิ้นได้สติก็รีบแนะนำทันควัน “ท่านเจ้าอาวาส คนผู้นี้คือชุยซื่อเสวีย นามว่าฉังเซียว ตอนนี้รับตำแหน่งเป็นรองเจ้ากรมครัวเรือนฝ่ายซ้ายของเมืองหลวง”
“ทายาทตระกูลชุยอำเภอชิงเหอหรือ” ฉินหลิวซีถามขึ้น “ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยจริงๆ”
อายุสามสิบต้นๆ แต่เป็นถึงขุนนางขั้นสอง ทั้งยังเป็นขุนนางระดับสูงที่ดูแลคลังและการเงิน จะไม่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยได้อย่างไรกัน
“พี่ชุย นี่คือเจ้าอาวาสแห่งอารามชิงผิงเมืองหลี ไม่ไขว่คว้าเจินเหริน” จั่วจงจวิ้นแนะนำ “เป็นนักพรตท่านนี้ที่ช่วยข้าไว้”
ชุยซื่อเสวียตกใจเป็นอย่างมาก เขาย่อมรู้เรื่องที่จั่วจงจวิ้นหายตัวไปครึ่งปี จนที่บ้านนึกว่าเขาเสียชีวิตไปแล้ว ถึงขั้นจัดงานศพให้เขาเสียด้วยซ้ำ ทว่าเขาก็กลับมาอย่างปลอดภัย คนผู้นี้เป็นคนช่วยชีวิตเขา?
เป็นสตรี แถมยังอายุน้อยขนาดนี้
ทว่าชุยซื่อเสวียก็นึกถึงเรื่องภัยหนาวขึ้นมา จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ท่านบอกว่าจะมีภัยหนาวหรือ”
“ตอนที่ข้าเข้ามา ข้างนอกเริ่มมีเกล็ดน้ำแข็งตก” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย “โบราณกล่าวไว้ว่าหากมีเกล็ดน้ำแข็งตก ก็จะตกยาวนานถึงครึ่งเดือน แม้ว่าปริมาณจะน้อยก็ตามแต่ หากตกอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะไม่กลายเป็นภัยพิบัติได้อย่างไร”
นางยืนอยู่ข้างนอกเพียงครู่เดียว เกล็ดหิมะที่ปลิวว่อนก็กลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง พอยกมือขึ้นมานับนิ้วทำนาย ถึงค่อยมั่นใจ
ชุยซื่อเสวียเองก็เป็นคนที่มีความรู้ เขารีบเดินออกไปดูข้างนอก จั่วจงจวิ้นเองก็ตามไปด้วย
เมื่อออกไปยืนอยู่นอกประตู พวกเขาก็ก้มมองดูเกล็ดน้ำแข็งบนพื้นที่เป็นเส้นๆ คล้ายกับเข็มสั้นก็ไม่ปาน อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น
“ปริมาณน้ำฝนปีนี้ค่อนข้างมาก” จั่วจงจวิ้นเอ่ยพึมพำขึ้น
หากมีปริมาณน้ำฝนมาก ความเปียกชื้นก็จะสูงขึ้นตาม ย่อมมีเกล็ดหิมะลักษณะเช่นนี้ตกเป็นธรรมดา
สีหน้าของชุยซื่อเสวียเปลี่ยนไปทันที การคิดคำนวณของเขาค่อนข้างดีเยี่ยม เมื่อดูปริมาณหิมะแล้ว เขาก็เริ่มคำนวณคร่าวๆ ในใจ หากหิมะตกอย่างต่อเนื่องยาวนานถึงครึ่งเดือน ก็จะกลายเป็นภัยหนาวขึ้นมาจริงๆ
ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังหมกมุ่นอยู่กับการปรุงยาอายุวัฒนะ แถมยังก่อสร้างวังอมตะอะไรนั่นอีก สิ้นเปลืองแรงงานและภาษีราษฎร ทั้งยังมีการเก็บภาษีเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ก่อนหน้านี้เขาได้ยินมาว่าอาหารและธัญพืชในคลังหลวงเหลือไม่มากแล้ว หากมีภัยหนาวเกิดขึ้นจริงๆ ก็จะต้องมีการบรรเทาภัยพิบัติ เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าใช้จนหมดเกลี้ยงหรืออย่างไรกัน
พอคิดให้ลึกเข้าไปอีกขั้น หากชายแดนต่างๆ เกิดศึกสงครามขึ้นมา จะไม่ยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่หรือ
ชุยซื่อเสวียสีหน้าไม่ดีเป็นอย่างมาก
เขาสังหรณ์ใจว่าปีหน้าจะลำบากและขาดแคลนตลอดทั้งปี เกรงว่าตำแหน่งรองเจ้ากรมครัวเรือนฝ่ายซ้ายขั้นสองของเขาคงจะหัวล้านเป็นแน่แท้ สุดท้ายแล้ว แม้จะเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดก็ไร้ซึ่งข้าวสารต้มหุง คลังหลวงไร้ซึ่งเงินทอง แล้วเขาเล่า จะทำอย่างไรดี
ฉินหลิวซีบอกว่าจะไม่อยู่ค้างแรม จั่วจงจวิ้นมีหน้าที่รับฟังคำสั่งเท่านั้น หลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางต่อทันที
ชุยซื่อเสวียเองก็ออกเดินทางด้วย เขาพาครอบครัวติดตามมาด้วยเพราะต้องการพาครอบครัวไปหาบิดาและคนอื่นๆ เพื่อร่วมฉลองปีใหม่ที่เมืองหลวงด้วยกัน
เขามีบุตรชายและบุตรสาว เป็นบุตรของภรรยาหลวงทั้งสองคน หน้าตาดีทั้งคู่ ฮูหยินชุยเป็นหญิงงามเมืองเจียงหนาน นิสัยใจคออ่อนโยนเป็นอย่างมาก
ชุยซื่อเสวียพาทั้งสองมาทำความเคารพฉินหลิวซี เห็นได้ชัดว่าทั้งสองได้รับการอบรมสั่งสอนเรื่องมารยาทมาเป็นอย่างดี
ฉินหลิวซีพยักหน้าตอบ เมื่อมองไปที่ชุยจิ่งอวี่บุตรชายของเขาที่ถูกห่อด้วยผ้านวมผืนหนาและกอดเตาอุ่นมือไว้ เอ่ยว่า “กระเพาะและลำไส้ของคุณชายน้อยค่อนข้างเย็นพร่อง”
ชุยซื่อเสวียอึ้งไปชั่วขณะ ทว่าก็เห็นจั่วจงจวิ้นส่งสายตาให้กับเขา เขาจึงเอ่ย “ลูกชายของข้าติดตามข้าไปทำงานด้วยทุกที่ ทุกครั้งที่ย้ายถิ่นฐาน ร่างกายของเขาก็มักจะปรับตัวไม่ได้ กินยาค่อนข้างมาก กระเพาะและลำไส้จึงค่อนข้างอ่อนแอ”
ฉินหลิวซีพูดขึ้น “ไม่ได้ใส่ใจเรื่องการจัดสรรสัดส่วนอาหารเท่าที่ควร บำรุงมากเกินไป กระเพาะและลำไส้จึงรับไม่ไหว หรือที่เรียกกันว่าขณะอ่อนแอจะไม่สามารถดูดซึมการบำรุงได้เท่าที่ควร เป็นการบำรุงที่เกินความจำเป็น”
ฮูหยินชุยได้ยินแล้วก็รีบถามขึ้นอย่างรวดเร็ว “แล้วควรจะทำอย่างไรหรือ”
