คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 985 ไม่ได้เจอกันหลายปี วิสัยทัศน์ของเจ้าแคบลงนะ!
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 985 ไม่ได้เจอกันหลายปี วิสัยทัศน์ของเจ้าแคบลงนะ!
เป็นอย่างที่ฉินหลิวซีคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด เมื่อใกล้เมืองหลวงมากขึ้น หิมะก็ยังตกอย่างต่อเนื่อง เดี๋ยวเบาเดี๋ยวหนัก ราวกับว่าใต้หล้ากำลังเข้าสู่ความหนาวเย็นสุดขีดก็ไม่ปาน ถนนเข้าสู่เมืองหลวงยิ่งเดินทางลำบากเข้าไปใหญ่
นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ตอนที่พวกเขาเดินทางผ่านหมู่บ้าน ก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่บ้านถูกหิมะทับถมจนถล่ม รวมไปถึงผู้ลี้ภัยที่กำลังเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงและผู้คนที่หนาวตายระหว่างทาง
ภัยหนาวได้เกิดขึ้นแล้ว
ชุยซื่อเสวียและจั่วจงจวิ้นรีบส่งม้าเร็วเข้าไปรายงานเรื่องนี้กับทางเมืองหลวง เมื่อมีภัยหนาว คาดว่าคงจะมีผู้ลี้ภัยเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงมากขึ้นเรื่อยๆ หากเมืองหลวงไม่เตรียมรับมือ ก็จะเกิดความโกลาหลขึ้น
โสมน้อยเปิดม่านขึ้นมาดูข้างนอกที่ขาวโพลนไปหมด ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ในทุกๆ ภัยพิบัติ ราษฎรที่ยากไร้มักจะตายก่อนเสมอ”
ภัยหนาวไม่ได้นำมาซึ่งหิมะเท่านั้น แต่ยังมีอากาศที่หนาวเย็นสุดขั้ว ผู้คนที่ขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้าย่อมไม่สามารถทนต่อความหนาวเหน็บได้อยู่แล้ว แม้แต่ผีเว่ยเสียก็ยุ่งจนไม่เห็นผีเสียด้วยซ้ำ
เมื่อมีคนตายจำนวนมาก เขาที่มีหน้าที่ควบคุมดวงวิญญาณก็ต้องออกมาทำงาน
ฉินหลิวซีนั่งขัดสมาธิ มือทั้งสองทำสัญลักษณ์วางบนหน้าตัก มีพลังจิตไหลเวียนรอบๆ ร่างกายของนาง จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาวาดตวัด แล้วจึงค่อยเก็บพลังลมปราณ เอ่ยว่า “นี่ก็คือโลกมนุษย์”
นางทอดสายตาไปยังหิมะที่ขาวโพลนตรงเบื้องหน้า แววตาเต็มไปด้วยความสับสน
ระยะเดินทางสิบวันถูกร่นเวลาให้เหลือแปดวัน ในที่สุดก็เห็นกำแพงเมืองหลวง ทุกคนต่างก็พากันถอนลมหายใจด้วยความโล่งอก
พ่อบ้านของแต่ละครอบครัวได้ออกมารอรับตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นตราสัญลักษณ์บนรถม้า ก็รีบพากันเข้าไปแสดงความเคารพทันที
เวลานี้เอง ชุยซื่อเสวียและจั่วจงจวิ้นก็ได้ยินข่าวเรื่องหนึ่ง หมู่บ้านขนาดเล็กที่พวกเขาพึ่งเดินทางผ่าน ถูกโจรป่าปล้นสะดมจนหมด มีคนถูกฆ่าตายไม่น้อย และก็มีคนจำนวนหนึ่งหนีตายมาที่เมืองหลวง
หมู่บ้านเล็กแห่งนั้น หากหิมะตกหนักจนไม่สามารถใช้ถนนได้ พวกเขาก็คงจะเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่นแทน และคงจะค้างแรมอยู่ที่นั่นกระมัง
