คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 987 คิดจะโต้กลับ แล้วผลัดเปลี่ยนรัชสมัย?
ตอนที่ 987 คิดจะโต้กลับ แล้วผลัดเปลี่ยนรัชสมัย?
ฉีเชียนจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า ในใจสับสนวุ่นวายยากที่จะสงบ นางเปลี่ยนไปมาก
ฉินหลิวซีเลื่อนถ้วยน้ำชาไปตรงหน้าเขา พลางยิ้มบางๆ “เป็นพ่อคนแล้ว ยินดีกับท่านด้วย”
“ขอบคุณ” ฉีเชียนน้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย พลางเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่านักพรตเฒ่าชื่อหยวนจากไปแล้ว ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“ข้ารับตำแหน่งต่อแล้ว ท่านว่าเป็นไรหรือไม่”
ฉีเชียนขยับปากเล็กน้อย ก้มหน้าจิบน้ำชาไปหนึ่งคำ แล้วจึงพูดขึ้นว่า “จำได้หรือไม่ ท่านเคยถามข้าเรื่องหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว”
“เรื่องโศกนาฏกรรมที่พ่อท่านฆ่าพ่อท่านน่ะหรือ”
ฉีเชียนชะงักไปเล็กน้อย พลันเงยหน้าขึ้น แววตาคมกริบ “ท่านรู้ตั้งแต่แรกแล้ว เหตุใดตอนนั้นถึงไม่บอกข้า”
“ให้ข้าบอกอะไรหรือ บอกว่าท่านไม่ใช่บุตรชายแท้ๆ ของหนิงอ๋อง ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับพระชายาผู้เฒ่างั้นหรือ”
ฉีเชียนกำหมัดแน่น ทั้งๆ ที่ไฟความเดือดดาลกำลังปะทุขึ้นมา แต่เขากลับรู้สึกถึงความหนาวเหน็บที่เย็นเยียบเข้าไปในกระดูก
“บอกท่าน แล้วท่านจะทำอะไรได้”
ไฟที่ลุกโชนในใจฉีเชียนถูกดับมอดจนหมด
ใช่แล้ว เขารู้แล้วจะทำอะไรได้ ตอนนี้เขารู้ความจริงแล้ว ก็ยังทำอะไรไม่ได้อยู่ดีมิใช่หรือ
แววตาของเขาว่างเปล่า นั่งอยู่ตรงนั้น โดดเดี่ยว ประหวั่นพรั่นพรึง ราวกับลูกหมาป่าที่ถูกทอดทิ้งก็ไม่ปาน
“ดังนั้น ท่านก็รู้เรื่องไม่ดีของข้าแล้ว” เขาพูดขึ้นพึมพำ
ฉินหลิวซีหันไปมองนอกหน้าต่าง เกล็ดน้ำแข็งยังคงตกอย่างต่อเนื่อง เอ่ย “รู้หรือไม่รู้แตกต่างกันหรือ”
ฉีเชียนเงยหน้ามองนาง “ท่านไม่รู้สึกว่าข้าสกปรกหรือ ข้าเป็นมารหัวขนที่เทียบกับลูกอนุไม่ได้เสียด้วยซ้ำ”
“ฉีเชียน ปีนี้ท่านอายุยี่สิบกว่าแล้ว ไม่ใช่วัยที่ยังต้องการความเห็นอกเห็นใจจากผู้อื่น ท่านเป็นพ่อคนแล้ว มัวแต่คร่ำครวญถึงอดีตและชะตากรรมที่น่าขันเช่นนี้ สู้ไปวางแผนอนาคตว่าจะทำอย่างไรต่อไม่ดีกว่าหรือ”
“อีกเรื่อง หากท่านอยากจะระบายความในใจ ควรไปหาคนในครอบครัวท่าน” อย่ามาหานาง ฟังเรื่องเหล่านี้แล้วนางรำคาญใจ!
