คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 986 เรี่ยวแรงยังไม่หมด สหายเก่าหวนมาพบพาน
ตอนที่ 986 เรี่ยวแรงยังไม่หมด สหายเก่าหวนมาพบพาน
มหาราชครูออกมาจากตำหนักอมตะ เดินไปจนถึงตำหนักทิศตะวันตกของวังหลวง เหนือประตูตำหนักมีป้ายเกียรติยศแขวนอยู่ นี่คือตำหนักสำหรับเขาโดยเฉพาะ
ภายในตำหนัก มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมา เมื่อเห็นเขากลับมาแล้ว ก็มีเด็กน้อยหน้าตาน่ารักน่าชังสวมชุดลัทธิเต๋าวิ่งเข้าไปต้อนรับเขาทันที “ท่านมหาราชครูกลับมาแล้วหรือ”
“อืม” มหาราชครูเดินไปหยุดอยู่หน้าเตาปรุงยา พลางสลัดหิมะที่แขนเสื้อปลิวว่อนจนกลายเป็นผงละเอียด เอ่ย “ดูไฟให้ดี อย่าให้ยาเสีย”
“ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ”
มหาราชครูจึงค่อยกลับไปยังห้องบำเพ็ญตบะ จากนั้นก็หยิบขวดหยกลงมาจากชั้นวางของ เทยาลูกกลอนที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นฉุนของโสมออกมา เขาใส่ยาลูกกลอนเข้าไปในปากแล้วกลืนลงคอไป
ถึงแม้ว่ายาลูกกลอนจะใช้โสมพันปีในการกลั่น แต่ก็ไม่ได้ผลดีเท่าโสมพันปีที่ดูดซับพลังอาทิตย์และจันทราอย่างแท้จริงจนมีจิตวิญญาณขึ้นมา นั่นจึงจะเป็นยาชูกำลังที่สามารถชุบชีวิตหลังความตายได้
จู่ๆ ก็มีลมพัดผ่าน มหาราชครูสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบหยิบธูปขึ้นมาจุด เดินไปที่พระพุทธรูป โค้งคำนับสามคำนับด้วยความนอบน้อม พลางท่องพึมพำ “เทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ โปรดรับการกราบไหว้ของศิษย์ด้วย…”
จากนั้นก็ปักธูปลงบนกระถาง แล้วจึงค่อยนั่งขัดสมาธิลงบนเบาะนั่ง วางมือลงบนหน้าขาทั้งสองพลางทำสัญลักษณ์มือ แซ่หางม้าถูกวางพาดบนข้อพับแขน มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย
ของเพียงเทพเจ้าประทานพร ช่วยให้เขาได้อัจฉริยะที่แท้จริงมาไว้ในมือ เรื่องยาอมตะ คงไม่นานเกินรอ
เมื่อเขากลายเป็นเทพเซียนแล้ว ก็จะกลายเป็นผู้สืบทอดของจางเทียนซือแห่งเต๋า ไม่ใช่สุนัขเฒ่าของอารามชิงหลานอีกต่อไป อารามชิงอวิ๋นต่างหากที่เป็นสาวกแท้จริงของปรมาจารย์จาง!
ฉินหลิวซียืนอยู่บนชั้นบนสุดของโรงประมูลจิ่วเสียน พลางทอดสายตามองไปยังทิศทางวังหลวง แสงสีม่วงแผ่ปกคลุมทั่วทั้งวังอย่างแน่นหนา แต่น่าเสียดายดันมีรูรั่ว
“มองอะไรออกหรือ”
หัวจิ้งจอกโผล่ขึ้นที่ไหล่ของนาง
เพียะ
ฉินหลิวซีสะบัดมือ ปัดจิ้งจอกกลิ้งตกลงไป ตอนที่ตกสู่พื้น เขารีบหมุนตัวนอนตะแคงข้างลงบนหลังคา มือท้าวศีรษะ ตาจิ้งจอกเรียวยาวเหลือบมองนาง “คนใจจืดใจดำ ทำเช่นนี้กับคนอื่นได้อย่างไรกัน”
“หลายปีมานี้เที่ยวเตร็ดเตร่ไปทั่วเลยสิท่า ดูเจ้าหลงระเริงเข้าสิ” ฉินหลิวซีสบถเสียงหัวเราะในลำคอ เอ่ย “ตอนนี้ไม่สงบแล้ว ที่นี่มีมหาราชครูคนใหม่มา อย่าใช้อาคมสุ่มสี่สุ่มห้า โดยเฉพาะช่วงนี้ที่กำลังมีภัยหนาวอาละวาดอยู่ หากมีคนได้กลิ่นอายของเจ้าขึ้นมา อาจจะกลายเป็นแพะรับบาปโดยไม่รู้ตัว”
เฟิงซิวดีดตัวลุกขึ้น “เขายังจะหน้าด้านไร้ยางอายกว่านี้อีกหรือ เห็นได้ชัดว่าเขาก่อให้เกิดความคับแค้นใจไปทั่ว ฟ้าสวรรค์จึงเกิดความพิโรธ ทำให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติขึ้น และก็แสดงว่ายังไม่เกิดปัญหาขึ้นมากมาย มิเช่นนั้น เขาคงจะต้องเขียนหนังสือบาปของตนเองแล้ว”
ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่มีโอรสแห่งสวรรค์องค์ไหนยอมรับความผิดของตนเอง หากจะผิด ก็ผิดที่ผู้อื่น โดยเฉพาะกษัตริย์ที่งมงายและแยกแยะไม่เป็น”
ใช่ว่าฮ่องเต้คังอู่จะไม่ประสบผลสำเร็จใดๆ เลย อย่างน้อยระหว่างสามสิบปีที่เขาครองราชย์ ราษฎรก็ได้อยู่อย่างสงบสุขมาโดยตลอด แต่ด้วยอายุที่มากขึ้นจึงเกิดกลัวความตายขึ้นมา เลยบกพร่องในหน้าที่ไปบ้าง
ไม่มีฮ่องเต้องค์ไหนอยากตาย
ฉินหลิวซีหรี่ตา เอ่ยขึ้นว่า “สำหรับฮ่องเต้ที่พยายามขวนขวายหาความเป็นอมตะ หากได้ยาปีศาจพันปีสักเม็ด…”
เฟิงซิวรีบปรี่เข้าไปหานาง พลางแสร้งเอ่ยเสียงดัง “ช่างน่ากลัวจริง ปกป้องข้าด้วย!”
ฉินหลิวซีถอยหลบไปหลายก้าว พลางถลึงตาใส่เขา “ไม่พูดมากจะตายหรือ”
เฟิงซิวลูบจมูกเบาๆไม่สนุกเลย จากนั้นก็หันไปมองวังหลวง พลางถามขึ้น “ท่านจะหาข่าวของมหาราชครูผู้นั้นหรือ”
“เจ้าเคยเจอหรือไม่”
เฟิงซิวพยักหน้าเบาๆ “ไม่เคยพูดคุยกันซึ่งๆ หน้า แต่คนผู้นั้นเป็นหมอดูต้มตุ๋นที่ชอบกุเรื่องหลอกเด็ก แถมยังเป็นนักพรตที่มาจากลัทธิเต๋าขนานแท้อีกด้วย ถือว่ามีความสามารถพอควร แม้ว่าความสามารถในการปรุงยาของเขาจะไม่ได้เก่งกาจมากมาย แต่ก็ไม่ใช่ของปลอม แน่นอน เป็นยาธรรมดาที่ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะของเราก็สามารถปรุงได้ เพียงแต่ว่ายาถูกปรุงในนามของมหาราชครู จึงค่อนข้างได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ฝ่าบาทประทานให้เหล่าขุนนางไปหลายเม็ด ข้าเคยเอามาตรวจสอบดูแล้ว เป็นยาผ่อนคลายทั่วไปเท่านั้น”
ฉินหลิวซีไม่ได้ปฏิเสธหรือเห็นด้วยแต่อย่างใด นางแสยะยิ้ม “นักพรตที่มาจากลัทธิเต๋าจริงๆ มีสักกี่คนที่ไม่รู้ว่าความหลงใหลงมงายในการเล่นแร่แปรธาตุของฮ่องเต้เป็นเหตุทำให้ชาวบ้านต้องลำบาก ยังไม่พูดถึงเรื่องสร้างวังเซียนอะไรนั่น ตอนนี้ราษฎรทุกข์ยากลำบาก เขาไม่กลัวว่าจะถูกฟ้าผ่าบ้างหรือ”
“ลองกินยาลูกกลอนที่กลั่นจากชาดทุกวันดูสิ พิษแรงปานนั้นจะไม่ตายได้อย่างไร” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เป็นยาลูกกลอนที่มีพิษสามส่วน หากกินเกินปริมาณ ร่างกายก็จะรับไม่ไหว”
แม้จะอยู่ในยุคที่ฝึกฝนบำเพ็ญตบะ นักพรตที่ใช้ยาในการช่วยพัฒนาความสามารถ จะสามารถเลื่อนขั้นได้อย่างรวดเร็ว แต่รากฐานก็พังทลายได้ง่ายเช่นกัน ความแข็งแรงแตกต่างจากนักบวชที่ใช้เวลาในการบำเพ็ญตบะอย่างสิ้นเชิง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการขาดพลังจิตวิญญาณ คนธรรมดาทั่วไปต้านทานพิษของยาได้เสียที่ไหน ตอนที่บรรพกษัตริย์เสวยยาแล้วเกิดปัญหาขึ้น เก้าในสิบก็เกิดจากยาเป็นพิษ
ฉินหลิวซีถามต่อ “เจ้าบอกว่าเขาเป็นนักพรตที่มาจากลัทธิเต๋าจริงๆ เป็นสำนักไหนหรือ”
“เล่ากันว่าได้รับการถ่ายทอดวิชาจากจางเทียนซือ เดิมทีเป็นเจ้าอาวาสรูปหนึ่งของอารามชิงอวิ๋นทางตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งถูกพากลับมาโดยองค์รัชทายาทที่สายตาเฉียบแหลม ข้าไปสืบถามตระกูลหวงเซียนมาแล้ว มีอารามนี้จริง เพราะคนที่เขากราบไหว้นั้นคือปรมาจารย์จาง ความสามารถในด้านการเล่นแร่แปรธาตุนั้นถือว่าไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงค่อนข้างมีชื่อเสียงในท้องถิ่น ได้รับการเคารพบูชาค่อนข้างดี”