ชุยซื่อเสวียมองไปยังพ่อบ้านที่กำลังโค้งคำนับฉินหลิวซีด้วยความนอบน้อม เสื้อผ้าการแต่งกายเช่นนี้ คงจะเป็นคนของจวนเสนาบดีลิ่น เขาจำได้ว่าพ่อบ้านคนนี้เป็นคนใช้คนสนิทของเสนาบดีลิ่น
ใช่แล้ว ระหว่างทางกลับเมืองหลวง มีการรายงานไม่ขาดสาย แน่นอนว่าเขาเองก็รู้เรื่องที่เสนาบดีลิ่นหวนคืนสู่ตำแหน่งเดิม ทว่าตอนนี้ คนใช้คนสนิทของเสนาบดีลิ่นกลับแสดงความนอบน้อมต่อฉินหลิวซีขนาดนี้ ดูท่าแล้ว เจ้าอาวาสท่านนี้คงจะถูกให้ความสำคัญมากกว่าข้อมูลที่เขาได้รับจากจั่วจงจวิ้นกระมัง
เอ๊ะ นั่นคงจะเป็นพ่อบ้านตระกูลจั่ว ไปเบียดกับเขาด้วย
น่าสนใจไม่น้อย
ชุยซื่อเสวียสัมผัสถุงผ้าที่ข้างเอว ข้างในมียันต์เพลิงไฟที่แลกมาด้วยทองจำนวนมาก จากนั้นก็สัมผัสอุ้งมือที่มีเหงื่อชุ่มเล็กน้อย เขาครุ่นคิดในใจ นักพรตเต๋าที่มีความสามารถสูงส่ง ย่อมควรค่าแก่การเคารพยกย่อง
ไม่รู้ว่ายังมีท่าคุกเข่าแบบไหนอีกที่พอจะสามารถร้องขอได้บ้าง จุนเจือเงินทองให้กับทางกรมครัวเรือนบ้างได้หรือไม่ เพราะเขาเองก็เป็นรองเจ้ากรมครัวเรือนฝ่ายซ้าย ตำแหน่งนี้ไม่ควรเป็นตำแหน่งสุดท้ายของเขา หากเป็นเช่นนี้ เขาก็จะต้องสร้างผลงานราชการบ้างแล้ว
รถม้าของฉินหลิวซีมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงอย่างรวดเร็ว นางปฏิเสธการต้อนรับของจวนตระกูลลิ่นและตระกูลจั่ว ไม่ได้กลับไปที่จวนตระกูลฉินด้วย ทว่ากลับมุ่งตรงไปที่โรงประมูลจิ่วเสียนแทน
เฟิงซิวเห็นนางมาถึง ก็จุ๊ปากพลางพูดจาประชดนาง “เดิมทีควรจะใช้เวลาเดินทางแค่คืนเดียว ท่านกลับใช้เส้นทางอ้อมตั้งไกล ไม่เป็นการทรมานตนเองเสียเปล่าหรือ ข้าคิดว่าท่านจะกลับมาฉลองปีใหม่ที่เมืองหลวงไม่ทันเสียอีก”
“อย่าพูดมาก ภัยหนาวมาถึงแล้ว ภายใต้อากาศที่หนาวเย็นเช่นนี้ จะมีคนตายอีกไม่น้อย ได้เตรียมยาสมุนไพรและข้าวสารอาหารแห้งกระจายไปยังเมืองอื่นๆ หรือไม่” ฉินหลิวซีถามขึ้น
เฟิงซิว “หากยังต้องให้ท่านมาย้ำเตือน ข้าก็ไม่สมควรคบค้ากับท่านแล้ว ข้าสั่งการไปเรียบร้อย แต่ฟังจากคำพูดท่าน ท่านไม่วางแผนจะแจกจ่ายเงินที่เมืองเซิ่งจิงหรือ”
ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม “ใต้ฝ่าพระบาทโอรสแห่งสวรรค์ จะมีโครงกระดูกสักกี่โครงที่หนาวตาย มีตระกูลสูงศักดิ์มากมายที่อยากจะมีชื่อเสียงด้วยการไปทำบุญช่วยเหลือผู้คน พวกเราไม่ไปแย่งกับพวกเขาดีกว่า ปล่อยให้พวกเขาได้ทำความดีมากๆ”
นางไม่เพียงแต่จะไม่แย่งเท่านั้น แต่ยังจะเอาออกมาจากมือพวกเขา หยิบยื่นให้กับผู้ที่ต้องการจริงๆ
“หากพูดถึงเรื่องโหด ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมท่าน!” เฟิงซิวยกนิ้วโป้งให้นาง ก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า “ก็ถูกของท่าน อากาศหนาวแล้ว หากปล่อยให้ขนแกะหนาจนเกินไป ฤดูร้อนจะโกนลำบากเอา”
เหล่าบรรดาแกะผู้สูงศักดิ์ นี่เป็นคำพูดของคนหรือ พูดกลับกันหรือเปล่า!
