คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 989 แสร้งว่าตัวเองบริสุทธิ์เพื่อให้หลุดพ้นจากเรื่องไม่ดี
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 989 แสร้งว่าตัวเองบริสุทธิ์เพื่อให้หลุดพ้นจากเรื่องไม่ดี
ฉินหลิวซีมองอนุวั่นด้วยใบหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม เก่งจริงๆ เรียนรู้วิธีตีบุตรแล้ว แถมบุตรคนนั้นก็คือนางเองด้วย
อนุวั่นขึงตามองนางแวบหนึ่ง มองทำไม ไม่เชื่อฟัง ไม่บอกสักคำจนไม่รู้ว่าหลบไปอยู่ที่ไหน ไม่กลับมาตั้งหลายปี ดีแต่ทำให้ผู้ใหญ่เป็นห่วง ไม่สมควรตีหรืออย่างไร
ตีเด็กผู้หญิงไม่ได้หรือไร
เปล่าเลย ในบ้านหลังใหญ่นี้มีใครไม่ถูกตีบ้าง แถมผลัดกันตีเหมือนเป็นการละเล่นคู่ด้วยซ้ำ
ส่วนเหตุใดนางไม่เป็นคนตีเอง นั่นเป็นเพราะนางมีศักดิ์เป็นแค่แม่เล็ก สถานะอำนาจมีขีดจำกัด เรื่องอบรมสั่งสอนให้เป็นหน้าที่ของมารดาใหญ่ ไม่เห็นแปลก!
อนุวั่นแสดงท่าทีว่าสมควรเป็นเช่นนั้น
ฉินหลิวซีหลุดขำ เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ช่างซื่อบื้อดีจริงๆ
สะใภ้หวังย่อมไม่มีทางตี เพราะเด็กผู้หญิงมีไว้ทะนุถนอม ก่อนจะจิ้มเอวของอนุวั่นเชิงตำหนิ ยัยบื่อนี่ นางไม่กลัวบุตรสาวตกใจจนหนีไปหรืออย่างไร
“เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไรหรือ ไม่ส่งคนมาบอกสักคำ โชคดีที่ข้าเลือกบ่าวสักคนมาทำงานในเรือนเล็กของเจ้า มิเช่นนั้นท้องฟ้ามืดค่ำหนาวเหน็บเช่นนี้ ห้องคงเย็นน่าดู” สะใภ้หวังมองฉินหลิวซีด้วยสายตาลึกล้ำ เอ่ย “อ้อ เจ้ากินมื้อเย็นแล้วหรือไม่ ข้ากับแม่เล็กของเจ้ามาเดินย่อยอาหารเลยแวะมาที่นี่ด้วย มิเช่นนั้นคงไม่รู้ว่าเจ้ากลับมาแล้ว”
อนุวั่นเอ่ยเสียงพึมพำ แวะมาที่นี่ทุกวัน ถึงปากบอกว่ามาเดินย่อยอาหาร แต่ความจริงมาดูว่าเจ้าของเรือนนี้กลับมาแล้วหรือไม่มากกว่า
ที่แท้ขอแค่มีความจริงใจ ต่อให้หินโลหะก็ยังแตกหักได้[1]อย่างนั้นหรือ
ฉินหลิวซีส่ายหน้า “ข้ากินข้าวแล้วถึงแวะมา”
สะใภ้หวังพลันรู้สึกใจหนักอึ้งเล็กน้อย นางใช้คำว่าแวะมา แต่ไม่ได้ใช้คำว่ากลับมา ทว่ากลับเผยสีหน้าแปลกใจบนใบหน้าเลยสักนิด เอ่ยยิ้มๆ “เช่นนั้นจะให้คนในครัวเล็กทำมื้อดึกไว้ให้ดีหรือไม่ ข้าจะให้อาจูช่วยอุ่นผ้านวมให้ด้วย มิเช่นนั้นคงหนาวแย่ ข้าเอาตัวอาจูมาจากแถบชนบท ถึงแม้นางจะเป็นใบ้ แต่มือไม้คล่องแคล่ว พละกำลังเหลือล้น คอยเฝ้าเรือนไว้ให้เจ้าย่อมเหมาะสม”
“ไม่ต้องลำบากหรอกเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้คิดว่าจะอยู่ที่นี่”
สะใภ้หวังเองก็ดวงตาแดงก่ำ เอ่ยเสียงสั่นเครือ “นั่นสิ นี่เป็นเรือนของเจ้า เจ้ากลับมาแล้วยังจะไปไหนอีก”
ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเบา “หลังจากท่านอาจารย์จากไป ข้าก็กลายเป็นเจ้าอาวาสของอารามชิงผิง วันหน้าต้องคอยดูแลเรื่องในอารามทุกอย่าง การมาเยือนเมืองหลวงครั้งนี้ ข้ามาก็เพราะมีเรื่องที่ต้องจัดการ คงอยู่เพียงสักระยะหนึ่ง แต่ข้าจะพักที่โรงประมูลจิ่วเสียน ที่นั่นมีห้องฝึกบำเพ็ญของข้าอยู่”
สะใภ้หวังเงียบไป พลันภายในใจก็ยิ่งเจ็บแปล๊บ
ฉินหลิวซีเม้มริมฝีปาก เอ่ย “แม้จวนตระกูลฉินจะเป็นบ้านของของข้า แต่ในเมื่อเลือกเดินเส้นทางเต๋า สำหรับสายเลือดญาติพี่น้องแล้ว ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นตัดขาดเรื่องทางโลกเหมือนกับข้อกำหนดทางศาสนา แต่การให้ความเคารพและอยู่อย่างห่างๆ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีต่อทั้งสองฝ่ายมากกว่า”
ใบหน้าของสะใภ้หวังขาวซีด ราวกับหัวใจผูกติดกับก้อนหินขนาดมหึมาจนจมดิ่งร่วงลงพื้นก็มิปาน
พอนางกลับมาก็รีบร้อนตัดสายสัมพันธ์แล้ว!
