คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 988 อนุวั่นเอ่ย ตีนาง ดูสิว่านางจะยังกล้าหนีอีกหรือไม่
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 988 อนุวั่นเอ่ย ตีนาง ดูสิว่านางจะยังกล้าหนีอีกหรือไม่
ตอนที่ 988 อนุวั่นเอ่ย ตีนาง ดูสิว่านางจะยังกล้าหนีอีกหรือไม่
ฉีเชียนเดินออกจากโรงประมูลจิ่วเสียนด้วยท่าทีมึนงง ยืนอยู่ตรงหน้าประตูก่อนจะหันมามองอีกครั้ง
เขามาทำอะไรที่นี่ เมื่อครู่เขาตอบตกลงทำเรื่องอะไรไป
ก่อกบฏเพื่อขึ้นเป็นฮ่องเต้เชียวนะ!
แรงลมประหลาดอันเย็นเฉียบแทรกซึมเข้ากระดูก กระทั่งทำเอาเขาหนาวจนตัวสั่น ราวกับเพียงครู่เดียวก็ทำให้สมองที่หนักอึ้งกลับมาได้สติอีกครั้ง
จบกัน เหตุใดเขาถึงตอบตกลงไป หรือหลงระเริงในอำนาจและความมั่งคั่งอย่างนั้นหรือ
หรือจิ่วเสียนวางยาพิษจนสมองของเขาพร่าเบลอเลอะเลือนกันแน่
แต่ถึงอย่างไรเขาก็ตอบตกลงไปแล้วอยู่ดี
ฉีเชียนหันกลับไปมองป้ายจิ่วเสียนที่เขียนด้วยผงชาดตัวสีทองแน่นิ่งอีกครั้ง พร้อมให้ความรู้สึกว่าอักษรสองตัวนี้กลายร่างเป็นจิ้งจอกที่สะกดวิญญาณพลางกำร่างของเขาไว้แน่น
เขารีบเบือนสายตาหนี แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ขึ้นเรือลำเดียวกับโจรแล้ว
แต่ฉินหลิวซีบอกว่าจะช่วยเขา ทั้งเรื่องเส้นสาย หรือกระทั่งเรื่องเงินทองในการทำเรื่องต่างๆ เขาไม่ต้องเป็นกังวลด้วยซ้ำ เขาแค่เป็นเครื่องรางนำโชค สั่งสมชื่อเสียงดีๆ เรียนรู้การเป็นกษัตริย์ที่ดีเพื่อปกครองแว่นแคว้น แล้วเขาจะมีสิทธิ์บ่นอะไรได้อีกเล่า
เครื่องรางนำโชคฉีถอนหายใจครั้งหนึ่ง ความมั่งคั่งและอำนาจมหาศาลนี้ เขารับไว้แล้ว!
แต่สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือหลังจากขึ้นเรือโจรแล้ว เขาก็ไม่มีโอกาสลงจากเรือได้อีก ยุ่งวุ่นวายจนไม่มีเวลา เขาอยากแยกร่างเป็นสองคนให้รู้แล้วรู้รอด!
“ข้าดูทรงรุ่ยจวิ้นอ๋องไม่ค่อยมีสมองเท่าไร จะดันเขาขึ้นครองบัลลังก์จริงๆ หรือ เขาจะเป็นกษัตริย์ที่ดีได้หรือ” เฟิงซิวเอ่ยถึงฉีเชียนกับฉินหลิวซีด้วยท่าทางรังเกียจ
ฉินหลิวซีเอ่ย “เขาเหมาะสม”
“เหมาะสมตรงไหน”
“เพราะเขารู้จักข้า!”
เจ้าบอกตรงๆ เลยก็ได้ว่าเขาโชคดี ทุกคนต่างสนิทสนมกันอยู่แล้ว เหตุใดต้องพูดจาอ้อมค้อมให้มากความด้วย ไม่ต้องเห็นเป็นคนอื่นคนไกลหรอก!