ฉินหลิวซีจิบชาไปหนึ่งคำ แล้วจึงถามขึ้นว่า “ช่วงนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง หว่างคิ้วเจ้าดูมีความกังวล”
“เช่นนั้นหรือ” เฟิงซิวเสกกระจกขึ้นมาหนึ่งบาน ส่องหน้าตาของตนเอง พลางเอ่ย “ไม่มีนี่นา ยังคงหล่อเหลาเฉกเช่นเดิม”
เขาเก็บกระจกเวทมนตร์ จากนั้นก็เหลือบไปมองโสมน้อยที่กำลังนั่งกินขนมราวกับหนูก็ไม่ปาน จึงเอ่ยแซะไปว่า “ถูกใครบางคนทำให้ขยะแขยงจริงๆ อย่างที่ว่า”
โสมน้อยได้ยินแล้วก็สำลักขึ้นมาทันควัน เขารับน้ำชาจากเถิงเจามาดื่ม จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ข้าไม่ใช่คนเสียหน่อย!” พอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพูดเช่นนี้ จึงพูดขึ้นว่า “ไม่สิ ข้าไม่ได้ไปทำอะไรเจ้านี่นา เหตุใดถึงต้องหาเรื่องโจมตีโสมด้วย”
เฟิงซิวสบถเสียงในลำคอ “ข้าก็แค่เตือนสติเจ้า อยู่ในเมืองหลวง ต้องซ่อนกลิ่นอายโสมของเจ้าให้ดี อย่าให้มหาราชครูสุนัขนั่นจับได้ มิเช่นนั้นหากถูกจับไปปรุงยาอายุวัฒนะขึ้นมา จบเห่สถานเดียว”
โสมน้อยกอดอกด้วยความหวาดกลัว ถึงแม้ว่าจะถูกทำให้ตกใจกลัว แต่เขาก็ไม่หนีไปไหน
ฉินหลิวซีขมวดคิ้วแน่น “ทำไมกัน เขาลงมือสู่ความเป็นอมตะแล้วหรือ”
“กรมราชกิจภายในได้รับคำสั่งให้ออกมาซื้อยาสมุนไพร วิ่งเข้าออกวังหลวงเป็นพัลวัน เอายาดีๆ ทั้งนั้น พอถึงเวลาจ่ายเงิน กลับบอกว่าขอติดบัญชีไว้ก่อน!” เฟิงซิวพ่นคำด่าด้วยความฉุนเฉียว “ข้าทำงานมานับพันปี ยังไม่เคยเจอใครหน้าด้านเช่นนี้มาก่อน เจ้าของเป็นแบบไหน สุนัขก็เป็นเช่นนั้น!”
ฉินหลิวซีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันควัน
เฟิงซิวเอ่ยขึ้น “ดังนั้น ตอนนี้เราไม่ได้เป็นฝ่ายถอนขนผู้อื่น แต่ผู้รากมากดีคนอื่นๆ ต่างหากที่มาถอนขนเรา อากาศหนาวสมบัติสูญหาย ข้ากลุ้มจนแทบอยากจะปิดกิจการอยู่แล้ว”
“ติดบัญชีไปเท่าไหร่”
เฟิงซิวยกนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว
“สองหมื่นตำลึง?”
เฟิงซิวหัวเราะในลำคอ “ไม่เจอกันหลายปี วิสัยทัศน์ของท่านแคบลงนะ!”