เฟิงซิวนึกคำพูดของเหล่าปีศาจขึ้นมาได้ จึงเอ่ยต่อไปว่า “ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าเดิมทีอารามชิงอวิ๋นและอารามชิงหลานนั้นเป็นสาวกนิกายเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่าตอนยังหนุ่มเกิดความขัดแย้งกัน เจินเหรินไร้เทียมทานผู้นี้จึงริเริ่มก่อตั้งนิกายของตัวเองขึ้นมา”
ฉินหลิวซีค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ นางตวัดลิ้นแตะไปที่กระพุ้งแก้ม เอ่ย “เช่นนี้ก็แสดงว่า…เขาและเจ้าอาวาสอารามชิงหลาน เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องเดียวกัน? ไม่รู้ว่าเจ้าอาวาสอารามชิงหลานจะรู้หรือเปล่าว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องของเขาเป็นมหาราชครูไปแล้ว!”
เฟิงซิวกางแขนออก หลายปีมานี้เขาเองก็ไม่ได้เจอเจ้าอาวาสของอารามชิงหลาน จึงไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้
สายตาของฉินหลิวซีจับจ้องไปยังมุมหนึ่งของถนน มีคนคนหนึ่งเดินออกมาจากร้านน้ำชา หยิบเอาหมวกคลุมมาสวม แล้วจึงปีนขึ้นไปบนหลังม้า ใบหน้านั้นเย็นชาอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน เยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง
ฉีเชียน ไม่ได้เจอกันนาน
อีกฝ่ายขึ้นบนหลังม้า ขาทั้งสองหนีบท้องม้าเตรียมจะวิ่ง ทว่าจู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ พลันเงยหน้าขึ้นมอง แววตาที่เย็นชาเปลี่ยนเป็นงุนงงทันควัน
ทั้งสองสบสายตากัน
เฟิงซิวเลิกคิ้วพลางเอ่ย “คนอื่นเป็นองค์ชาย เขาเองก็เป็นองค์ชาย แต่กลับเป็นองค์ชายที่ชื่อเสียงย่ำแย่และไม่เป็นที่โปรดปราน องค์ชายคนอื่นได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋อง แต่เขากลับเป็นแค่รุ่ยจวิ้นอ๋องเท่านั้น” เฟิงซิวจุปาก
ฉินหลิวซีเหลือบมองเขาด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตร จากนั้นก็โบกมือให้กับฉีเชียน หมุนตัวดิ่งลงบนหลังคาของโรงประมูลจิ่วเสียน
ฉีเชียนกำเชือกบังเหียนแน่น เม้นปากเป็นเส้นตรง เกล็ดน้ำแข็งที่เรียวแหลมราวกับเข็มค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า ตกลงบนหมวกคลุม ทว่าเขากลับไม่รู้สึกถึงความหนาวแต่อย่างใด
นางกลับมาแล้ว ได้ยินมาว่าหลังจากที่ท่านอาจารย์ของนางจากไป นางก็หายสาบสูญไปราวสามปี ผู้คนมากมายพยายามตามหานางเพราะต้องการให้นางช่วยรักษาและไถ่ถามเรื่องเต๋า แต่ก็ไม่มีใครหาเจอ รวมถึงเขาด้วย
ตอนนี้นางกลับมาแล้ว แต่เขากลับไม่กล้าพบหน้านาง
เพราะสถานะนี้ไม่เหมาะสม
ฉีเชียนขี่ม้ามาหยุดอยู่หน้าโรงประมูลจิ่วเสียน เขาลังเลอยู่หน้าประตูเนิ่นนาน จวบจนประตูสีแดงของโรงประมูลที่ปกติจะเปิดก็ต่อเมื่อมีการประมูลค่อยๆ เปิดออก เจ้าหน้าที่คนหนึ่งออกมาเรียกเขาเข้าไป เขาจึงค่อยลงจากหลังม้า
เขาอยากจะถามในสิ่งที่นางเคยเอ่ยไว้เมื่อหลายปีก่อน ‘พ่อของท่านฆ่าพ่อของท่าน’ หมายความว่าคนผู้นั้นฆ่าพ่อของเขาใช่หรือไม่