คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 990 คิดจะอาศัยอำนาจ เลิกฝันเหอะ
ตอนที่ 990 คิดจะอาศัยอำนาจ เลิกฝันเหอะ
วันต่อมา
สะใภ้หวังถูกสะใภ้เซี่ยขวางทางไว้ตั้งแต่เช้าตรู่
“พี่สะใภ้ใหญ่ ซีเอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ” สะใภ้เซี่ยเอ่ยถามด้วยท่าทีตื่นเต้น
เมื่อคืนนางคิดอยากทำมื้อดึก สาวรับใช้ข้างกายจึงบังเอิญได้ยินว่าฮูหยินใหญ่สั่งทำรังนกไปส่งที่เรือนตะวันตก อีกทั้งเป็นรังนกพระราชทานอย่างดีอีกต่างหาก
เรือนตะวันตกเป็นเรือนที่เตรียมไว้ให้ฉินหลิวซี นอกจากสาวใบ้ที่คอยเฝ้าเรือนคนหนึ่งแล้ว เจ้านายที่แท้จริงก็ไม่เคยโผล่มาเลยหลายปี ทว่าจู่ๆ ตอนนี้กลับส่งมื้อดึกไปให้ เช่นนั้นคงเป็นไปได้แค่ว่าฉินหลิวซีกลับมาแล้ว
นางส่งคนไปสอดแนมที่เรือนตะวันตกเช่นกัน แม้เรือนนั้นจะเงียบสงบ แต่ดูท่าทางสาวใบ้กลับเริงร่าไม่น้อย
การคาดเดาต่างๆ จึงมีความเป็นไปได้ในข้อเดียวก็คือ ฉินหลิวซีที่ไร้ข่าวคราวในหลายปีนี้ปรากฏตัวแล้ว
สะใภ้หวังเอ่ยเสียงเรียบ “ใช่หรือไม่ เจ้าไม่รู้หรือ”
สะใภ้เซี่ยร้องอุทานที “ในที่สุดเจ้าเด็กคนนี้ก็กลับมาสักที ข้าบอกให้ซินเอ๋อร์ไปทักทายพี่หญิงใหญ่หน่อยดีกว่า”
พลันนางก็จากไป
ไม่นานแม่นมเสิ่นก็กลับมารายงานว่า “นายหญิงรองส่งคนไปบอกข่าวพระสนมฉินที่จวนจ้าวอ๋องแล้วเจ้าค่ะ”
นับตั้งแต่สะใภ้เซี่ยตัดสินใจให้ฉินหมิงเย่ว์แต่งเข้าจวนจ้าวอ๋อง สะใภ้หวังก็เคยบอกท่านผู้เฒ่าแล้วว่าคนในจวนต้องเรียกนางว่าพระสนมฉิน ไม่ใช่คุณหนูรองหรือนายหญิงรองแต่อย่างใด
คำว่าพระสนมฉินอาจจะปิดปากคนอื่นๆ ได้ เพียงเพราะให้ความเคารพ แต่หากมองในอีกแง่มุมหนึ่ง นี่คือความห่างเหิน แสดงท่าทีให้ความเคารพแต่กลับไม่ให้ความใกล้ชิด
หลังจากฉินหมิงเย่ว์ออกจากเรือนไป ตระกูลฉินกลับไม่เคยเป็นฝ่ายไปเยี่ยมเยียนหรือทำเหมือนคนอื่นๆ คือเชิญตัวนายหญิงรองกลับมาพักที่จวนในระยะสั้นๆ มาก่อนเลย
สำหรับสะใภ้หวังแล้ว ถึงแม้พระสนมจะเป็นคนในเชื้อกษัตริย์ สถานะสูงส่ง แต่คำว่าสนมก็คืออนุ เหนือศีรษะของนางยังมีพระชายาค้ำอยู่ ซึ่งพระชายาต่างหากที่เป็นนายหญิงของจวนอื่น
หากตระกูลฉินคิดอยากเชิญตัวพระสนมฉินกลับมา ซึ่งก็หมายความว่าต้องขออนุญาตพระชายาจ้าวก่อน หลังจากผ่านความยินยอมของนางกับท่านอ๋องแล้ว พระสนมฉินถึงจะออกจากจวนได้
แต่สะใภ้หวังจะยอมลดตัวทำเพื่อฉินหมิงเย่ว์ได้อย่างไร
หากพวกสะใภ้เซี่ยคิดจะไป นางก็จะเอ่ยถึงกฎระเบียบ แล้วค่อยยกคำของท่านผู้เฒ่าฉินออกมา หากยังกล้าดีอีก เช่นนั้นก็เสนอให้แยกกันอยู่