ฉินหลิวซีถามขึ้นเสียงสูง “สองแสนตำลึง?”
“ล้วนเป็นของหายากทั้งนั้น ไหนจะโสมอายุเท่าเขาอีก” เฟิงซิวชี้ไปที่โสมน้อย
ฉินหลิวซีหน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมาทันที “เจ้าเปิดโรงทานการกุศลหรืออย่างไรกัน ปล่อยให้ติดหนี้สองแสนตำลึงไม่รู้จักไปเก็บคืน แถมยังเอาไปให้เจ้าพวกสุนัขนั่นอีก”
“นี่ข้าก็คิดอยู่ว่ายังเปิดร้านยาตำหนักอายุวัฒนะต่อไปดีหรือไม่ เกรงว่าพวกเขาจะยึดครอง ขึ้นมาจริงๆ!” เฟิงซิวพูดขึ้น
ฉินหลิวซีสบถเสียงหัวเราะในลำคอ “หากเขาจะยึดครองจริงๆ ก็ให้ไปสิ แค่เปลือกเปล่าที่กลวงโบ๋ อยากได้ก็ให้ไป”
เฟิงซิวเลิกคิ้วขึ้นสูง “จะให้ทิ้งยาสมุนไพรที่เราอุตส่าห์รับซื้อมาอย่างนั้นหรือ”
แม้ว่าร้านยาตำหนักอายุวัฒนะจะทำมาค้าขายกับเหล่าผู้ดีตระกูลสูงศักดิ์ แต่จุดประสงค์การเก็บสมุนไพรเหล่านี้เพราะต้องการจะช่วยเหลือผู้คนมากกว่า และไม่เคยหยุดเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“ไม่มีร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ แล้วจะรับซื้อสมุนไพรไม่ได้หรือ” ฉินหลิวซีสบถเสียงดัง พลางพูดขึ้น “ทางฝั่งกงปั๋วเฉิงยังมีร้านค้าสมุนไพรอีกจำนวนมากที่พร้อมจะขายให้เรา”
“หากไปซื้อกับคนเหล่านั้น เราต้องใช้เงินในจำนวนที่มาก”
ฉินหลิวซีได้ยินแล้วก็รู้สึกจุกเหมือนโดนมีดแทงกลางอก เช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด
“ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะทำการกุศล แต่ไม่ใช่ทำการกุศลเพื่อเขา ไม่ว่าอย่างไรเงินจำนวนนี้ก็ต้องเอาออกมาอยู่ดี อีกอย่างให้ทางตระกูลหวงเซียนอย่าพึ่งส่งสมุนไพรราคาแพงมา จะได้ไม่โดนคนอื่นเขาถอนขน หากจำเป็นต้องใช้จริงๆ เราค่อยติดต่อทางนั้นเอง”
เฟิงซิวอิงศีรษะลงบนไหล่ของนาง เอ่ย “ท่านกลับมาแล้วช่างดีจริงๆ จะได้มีที่พึ่งพิงเสียที”
ฉินหลิวซียังคงโมโหกับเงินสองแสนตำลึงไม่หาย นางผลักเขาออกด้วยสีหน้าที่รังเกียจ “ไสหัวไปเสีย มีเจ้าแล้วไม่ได้ช่วยอะไรเลย”
ณ วังหลวง มีตำหนักแห่งหนึ่งที่เปลี่ยนชื่อเรียกใหม่ว่าตำหนักอมตะ นักพรตคิ้วขาวที่ดูไม่ธรรมดาคนหนึ่งเดินเข้าไปในตำหนัก มุ่งหน้าไปหาฮ่องเต้ที่สวมชุดคลุมลายมังกรซ้อนทับด้วยผ้าโปร่งบางอีกที เอ่ยว่า “ฝ่าบาท มีข่าวดีพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่นี้กระหม่อมพึ่งสำรวจท้องฟ้า เมืองหลวงได้มีอัจฉริยะที่แท้จริงถือปรากฏขึ้น หากฝ่าบาทได้คนผู้นั้นมา ก็จะสามารถปรุงยาอายุวัฒนะได้”