อนุวั่นเองก็งงงันไปตามๆ กัน ย่อหดตัวราวกับนกกระทา ก่อนจะมองฉินหลิวซีแวบหนึ่งด้วยท่าทีขลาดกลัว
สะใภ้หวังกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เงยหน้ามองนาง ฝืนยิ้มพลางเอ่ย “เจ้าเองก็คงรู้แล้วว่าหมิงเย่ว์ถูกพระราชทานให้เป็นอนุของจ้าวอ๋อง หลักๆ ก็เพราะเจ้า หรือคิดว่าตระกูลฉินเป็นตัวถ่วงของเจ้าหรือ”
นางคงโกรธกระมัง!
“เส้นทางที่ฉินหมิงเย่ว์เลือกไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับข้า ข้าเองก็ไม่มีทางให้คำมั่นสัญญาหรือทำอะไรเพื่อนาง นางจะเดินเส้นทางนี้อย่างไร นางย่อมต้องยอมรับพบเจอด้วยตนเอง ข้าเคยบอกนางแต่แรกแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ย “ตระกูลฉินทำให้ข้าเดือดร้อนไปด้วยไม่ได้หรอก” ถึงอย่างไรนางอาจจะเป็นคนสร้างความเดือดร้อนให้พวกเขาแทนมากกว่า
หากตระกูลฉินอยากร่ำรวยมั่นคง ความจริงเป็นเรื่องที่ง่ายมาก นางแค่ส่งบันไดให้ไต่เต้าขึ้นไปก็ได้แล้ว แต่เรื่องสนิทสนมใกล้ชิดคงไม่จำเป็น ในเมื่อนางอาจจะดูแลอะไรพวกเขาไม่ได้นัก
อีกอย่างหากตระกูลฉินกลายเป็นจุดอ่อนของนางขึ้นมา นางก็คงจะเลือกจะตัดวิบากนี้ทิ้งเช่นกัน
“แต่เหตุใด…”
“เมื่อสิบกว่าปีก่อนที่ข้าออกจากจวนตระกูลฉินไป ข้าได้กำหนดไว้แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราจะไม่มีทางใกล้ชิดลึกซึ้งกันได้ เส้นทางของข้ากับตระกูลฉินนั้นต่างกัน” ฉินหลิวซีจับจ้องนางแน่นิ่ง
“ข้าจะไปคุยกับเขาแน่นอน”
สะใภ้หวังเอ่ยเสียงวิงวอน “เช่นนั้นคืนนี้ก็นอนที่นี่สักคืน สักคืนก็ยังดี”
ฉินหลิวซีพยักหน้า
สะใภ้หวังไม่กล้าถามนางเรื่องเก็บตัวบำเพ็ญ นางเล่าเรื่องสัพเพเหระในประจำวันเรื่อยเปื่อยไม่น้อย ฉินหลิวซีฟังอย่างเงียบๆ พลางขานรับบ้างเป็นครั้งคราว
อนุวั่นรู้สึกจุกในอก
โดยเฉพาะยามที่ฉินหลิวซีตั้งใจฟังสะใภ้หวังพูดคุยอย่างอ่อนโยน พลันก็ยิ่งทั้งรู้สึกอึดอัดและเศร้าใจไปพร้อมกัน
เจ้าเด็กนี่ช่างไร้จิตสำนึกเสียจริง
“เจ้ารอก่อนนะ ข้าจะไปบอกครัวเล็กให้ทำมื้อดึกให้ เดี๋ยวค่อยเอามาให้เจ้า” สะใภ้หวังดึงนางพูดคุยด้วยครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้น
ฉินหลิวซีเองก็ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของนาง เอ่ย “ด้านนอกหิมะตก อากาศหนาว พวกท่านไม่ต้องมาหาแล้ว ส่งพวกเขาเอามาให้ก็พอ”
นางขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะล้วงหยิบยันต์เพลิงไฟยื่นให้พวกนางทั้งสองคน เอ่ย “ยันต์เพลิงไฟนี้นำติดตัวไว้ ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น”