อย่ามาบอกว่าบิดามารดาไม่ควรแยกกันอยู่ นางฉินผู้เฒ่าล่วงลับไปแล้ว เหลือแค่ท่านผู้เฒ่าเพียงลำพัง ขอแค่เขาพยักหน้ายอมแยกกันอยู่แล้วตามบ้านใหญ่ไป บ้านรองจะยังเหลืออะไร
ฉินหมิงเย่ว์กลายเป็นพระสนมก็เพราะมีสาเหตุมาจากฉินหลิวซี เพราะจ้าวอ๋องคิดอยากได้เส้นสายคนเก่งๆ ในมือของพี่สาวผู้นี้มากกว่า
ดังนั้นตลอดสองปีมานี้ สะใภ้หวังจึงกดข่มสะใภ้เซี่ยอย่างหนักหน่วง นางเองย่อมไม่กล้าแยกกันอยู่ ในเมื่อตำแหน่งขุนนางของบุรุษฝั่งนางล้วนได้มาจากความโชคดี ลำพังแค่มีชื่อเสียงแต่ไร้อำนาจ เงินทองย่อมมีไม่เท่าไร
โดยเฉพาะยามที่ฉินหมิงเย่ว์เพิ่งออกเรือน ครั้นมีชื่อเสียงของพี่สาวอย่างฉินหลิวซีคอยค้ำหัว ประกอบกับเป็นคนใหม่ จ้าวอ๋องย่อมตื่นตาตื่นใจและให้ความโปรดปรานเป็นธรรมดา แต่ด้วยกาลเวลาที่ล่วงเลยไป บวกกับไร้ซึ่งข่าวคราวของฉินหลิวซี เส้นสายคนที่นางรู้จักก็ดึงมาไม่ได้ ความโปรดปรานนี้จึงค่อยๆ จืดจางลง
โดยเฉพาะช่วงหนึ่งปีมานี้ พระสนมจังที่เข้ามาพร้อมกันดันตั้งครรภ์พอดี จวนอ๋องเองก็รับคนเข้ามาไม่ขาดสาย บวกกับในท้องของนางยังเงียบกริบไร้ความเคลื่อนไหว จึงใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องปกติ เขาต้องตาเจ้า เพราะอยากอาศัยอิทธิพลของฉินหลิวซี พอเวลานี้หยิบยืมมาไม่ได้ จะมีใครอยากเชิดชูเจ้าต่ออีกเล่า
สะใภ้เซี่ยตื่นเต้นขนาดนี้ ย่อมเป็นเพราะรู้ว่าโอกาสพลิกสถานการณ์ของฉินหมิงเย่ว์มาถึงแล้ว
แต่นางคิดง่ายดายเกินไป กลับไม่รู้เลยว่าฉินหลิวซีกลับมาก็เพื่อตัดความสัมพันธ์กับตระกูลฉินต่างหาก
คิดจะอาศัยอำนาจนางหรือ เพ้อฝันไปเถอะ!
“ปล่อยนางไปเถิด รอชนกำแพงใต้[1]แล้วถึงค่อยรู้ว่าตนกำลังสูญเสียอะไรไป” สะใภ้หวังเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ปล่อยให้จ้าวอ๋องรู้ก็ดีเหมือนกัน ใช่ว่าเขาจะวางอุบายใดแล้วได้สมดั่งใจหวังเสียทุกอย่าง
สะใภ้หวังยกแก้วชาขึ้นมาปกปิดรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก
สะใภ้เซี่ยผุดความคิดนี้ขึ้นมาจริงๆ ฉินหลิวซีกลับมาแล้ว ความรุ่งโรจน์ของหมิงเย่ว์พลิกกลับมาแล้ว นางยังกำชับฉินหมิงซินนักหนาว่าต้องให้ความเคารพต่อฉินหลิวซีด้วย
ฉินหมิงซินขานรับเสียงนิ่งด้วยสีหน้าราบเรียบ
ทว่าจวนจ้าวอ๋อง ครั้นฉินหมิงเย่ว์ได้รับข่าวจากมารดาก็ยิ้มร่าดีใจ ลุกขึ้นพรวดพราดก่อนจะเรียกคนให้ไปเชิญตัวบ่าวติดตามของจ้าวอ๋องมาบอกข่าว
“เร็วเข้า รีบแต่งตัวใส่เครื่องประดับให้ข้า” ฉินหมิงเย่ว์เรียกบ่าวมาด้วยความดีใจ
นางกลับมาแล้ว!