“ไว้ข้าตรวจชีพจรแล้วค่อยหาวิธีรักษาอีกที” ฉินหลิวซียื่นยันต์รูปทรงสามเหลี่ยมสองแผ่นให้กับเด็กน้อยทั้งสอง “เก็บไว้กับตัว จะช่วยคลายหนาว”
ทั้งสองก็พากันหันไปหาพ่อแม่
ชุยซื่อเสวียพยักหน้าเบาๆ พลางเอ่ย “รีบขอบคุณท่านเจ้าอาวาสเร็วเข้า”
เด็กน้อยทั้งสองจึงรีบกล่าวขอบคุณ พลางรับยันต์มาใส่ไว้ในถุงผ้าติดตัวไว้ โดยที่ไม่มีท่าทีรังเกียจแม้แต่นิดเดียว
“ไปกันเถอะ พยายามเร่งเดินทางกันหน่อย” ฉินหลิวซีนำหน้าเถิงเจาและคนอื่นๆ ไปขึ้นรถม้าของตนเอง
จั่วจงจวิ้นก็รีบพาครอบครัวตนเองขึ้นรถม้า จากนั้นก็หันไปกำชับกับเด็กน้อยสกุลชุยทั้งสองว่า “อย่าให้ยันต์โดนน้ำ เก็บไว้ให้ดีอย่าทำหายล่ะ นั่นเป็นของดีที่หาได้ยากยิ่ง”
เมื่อเห็นว่าทุกคนให้ความสำคัญมากขนาดนี้ สองพี่น้องสกุลชุยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ ยันต์แบบนี้ ไม่ใช่ยันต์แคล้วคลาดจำพวกนั้นหรือ
ไม่นาน หลังจากที่ขึ้นไปนั่งบนรถม้าแล้ว เด็กๆ ก็ทิ้งเตาอุ่นมือและคลายผ้านวมออกจนหมด
“ทูนหัวของแม่ แม้ว่าบนรถม้าจะมีเตาไฟ แต่พวกเจ้าจะไม่ห่มผ้านวมได้อย่างไรกัน” ฮูหยินชุยมองดูบุตรชายที่กลัวหนาวมาโดยตลอดกำลังถอดเสื้อนวมออกด้วยความใจร้อน ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น
“ท่านแม่ ข้าร้อน” ชุยจิ่งอวี่ตอบกลับ
ชุยจิ่งหลานพยักหน้าตาม นางเองก็รู้สึกร้อนเช่นกัน
ชุยซื่อเสวียเอื้อมมือไปแตะแผ่นหลังของบุตรชาย ทว่าแผ่นหลังของเขากลับเหนียวเหนอะหนะ นี่คือเหงื่อหรือ?
“เอายันต์แผ่นนั้นมาให้พ่อดูหน่อย”
ชุยจิ่งอวี่เปิดถุงผ้าออก จากนั้นก็หยิบเอายันต์ยื่นให้เขาด้วยสองมือ
ชุยซื่อเสวียรับมาแล้วก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นทันที เขารู้สึกอึ้งเป็นอย่างมาก รีบหันไปพูดกับฮูหยินชุยว่า “มิน่าเล่า พวกจั่วจงจวิ้นถึงได้สวมเสื้อผ้าธรรมดา ราวกับว่าไม่รู้สึกหนาวอย่างไรอย่างนั้น แถมยังกำชับให้ลูกๆ เก็บยันต์ไว้ให้ดีอีกด้วย ที่แท้แล้วก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
เขาวางยันต์ลงบนมือของภรรยา สีหน้าอิจฉาเล็กน้อย
ฮูหยินชุยเองก็รู้สึกอึ้งเป็นอย่างมาก มิน่าเล่าบุตรชายของนางถึงได้บ่นว่าร้อน เก็บยันต์แผ่นนี้ไว้กับตัว เหมือนมีกระแสความร้อนส่งมาอย่างต่อเนื่อง ไม่รู้สึกหนาวแม้แต่นิดเดียว
“ยันต์แคล้วคลาดเห็นมาก็มาก มีแบบนี้ด้วยหรือ ใช้แทนกาน้ำร้อนได้เลย”