“ถึงแม้เรื่องในราชสำนักจะเริ่มเละเทะ แต่ก็ยังไม่เน่าถึงแก่นราก ยังมีคนมุ่งมั่นอุทิศตนเพื่อแว่นแคว้นและราษฎรอยู่ คนพวกนั้นจะสอนเขาให้เป็นกษัตริย์ที่เหมาะสมได้”
เฟิงซิวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ยุคนี้หากคิดอยากจะเป็นผู้บำเพ็ญตนที่พ้นจากกิเลสทางโลกคงทำยาก ไม่มีใครเป็นกังวลเหมือนท่านหรอก”
“รอจบเรื่องนี้ก่อนแล้วกัน” ฉินหลิวซีทอดมองสายตาไปไกล
พอจบเรื่องนี้ นางก็จะสมปรารถนาแล้ว!
…
หลังจากกำหนดเครื่องรางนำโชคเสร็จ ฉินหลิวซียังไม่คิดหลอกล่อปั่นหัวเหล่ากุนซือมือสมัครเล่นพวกนั้น ในเมื่อนางเพิ่งเข้าเมืองหลวงมา นางจึงไม่รีบ
ฉินหลิวซีแวะไปที่จวนตระกูลฉิน นางไม่ได้เข้าไปอย่างเปิดเผย ทว่ารอฟ้ามืดก่อนถึงเข้าไป โดยแวะไปเรือนที่สะใภ้หวังเคยเตรียมให้นางก่อนหน้านี้อย่างไร้สุ้มเสียง
เพียงแต่ในเรือนจุดไฟสว่างไสว มีคนอยู่หรือ
ชั่วขณะนั้นฉินหลิวซียืนอยู่ในลานแน่นิ่งไม่ขยับ กระทั่งมีคนเดินออกมาจากห้อง ครั้นเห็นนางก็ตกใจยกใหญ่ ทำท่าเหมือนจะกรีดร้องเสียงดังทว่ากลับเปล่งเสียงไม่ออก นางเป็นใบ้หรอกหรือ
นางเดินรุดขึ้นหน้าไป ส่วนหญิงสาวที่สวมเสื้อคลุมพร้อมกระโปรงยาวบุหนาเกล้าเปียใหญ่ไว้บนศีรษะก็เห็นนางชัดแล้วเช่นกัน หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ อ้าปากเล็กน้อย พร้อมทำไม้ทำมือ
คุณหนูใหญ่หรือ
นางคงสื่อความหมายเช่นนี้กระมัง ฉินหลิวซีคาดเดา
“ข้าคือฉินหลิวซี”
ฉับพลันแววตาของหญิงสาวก็เปลี่ยนไป ก่อนจะคุกเข่าทำความเคารพอย่างสุภาพ ครั้นเห็นนางสวมชุดเนื้อบาง อีกทั้งหิมะตกโปรยปราย หญิงสาวจึงรีบดึงนางเข้าไปก่อนจะรู้สึกว่าไม่เหมาะสม หญิงสาวจึงชี้ไปบนท้องฟ้าแล้วชี้เข้าไปในห้อง ก่อนสุดท้ายจะชี้ไปด้านนอกลาน
พูดไม่ได้ ช่างเป็นเรื่องลำบากนัก
ฉินหลิวซีเดินเข้าห้อง ครั้นเห็นภายในห้องทำความสะอาดอย่างเป็นระเบียบ พร้อมไฟตะเกียงสองสามจุด ไม่มีกลิ่นอับเก่า ในทางกลับกันมีกลิ่นหอมเย็นจางๆ