“ข้ายังมีครอบครัวหรือ” ฉีเชียนยิ้มเจื่อน “จวนหนิงอ๋องไม่ใช่บ้านของข้า วังหลวงยิ่งไม่ใช่แล้วใหญ่ เสด็จย่าก็ไม่ยอมเจอหน้าข้า ข้า…”
ฉินหลิวซีหันไปมองเขาด้วยแววตาที่คมกริบ “แล้วพระชายาจวิ้นอ๋องกับบุตรชายเป็นใครกัน ไหนจะจวนรุ่ยจวิ้นอ๋องด้วย ไม่ใช่บ้านของท่านหรอกหรือ”
ฉีเชียนกลืนน้ำลายลงคอ
ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “หากท่านจะเอาแต่เศร้าโศกเสียใจ เช่นนั้นก็เชิญกลับไปเถิด”
ฉีเชียนสูดลมหายใจเข้าลึก มองดูเกล็ดหิมะที่ค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า น้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย “ท่านดูเย็นชากว่าเมื่อก่อนมาก”
“คนเราต้องเติบโตและเปลี่ยนไป โดยเฉพาะหลังการเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง ท่านไม่เป็นหรืออย่างไรกัน”
ฉินหลิวซีถือถ้วยน้ำชาไว้ในมือ แน่นอนว่านางย่อมอยากเป็นเหมือนเช่นเมื่อก่อน มีความสุขและสบายใจ ค่อยๆ เดินทีละก้าว เพราะนางรู้ดีว่าข้างหลังมีคนคอยมองนางและเคียงข้างนางอยู่
แต่หลังจากที่ตาเฒ่าเสียชีวิต นางก็ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป แม้ว่าเขาจะกลายเป็นเทพเจ้าประจำเมืองแล้วก็ตาม แต่นางยังคงจำเหตุการณ์วันที่หิมะตกหนักตอนเดือนหกที่ ‘เส้นเลือดมังกร’ ได้เสมอ ร่างที่นางกอดอยู่นั้นเยียบเย็นเพียงใด
“ข้าขอโทษ” ฉีเชียนขอโทษนาง
ฉินหลิวซีเอ่ย “ตอนนี้สิ่งที่ท่านประสบพบเจอก็ชัดเจนแล้ว ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ชีวิตเช่นนี้ ท่านยังต้องการมันอยู่หรือ”
ความเย็นชาปรากฏขึ้นบนแววตาของฉีเชียน
เขาจะต้องการได้อย่างไรกัน
เมื่อก่อนเขาคิดว่าตนเองเป็นบุตรชายคนโตของจวนอ๋อง ใช่ว่าเขาจะไม่เคยรู้สึกโกรธหรืออิจฉามารดาที่ลำเอียงใส่ใจน้องชาย แต่เพราะมีเสด็จย่าอยู่จึงรู้สึกว่าไม่เป็นไร แต่เขานึกไม่ถึงเลยว่าการที่เขาไม่ถูกรักและเอ็นดูนั้น เป็นเพราะเขาไม่ใช่บุตรชายแท้ๆ ของมารดา
ความอิจฉาริษยาและความหวาดระแวงทำให้คนผู้นั้นเป็นบ้า บีบบังคับนาง จนทำให้มีเขาขึ้นมาได้
มิน่าเล่า หลายปีมานี้ เขาถึงปฏิบัติต่อจวนอ๋องอย่างดีมาโดยตลอด ตกรางวัลแก่พระชายาอ๋องมากกว่าผู้อื่นเสมอ ทุกคนต่างก็คิดว่าเขาเป็นเช่นนี้เพราะสนิทสนมกับหนิงอ๋องเสมือนพี่น้องที่มาจากมารดาเดียวกัน ทว่ากลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ที่เขาทำดีต่อจวนอ๋อง เป็นเพราะมีหญิงคนนั้นอยู่ด้วย
เมื่อปีที่แล้ว เรื่องอื้อฉาวของพวกเขาก็ถูกเปิดเผย แม้ว่าข่าวจะถูกปิดแล้วก็ตาม ทว่าคนใหญ่คนโตในเมืองหลวงจะมีสักกี่คนที่ไม่หัวเราะเยาะเขาลับหลัง
แม้ว่าเขาจะพาชายาและลูกออกไปอยู่ข้างนอกแล้วก็ตาม แต่เขาก็รู้สึกทนสายตาแปลกๆ เหล่านั้นไม่ไหว
ชีวิตของเขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ หญิงที่คอยพูดอยู่เสมอว่ารักหนิงอ๋องแต่เพียงคนเดียวก็แปรเปลี่ยนไปเป็นอื่น เข้าวังไปเป็นพระชายาหรูอะไรนั่น ทะนงตนเป็นอย่างมาก สามารถปฏิบัติต่อชายผู้นั้นโดยไม่ต้องเสแสร้งแม้แต่นิดเดียว
คนที่ได้รับความโปรดปรานมักไม่เกรงกลัวสิ่งใดจริงๆ!
ฉีเชียนหลุบตาลงต่ำ พลางยกน้ำชาขึ้นมาดื่ม อาศัยโอกาสนี้เก็บซ่อนความเกลียดชังและความรังเกียจภายในดวงตาของเขา
“เช่นนั้นก็กบฏเสียให้รู้แล้วรู้รอด”
พรวด!
ฉีเชียนพ่นน้ำชาออกมาด้วยความตกใจ เขารีบหันไปมองนางด้วยความอึ้ง ใบหน้าซีดเผือด “ท่านพูดอะไรออกมา”
“ในเมื่อไม่อยากใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไป ก็ลุกขึ้นมาเป็นผู้นำเอง พลิกกระดานโต้ตอบ ผลัดเปลี่ยนรัชสมัย?”
