คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 991 ข้าตอบแทนบุญคุณที่เลี้ยงดูมาและตัดขาดวิบากกรรมนี้
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 991 ข้าตอบแทนบุญคุณที่เลี้ยงดูมาและตัดขาดวิบากกรรมนี้
ตอนที่ 991 ข้าตอบแทนบุญคุณที่เลี้ยงดูมาและตัดขาดวิบากกรรมนี้
รอกระทั่งสะใภ้เซี่ยดึงสติกลับมาได้ เงาร่างของฉินหลิวซีก็หายลับไปแล้ว นางมองบุตรสาวคนรองพลางเอ่ยถามอย่างตกใจ
“นางหมายความว่าอย่างไร ที่บอกว่าพี่สาวของเจ้าเลือกทางผิดหมายความว่าอย่างไร”
สะใภ้เซี่ยจิตใจกระสับกระส่าย
ว่ากันว่าเด็กอายุน้อยไม่ค่อยรู้ความ รอโตขึ้นคงดีเอง แต่เหตุใดนางเห็นว่าฉินหลิวซีก็โตแล้ว แต่กลับยิ่งกำราบยากมากกว่าเดิมเล่า ไม่กี่ปีก่อน ถึงแม้นางจะชอบชักสีหน้าใส่พวกนาง แต่ก็ไม่ถึงขั้นเพิกเฉยเย็นชาเช่นนี้
แต่ตอนนี้นางกลับแสดงท่าทีเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเข็มน้ำแข็งในใต้หล้า ดวงตาคู่นั้นไร้ซึ่งความอบอุ่นและความรู้สึกอย่างสิ้นเชิง ราวกับมองคนแปลกหน้าก็มิปาน
สะใภ้เซี่ยรู้สึกเหมือนสิ่งของบางอย่างหลุดออกจากการควบคุม รู้สึกวุ่นวายยุ่งเหยิง
ฉินหมิงซินสูดลมหายใจแล้วเอ่ย “จะหมายความว่าอย่างไร นางไม่เห็นพวกเราเป็นญาติแล้วอย่างไรล่ะเจ้าคะ”
สะใภ้เซี่ยผงะ ไม่เห็นพวกนางเป็นญาติ เช่นนั้นก็หมายความว่าตัดความสัมพันธ์กับพวกนางอย่างนั้นหรือ
เช่นนั้นหมิงเย่ว์จะทำอย่างไร บุตรเขยจะปฏิบัติเช่นใดต่อนาง
เลือดฝาดบนใบหน้าของสะใภ้เซี่ยเจื่อนลง ซีดขาวราวกับกองหิมะบนพื้นก็มิปาน
ในขณะเดียวกันฉินหลิวซีก็เจอฉินหยวนซานที่รีบกลับมาจากการประชุมราชสำนักเช้า ผ่านพ้นไปหลายปี แผ่นหลังของผู้เฒ่าเองก็ยิ่งค่อมลงไม่น้อย
“นางหนูซี เจ้ากลับมาแล้ว” ครั้นฉินหยวนซานเห็นนางก็ดีใจ สองดวงตาผู้เฒ่าวาวประกาย
ฉินหลิวซียกมือประสานทำความเคารพต่อเขา “ท่านผู้เฒ่า”
สรรพนามแฝงความเกรงใจเช่นนี้ ชวนให้ฉินหยวนซานใจดิ่งวูบเล็กน้อย ทว่ากลับไม่เผยให้เห็นทางสีหน้า เอ่ยขึ้นว่า “เข้าไปคุยด้านในดีหรือไม่”
สองคนปู่หลานเดินเข้าเรือนซงซานไป หลังจากดื่มชาแล้ว ขณะที่ฉินหยวนซานเอ่ยถามนางว่ากลับมาเมื่อไร เขาก็ยังแสดงความเสียใจเรื่องการจากไปของนักพรตเฒ่าชื่อหยวนพร้อมคำปลอบประโลมไม่กี่ประโยค จากนั้นถึงถามไถ่แผนการต่อไปหลังจากนี้
เป็นไปตามคาด พอฉินหลิวซีเอ่ยบอกก็ทำเอาเขาตกใจจนทำแก้วชาพลิกคว่ำ ก่อนมองนางด้วยท่าทีตกตะลึง หนวดเคราตรงมุมปากสั่นเล็กน้อย เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้า เจ้าบอกว่าอะไรนะ”
“โปรดลบชื่อข้าออกจากสมุดตระกูลฉินด้วยเถิด” ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้าออกบวชแล้ว อีกทั้งรับตำแหน่งเจ้าอาวาสของอารามเต๋าแล้ว จากนี้ไปข้าก็คือเจ้าอาวาสของอารามชิงผิง ซึ่งมีนามว่าปู้ฉิว”
ฉินหยวนซานเอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นนักบวช เจ้าอยู่อารามชิงผิงมาสิบกว่าปีกลับไม่เคยเห็นเจ้าเกริ่นถึงเรื่องนี้เลย แต่เหตุใดพอได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสถึงจะออกจากตระกูลเล่า”
“เพราะข้าเป็นนักพรตหญิง เส้นทางที่ข้าเดินแตกต่างจากตระกูลฉิน หลังจากข้ารับเป็นผู้สืบทอดอารามชิงผิงแล้ว ข้าก็ไม่ใช่คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลขุนนางใดอีก แต่เป็นเพียงเจ้าอาวาสอารามคนหนึ่ง เป็นนักพรตแห่งเสวียนเหมิน เป็นผู้บำเพ็ญตน! ผู้บำเพ็ญตนไม่สะดวกที่จะข้องเกี่ยวกับคนทั่วไปในทางโลก และทำผิดต่อวิถีแห่งความถูกต้อง”
มือของฉินหยวนซานสั่นเทา ไม่รู้ว่าลมข้างนอกแรงหรือเพราะเจ็บปวดในคำพูดของนางกันแน่
เจ้าเด็กคนนี้ต้องการตัดขาดจาดตระกูลฉิน!