นางมองไปยังตำแหน่งหน้าต่างทางใต้แวบหนึ่ง หน้าต่างบานนั้นมีแจกันดินเผาวางอยู่ ในนั้นปักดอกหล้าเหมยหลายดอกทั้งสีแดงและชมพูที่กำลังเบ่งบานสะพรั่ง ทั้งสุขสงบและสะอาดตา
เดาว่าสะใภ้หวังคงตั้งใจส่งสาวใบ้ผู้นี้มาคอยเฝ้า นอกจากแต่งแต้มเรือนที่ถูกปล่อยว่างไร้ผู้อาศัยมาเป็นเวลานานให้มีชีวิตชีวาแล้ว ยังมีน้ำชาธัญพืช อีกทั้งแสงสว่างจากโคมไฟด้วย
เพียงรอคอยคนสำคัญกลับมาเท่านั้น
ปลายนิ้วเรียวยาวของฉินหลิวซีจิ้มดอกไม้ตูม พร้อมไออุ่นที่ไหลเวียนในหัวใจ
ด้านหลังมีไอร้อนไหลทะลักส่งผ่านมา ฉินหลิวซีเบี่ยงตัวหลบตามสัญชาตญาณ ครั้นหันไปมองก็เห็นในมือของสาวใบ้ถือเสื้อคลุมตัวหนาพลางคลี่เปิดออกหมายคลุมบนร่างของนาง
ครั้นเห็นฉินหลิวซีเบี่ยงตัวหลบ นางก็อ้าปากค้างแล้วชี้ไปทางฉินหลิวซี ยกเสื้อคลุมตัวหนาขึ้นก่อนจะทำท่าหนาวสั่น
ฉินหลิวซีหัวเราะขบขัน “ไม่ต้องหรอก ข้าไม่หนาว” นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เจ้าชื่อว่าอะไรหรือ”
สาวใบ้วางเสื้อคลุมตัวหนาลงแล้วหยิบกระดาษขึ้นมาใบหนึ่งจากโต๊ะก่อนจะเขียนคำว่าจูตัวเอียง
“เจ้าชื่อว่าอาจูหรือ”
อาจูพยักหน้าหงึกหงัก
ฉินหลิวซียื่นมือออกไปคว้ามือของนางมาแล้ววางสองนิ้วเพื่อตรวจดูเส้นชีพจร จากนั้นก็คลายมือออกแล้วให้นางอ้าปากเล็กน้อย เอ่ยถามนางว่า “เจ้าอยากพูดได้หรือไม่”
อาจูชะงักไป นางยังจะพูดได้ด้วยหรือ
ฉินหลิวซีมองดวงตากลมโตดำขลับของนาง พลันก็รู้สึกใบหน้าคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะยื่นมือออกไปลูบศีรษะของนาง เอ่ย “ข้าทำให้เจ้าพูดได้”
ไม่ได้เป็นใบ้มาแต่กำเนิด แต่น่าจะเกิดขึ้นในภายหลัง เพราะหลงผิดกินสมุนไพรที่แฝงพิษบางอย่างเข้าไปเลยทำให้เส้นเสียงในลำคอได้รับความเสียหาย
อาจูชะงักไป ทันใดนั้นก็คุกเข่าลงพื้นเสียงดังพลั่ก เงยหน้ามองนางด้วยสายตาแห่งความหวัง พลางพยักหน้าอย่างบ้าคลั่ง
สายตาเช่นนี้ ราวกับเห็นนางเป็นเทพที่น่าเคารพและเลื่อมใสก็มิปาน!