ชุยซื่อเสวียส่ายหน้าเบาๆ “เครื่องรางของขลังลัทธิเต๋ามีมากมายนับหมื่นชนิด ยันต์ชนิดนี้คงจะไม่ใช่ยันต์ธรรมดาทั่วไป คงจะเป็นยันต์ที่เกี่ยวกับเพลิงไฟหรือสายฟ้า ยันต์ที่มีประสิทธิผลเช่นนี้ ภายใต้อากาศที่หนาวเย็นถือเป็นของดีที่หาได้ยากยิ่ง”
ฮูหยินชุยเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่เชื่อในลัทธิเต๋าด้วยหรือ ฝ่าบาทมีมหาราชครูอะไรนั่นคอยถวายงาน ข้าคิดว่าท่านพี่จะเกลียดเข้ากระดูกดำเสียอีก”
สามีของนางไม่ใช่คนหัวโบราณ เขาไม่เชื่อเรื่องอำนาจลี้ลับอะไรจำพวกนั้น แต่ฟังจากคำพูดของเขา มหาราชครูที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานและเชื่อใจผู้นั้นไม่มีเรื่องดีให้น่าพูดถึงอยู่แล้ว เขาเองกำลังจะเข้ารับตำแหน่งเจ้ากรมครัวเรือน หากฝ่าบาทและมหาราชครูผู้นั้นเอาแต่ขุดคุ้ยพระคลังหลวงไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ ไม่เท่ากับว่าเป็นการขุดเงินต่อหน้าต่อตาเขาหรือ ถึงเวลานั้นมีแต่คนเข้ามาเอาเงินรอบด้าน แล้วเขาจะทำอย่างไร
แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกชื่นชอบยันต์แผ่นนี้เป็นอย่างมาก
ชุยซื่อเสวียยิ้มบางๆ “เหตุใดจึงไม่เชื่อเล่า หากมีความสมเหตุสมผล นักพรตบางคนก็มีความสามารถจริงๆ และนักพรตเช่นนี้ หากไม่เดินสายกลางก็ทำมาหากินกับสิ่งที่ผิดศีลธรรม และหากว่าเดินสายกลางแล้วยังมีความสามารถเช่นนี้ ย่อมต้องมีตบะที่สูงส่งเป็นอย่างมาก”
ฮูหยินชุยรู้สึกร้อนวูบวาบในใจ นางรู้สึกว่าการแพทย์ของเจ้าอาวาสผู้นั้นเก่งกาจเป็นอย่างมาก มองปราดเดียวก็รู้ถึงปัญหาสุขภาพบุตรของชายนางทันที แต่เพราะต้องรีบเดินทาง มิเช่นนั้นนางคงจะขอให้ช่วยตรวจอาการป่วยของบุตรชายนางอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ชุยจิ่งอวี่จ้องมองยันต์ในมือมารดาตาปริบๆ เอ่ยว่า “ยันต์ของข้า ให้ท่านแม่ก็แล้วกัน”
ฮูหยินชุยชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็ใช้นิ้วมือที่ขาวเนียนจิ้มไปยังกลางหน้าผากของเขา “ฉลาดหัวใสไม่เบา ดูเจ้าตื่นเต้นเสียนี่ แม่ไม่เอาของเจ้าหรอก แม่กับพ่อเจ้าจะไปขอกับเจ้าอาวาสเอง”
ชุยจิ่งหลานพูดขึ้น “แต่ท่านอาจั่วบอกว่าเป็นของหายาก ทองพันชั่งก็มิอาจขอซื้อได้”
ทั้งสองหันมาสบตากัน เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “อะไรคือการขอ แน่นอนว่าย่อมต้องละวางท่าทีลง”
ร้องขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้องมีจิตใจที่ถ่องแท้ ขอเครื่องรางของขลัง ก็ไม่ต่างกัน!
[1] ชุดฉางเผา ชุดคลุมยาวของผู้ชาย