ณ เรือนตะวันตกในจวนตระกูลฉิน
ฉินหลิวซีเพิ่งดึงเข็มออกให้อาจู พลางเอ่ย “ตำรับยาที่เขียนให้เจ้า กินไม่กี่ครั้งก็จะค่อยๆ พูดได้เอง”
อาจูร้องอ๊าทีด้วยน้ำเสียงแหบทุ้ม ทว่ากลับสร้างความตกใจให้นางไม่น้อย จากนั้นก็ลูบลำคอตามสัญชาตญาณ ดวงตากลมโตราวองุ่นสีดำคู่นั้นจับจ้องฉินหลิวซีด้วยความตกตะลึง
“ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบ” ฉินหลิวซีเอ่ยยิ้มๆ
ขอบตาของอาจูค่อยๆ แดงก่ำ ทันใดนั้นก็คุกเข่าลงพื้นพร้อมเอาศีรษะโขกพื้น
ฉินหลิวซีดึงนางลุกขึ้น เอ่ย “อย่าทำแบบนี้เลย ไม่ใช่เรื่อง…” นางอยากเอ่ยว่าไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร แต่สำหรับคนที่พูดไม่ได้คนหนึ่งแล้ว กลับเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มหาศาล เลยเปลี่ยนคำพูดเป็นว่า “ถือว่าเห็นแก่ที่เจ้ามาเป็นบ่าวในจวนเล็กๆ นี้แล้วกัน”
อาจูปาดหางตา นางจะเฝ้าอยู่ที่เรือนหลังนี้ไม่ไปไหน พร้อมเฝ้าติดตามคุณหนูใหญ่ด้วย
ด้านนอกมีเสียงดังแว่วมา พอฉินหลิวซีมองออกไป รอยยิ้มจางๆ ก็หุบลง
อาจูพุ่งตัวเข้าไปขวางประตูไว้อย่างรวดเร็ว ฮูหยินใหญ่กำชับไว้แล้วว่าห้ามนายหญิงรองเดินเข้ามาในเรือนตามอำเภอใจเด็ดขาด
สะใภ้เซี่ยที่พาฉินหมิงซินมาด้วยถูกขวางไว้หน้าประตู สีหน้าดูไม่ดีนัก ทว่าเอ่ยอย่างอดทน “อาจูเจ้าถอยไป ข้าเป็นถึงท่านอาสะใภ้รองของคุณหนูใหญ่ ไม่เจอกันตั้งหลายปีเลยแวะมาพูดคุยกับนาง”
อาจูอ้าแขนขวางไม่ให้เข้า
ฉินหลิวซีเดินออกมา พลันดวงตาของสะใภ้เซี่ยก็เป็นประกาย “นางหนูซี”
ฉินหมิงซินถือร่มกระดาษน้ำมันพลางมองฉินหลิวซีที่สวมเสื้อผ้าเนื้อบางเบา แม้แต่ชุดคลุมก็ไม่มี แต่จากรูปร่างของนางดูสูงขึ้นอีกแล้ว ดวงหน้าเองก็เรียวยาวเช่นกัน ถึงแม้จะไม่งดงามสง่า แต่กลับโดดเด่นมีเอกลักษณ์ ใครเห็นก็ยากที่จะลืมเลือน
ฉินหลิวซีเดินเข้ามาใกล้ก่อนจับจ้องพวกนางทั้งสอง ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นดุจสระน้ำอันเย็นยะเยือก ยามที่สายตากวาดมองมาทำเอาทั้งสองร่างสั่นสะท้านโดยมิต้องนัดหมาย แม้แต่เสื้อคลุมตัวหนาบนร่างก็มิอาจต้านทานไอเย็นที่แทรกเข้ากระดูกนั้นได้
“เจ้าเด็กคนนี้ หายหน้าไปไม่กี่ปีก็แทบจำไม่ได้แล้ว เหตุใดไม่ทักทายกันเลย” ครั้นสะใภ้เซี่ยเห็นนางไม่พูดอะไร จึงฝืนเค้นรอยยิ้มแข็งทื่อเอ่ยขึ้น
“ข้าไม่มีเรื่องใดให้ย้อนวันวานกับพวกท่าน ไม่ต้องทำตัวเป็นมิตรกัน” ฉินหลิวซีมองฉินหมิงซินแล้วเอ่ย “โตแล้ว นิสัยสำรวมขึ้นไม่น้อย หวังว่าเจ้าจะเข้าใจการวางตัวอย่างแท้จริง เจ้าแค่อดทนรอเวลาที่เหมาะสม หากคนอื่นจะหัวเราะเยาะที่เจ้าล้มเหลวไม่เป็นท่าก็อย่าไปตอบโต้ วันหน้าค่อยดูตัวเขาเองเถิด”
ฉินหมิงซินใจกระตุกวาบ พลางจับจ้องนางแน่นิ่งไม่วางตา
“นี่เป็นคู่ชีวิตที่ดี ขอแค่เจ้าอดกลั้นได้ ไม่ถูกความงดงามชั่วขณะบังตา เจ้าจะต้องเจอเรื่องดีๆ ในภายหลังแน่นอน” ฉินหลิวซีเอ่ย “คำเตือนที่ข้าเคยบอกพี่สาวของเจ้าก็เช่นกัน นางเลือกทางผิด นั่นก็เป็นชีวิตของนาง ในฐานะที่มีสายเลือดเดียวกันอยู่บ้าง ข้าเลยอยากเตือนเจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่เลือกทางผิด กลับไปเถิด”
ฉินหมิงซินเซถอยหลังไปสองก้าว มองนางเดินผ่านมุ่งหน้าไปทางเรือนซงซาน ก่อนจะหายลับตาไปอย่างรวดเร็ว
“พี่หญิงใหญ่…” นางเอ่ยเรียกเสียงงึมงำ ร่มกระดาษไผ่เขียวในมือถูกคลายออกก่อนร่วงตกลงพื้น ทว่าคนผู้นั้นกลับไม่หันมามองสักนิด
จากนั้นสายตาของฉินหมิงซินก็ค่อยๆ พร่าเลือนขึ้นมา
[1] สำนวนนี้แปลว่า ดื้อรั้นไม่ฟังจนเจอทางตัน