สะใภ้หวังรับมานำติดตัวไว้อย่างดีด้วยความดีอกดีใจ ฉีกยิ้มบอกให้นางรอสักครู่ ก่อนจะดึงอนุวั่นเดินจากไป
พอออกจากลานไป สะใภ้หวังก็หุบรอยยิ้มก่อนจะกลั้นไม่อยู่ โอบร่างของอนุวั่นที่กำลังกางร่มอยู่พร้อมร้องไห้ “พวกเราจะไม่มีลูกสาวคนนี้แล้วจริงๆ”
อนุวั่นเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “นางก็ยังอยู่มิใช่หรือ หนีไปไหนไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่เข้าใจหรือว่านางกำลังตัดความสัมพันธ์กับพวกเรา นางไม่ต้องการพวกเราแล้ว” สะใภ้หวังเศร้าใจเป็นอย่างมาก
อนุวั่นเงียบไปพักหนึ่ง “เพียงแค่นางไม่อยู่ใช้ชีวิตด้วย เมื่อก่อนเราเองก็ชินกันแล้ว หลายปีมานี้เองก็เหมือนกัน ต่อให้ไม่เจอหน้าก็ไม่เห็นเป็นไรหรอกเจ้าค่ะ”
สะใภ้หวังมุ่นคิ้ว “แต่เมื่อครู่เจ้ายังเพิ่งให้ข้าตีนางเพื่อไม่ให้นางกล้าหนีไปอีกมิใช่หรือ”
อนุวั่นเอ่ยหยอกเย้า “อย่างน้อยก็ต้องแสดงออกอะไรบ้าง ท่านเป็นมารดาใหญ่นะเจ้าคะ แต่ใช่ว่าพวกเราตีแล้วนางจะหนีไม่ได้เสียเมื่อไร นาง…พวกเราช่วยนางไม่ได้ แถมอาจจะเป็นตัวถ่วงนางด้วยซ้ำ เช่นนั้นอยู่ห่างๆ ก็ใช่ว่าจะไม่ดี”
อนุวั่นเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “ลูกโตแล้ว หากนางอยากโบยบิน พวกเราก็รั้งไว้ไม่ได้อยู่ดีเจ้าค่ะ อีกอย่างพวกเราเองก็ไม่เคยรั้งนางไว้ได้ด้วย”
สะใภ้หวังมึนงงอยู่บ้าง มองนางด้วยแววตาซื่อๆ ก่อนน้ำตาจะรินไหลออกมาไม่หยุด
“เฮ้อ ท่านเลิกร้องไห้ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นข้ายัดนางกลับเข้าท้องแล้วค่อยคลอดออกมาใหม่ ครั้งนี้จะคลอดเด็กที่เชื่อฟังออกมาเลยดีหรือไม่เจ้าคะ” อนุวั่นกระทืบเท้า
สะใภ้หวังร่างแข็งทื่อก่อนจะหลุดขำออกมา เช็ดน้ำตาแล้วจิ้มหน้าผากนางอย่างไม่สบอารมณ์นัก “เหตุใดถึงมีคนโง่ๆ อย่างเจ้าได้นะ” นางหันไปมองเรือนอีกแวบหนึ่ง ถอนหายใจอย่างเงียบๆ เอ่ย “เอาเถอะ ไม่ว่านางไปที่ใด เป็นใคร นางก็ยังเป็นลูกสาวของเราไม่เปลี่ยนแปลง เรือนแห่งนี้ ขอแค่นางมา ย่อมมีที่สำหรับนางเสมอ”
จากนั้นพวกนางก็เดินจากไปพร้อมกัน
ฉินหลิวซียืนอยู่ตรงหน้าต่าง พลางถอดถอนหายใจ
ใช่ว่านางจะไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ของสะใภ้หวังเมื่อครู่ แต่นางไม่เดินออกไปต่างหาก
นางกับตระกูลฉินอยู่ห่างกันย่อมดีกว่า เหตุใดต้องลำบากมามีจุดจบเหมือนอาจารย์ด้วยเล่า
ชีวิตนี้ของนางถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องโดดเดี่ยว!
[1] สำนวนนี้หมายความว่าขอแค่มีความมุ่งมั่น ไม่ว่าอุปสรรคยากเพียงใดก็ย่อมคลี่คลายได้