ฉินหลิวซีเบี่ยงตัวหลบ เอ่ยขึ้นว่า “ลุกขึ้นเถิด วันหลังข้าค่อยรักษาให้เจ้า”
อาจูเชื่อฟังเป็นอย่างดี นางลุกขึ้นแล้วเดินมาข้างโต๊ะ ลูบไล้กาน้ำชา ครั้นเห็นว่ากายังร้อนอยู่ นางจึงรินชาแก้วหนึ่งก่อนจะยกมาให้
ฉินหลิวซีรับมาดื่มอึกหนึ่ง
อาจูชี้นิ้วไปทางด้านนอกด้วยท่าทีตื่นเต้น เพื่อสื่อความหมาย
ฉินหลิวซีเข้าใจจึงเอ่ย “ไม่ต้องไปรายงานหรอก เดี๋ยวข้าไปทักทายด้วยตัวเอง”
เพียงแต่เพิ่งเอ่ยจบ นางก็ได้ยินเสียงสองเท้าเดินก้าวมาเสียงเบา แทรกสลับกับเสียงบทสนทนาเป็นระยะ
นางครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเดินออกไปยืนอยู่ใต้ชายคา โคมดวงหนึ่งห้อยอยู่เหนือศีรษะของนาง พร้อมแผ่แสงอบอุ่นสีเหลืองส้ม
ไม่นานก็มีคนเดินผ่านเข้าประตูลานมาพร้อมเสียงพูดคุยสนทนา
“เข้าปลายเดือนสิบสองแล้ว ไม่รู้ว่านางจะกลับมาหรือไม่…เอ๊ะ!”
เสียงพลั่กดังเบาหวิว
หญิงสาวที่กำลังถือโคมเหมือนจะตกใจจนทำโคมในมือร่วงตกลงพื้น ไม่นานก็เผามอดไหม้ไป ทว่านางกลับจับจ้องหญิงสาวที่ยืนอยู่ภายใต้แสงไฟนั้นแน่นิ่ง
ไม่นานขอบตาของสะใภ้หวังก็มีน้ำตาเอ่อล้น ก่อนเร่งสับฝีเท้าเข้ามาหา
คนที่อยู่ข้างกายนางก็คืออนุวั่น นางผงะไป เม้มริมฝีปากครู่หนึ่ง มองซ้ายทีขวาทีเพื่อกวาดตาหาของติดไม้ติดมือแล้วรีบตามไปหา
หิมะกำลังตก สะใภ้หวังเดินค่อนข้างเร็วจนแทบลื่นล้มบนกองหิมะ ฉินหลิวซีจึงรีบรุดหน้าเข้าไปประคองร่าง
“ท่านระวังหน่อยเถิด”
สะใภ้หวังบีบมือนางตามสัญชาตญาณ พลางเอ่ย “เป็นนางหนูจริงๆ ด้วย สุดท้ายเจ้าก็ยอมกลับมาสักที หลายปีมานี้เจ้าไปไหนมาหรือ”
นางเอ่ยถามพร้อมน้ำตาที่ไหลริน
“เก็บตัวบำเพ็ญน่ะ” ฉินหลิวซีกล่าวอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้นก็น่าจะส่งจดหมายมาบอกกล่าวกันบ้าง เหตุใดจิตใจของเจ้าช่างโหดร้ายนัก ทำเอาพวกข้าเป็นห่วงแทบแย่” สะใภ้หวังทั้งโมโหและปวดใจไปพร้อมกัน เอ่ยขึ้นว่า “เป็นครอบครัวเดียวกันแท้ๆ มีอุปสรรคใดที่จะข้ามผ่านไปด้วยกันไม่ได้ เหตุใดเจ้าต้องแบกรับไว้เอง เจ้านี่นะ…”
อนุวั่นเอากิ่งไม้ความยาวขนาดเท่าท่อนแขนที่เก็บมาจากลานส่งไปให้สะใภ้หวัง “อ่ะให้ ตีนางเลยเจ้าค่ะ!”
สะใภ้หวัง “?”
อนุวั่นจ้องฉินหลิวซีแวบหนึ่ง เอ่ยขึ้นด้วยเสียงหนักแน่น “ดูสิว่าวันหลังนางจะยังกล้าหนีไปนานโดยไม่ปริปากบอกสักคำอีกหรือไม่!”
ฉินหลิวซี “…”
สะใภ้หวัง ข้าปล่อยให้น้องสาวเข้าใจสิ่งใดผิดไปจนหลงคิดว่านางเหมาะจะรับบทเป็นท่านแม่ที่เข้มงวดกันหรือ