เจ้าอย่ายิ้มสิ รอยยิ้มของเจ้าออกจะน่ากลัว!
ฉีเชียนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ “ท่านบ้าไปแล้วหรือ”
ฉินหลิวซีโบกมือเบาๆ พลางเอ่ย “อยู่ที่นี่ ท่านสามารถพูดได้เต็มที่ ข้าไม่ได้บ้า พ่อของท่าน พ่อแท้ๆ ในสายเลือดของท่าน หมกมุ่นกับการเล่นแร่แปรธาตุ สักวันเขาจะจบลงไม่ช้าก็เร็ว”
ฉีเชียนสีหน้าเปลี่ยนไปทันควัน
“ท่านก็เห็นว่าตอนนี้เขาคลั่งไคล้งมงายกับยาอายุวัฒนะแค่ไหน หากยังปล่อยให้เขาสิ้นเปลืองกำลังคนและเงินทองเช่นนี้ต่อไป จนราษฎรไม่สามารถดำรงชีวิตอย่างสงบสุขได้ เขาจะต้องสูญเสียความสำเร็จที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายปีอย่างแน่นอน ในความเป็นจริง รังสีสีม่วงเริ่มรั่วไหลออกมาแล้ว เมื่อใดที่มันสลายจนหมด ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว!” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อไป “ในเมื่อบัลลังก์จะต้องมีการเปลี่ยนผู้ครองราชย์ ท่านเองก็เป็นองค์ชาย เหตุใดถึงรับตำแหน่งไม่ได้”
ฉีเชียนหัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ
เขาดื่มชาไปหนึ่งคำ พยายามสงบอารมณ์จิตใจ
“องค์รัชทายาทได้รับการสถาปนาแล้ว”
“เพราะเหตุใดถึงได้สถาปนา ข้าเชื่อว่าไม่มีใครรู้ดีกว่าท่าน” ฉินหลิวซีพูดขึ้น “องค์รัชทายาทได้รับการสถาปนาแล้ว แต่ท่านดูอ๋องเหล่านั้นสิ ยอมวางมือเสียที่ไหน”
พอฉีเชียนสงบสติอารมณ์ได้ ก็ฝืนยิ้มเจื่อน “ข้าไม่เหมือนกัน ข้าไม่ใช่องค์ชาย เป็นเพียงมารหัวขนที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เท่านั้น”
“ท่านไม่เคยได้ยินหรือว่าผู้ชนะเป็นคนเขียนหนังสือประวัติศาสตร์” ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา “ขอเพียงแค่ท่านก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุด สร้างผลงานคุณูปการ จะบันทึกหนังสือประวัติศาสตร์อย่างไร ท่านสามารถตัดสินใจเองได้มิใช่หรือ ดังนั้นอย่าบอกว่าร่างกายท่านมีสายเลือดของเขา แม้ว่าจะไม่มี ขอเพียงแค่ท่านประสบความสำเร็จในฐานะผู้พลีชีพที่ชูธงในการกบฏ อยากจะบันทึกประวัติศาสตร์อย่างไรก็แล้วแต่ท่าน! ศักยภาพสามารถกำหนดได้ทุกอย่าง”
“พูดง่ายทำยาก” ฉีเชียนเอ่ยขึ้น “ข้าไม่มีทั้งกำลังคนและอำนาจ”
“ท่านยังมีข้า!”
ฉีเชียนหัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ แววตาเป็นประกายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้ามีเส้นสาย สามารถดึงมาไว้ข้างกายท่านได้ ขอเพียงแค่ท่านกล้าที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ที่ชาญฉลาด มีอุดมคติที่ว่าใต้หล้าเป็นของปวงประชา และเต็มใจที่จะอุทิศแรงกายแรงใจรวมไปถึงความเพียรพยายามเพื่อจุดประสงค์นี้ ก็เพียงพอแล้ว”
“เหตุใดถึงเป็นข้า” ฉีเชียนพยายามสะกดกั้นความสั่นเทาพลางถามขึ้น
“อยากรู้จริงๆ หรือ” ฉินหลิวซีเห็นเขาพยักหน้า จึงเอ่ยต่อไปว่า “เพราะข้ารู้จักคนที่เป็นองค์ชายแค่คนเดียว ขี้เกียจไปสังเกตองค์ชายคนอื่น”
ฉีเชียน “…”
ดังนั้น ทุกอย่างเป็นเพราะความขี้เกียจ นางถึงได้มอบ ‘ความมั่งคั่งล้นฟ้า’ ที่อาจทำให้คนในครอบครัวของเขาตายได้มาแขวนคอให้เขาอย่างนั้นรึ!
ไม่ได้เจอหลายปี มอบของขวัญชิ้นโตเช่นนี้ ข้าล่ะขอบคุณจริงๆ!