“หรือพวกเราเป็นตัวถ่วงของเจ้าหรือ” เขาพูดไม่ออก รู้สึกแน่นอยู่ในอก
ฉินหลิวซียิ้มเอ่ย “คำพูดของท่าน ฮูหยินใหญ่เองก็เคยถามข้า ข้าจะตอบด้วยคำตอบเดียวกัน ตระกูลฉินเป็นตัวถ่วงข้าไม่ได้หรอก”
ตระกูลฉินเป็นตัวถ่วงนางเสียเมื่อไรกัน
นอกจากเนรเทศกลับบ้านเดิมไปสองปี นางแค่ช่วยจัดแจงเรื่องที่พักอาศัย ไม่ถึงขั้นให้ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากขัดสน แล้วนางยังทำสิ่งใดอีกหรือ
ปูทางให้บุรุษของตระกูลฉินอย่างนั้นหรือ นั่นเป็นแค่เรื่องบอกกล่าวกับหนี้บุญคุณก็เท่านั้น รวมถึงเรื่องช่วยพลิกคดีให้พวกเขาด้วย นางแทบไม่ได้ออกแรงอะไรเลย เช่นนี้จะเรียกว่าเป็นตัวถ่วงได้อย่างไร
การผลักนางจมปลักลงกองโคลนโดยขยับเขยื้อนตัวไม่ได้ต่างหากถึงจะเรียกว่าตัวถ่วง ยื่นข้อเสนอคำขอแปลกๆ ต่างหากถึงเรียกว่าตัวถ่วง รวมถึงเอาเรื่องสายเลือดพี่น้องมาผูกมัดนางให้ทำตามศีลธรรมแล้วสูบเลือดไม่หยุดก็ถือว่าเป็นตัวถ่วงเช่นกัน
แต่ตระกูลฉินทำสิ่งใด หรือกล่าวว่าพวกเขากล้าทำด้วยหรือ
เปล่าเลย
“ท่านผู้เฒ่า ยามที่ข้าแข็งแกร่งมากพอ ถึงแม้พวกท่านจะนึกคิด แต่ก็คงไม่มีทางเป็นตัวถ่วงของข้าได้ รวมถึงจ้าวอ๋องคนหนุนหลังของฉินหมิงเย่ว์ก็เช่นกัน ขอแค่ข้าไม่ยอม เขาก็อย่าคิดหวังจะใช้อำนาจของข้าเชียว!”
ครั้นฉินหยวนซานเห็นว่าใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความมั่นใจและทะนงตนเต็มใบหน้า ราวกับเทพที่มีแสงประกายในตนเอง กระทั่งอดเอามือมาบังตาไม่ได้
ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “จ้าวอ๋องล้มเหลว ท่านข่มคนในตระกูลฉินไม่ให้ไปเข้าข้างเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว มิเช่นนั้นจะเป็นการดึงโชคชะตาของคนในตระกูลฉินสู่โคลนตม”
ฉินหยวนซานใจกระตุกวาบ นี่ต้องการจะสื่อเรื่องใดกันหรือ
“อายุของท่านก็มากแล้ว อยู่ตำแหน่งนี้อย่างสงบสักสองปีก็ออกมาเถิด เส้นทางข้าราชการของฉิวปั๋วหงไม่ได้ก้าวไกลนัก แค่รักษาตำแหน่งไว้ก็พอ แต่ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งใหญ่กลับไม่ใช่โชคชะตาของเขา ดังนั้นเขาจึงเหมาะจะรักษาตำแหน่งไว้เท่านั้น เฝ้ารอวันที่พวกฉินหมิงเยี่ยนจะผงาดขึ้นมาได้อย่างสบายใจ แต่ก่อนหน้านั้นตระกูลฉินต้องอยู่กับเสนาบดีลิ่นไปก่อน”
“เสนาบดีลิ่นหรือ”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “ใช่แล้ว ไม่ว่าวันหน้าเสนาบดีลิ่นจะตัดสินใจทำการใด ตระกูลฉินต้องเอนเอียงไปหาเขา รวมถึงสนับสนุนการกระทำขององค์ชายบางคนด้วย ขอแค่ตระกูลฉินไม่รนหาที่ตาย เห็นพ้องไปกับเขา รอกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์เมื่อไร ไม่ต้องกลัดกลุ้มเลยว่าตระกูลฉินจะไร้เงินไร้อำนาจ”
หากราบรื่นจริงๆ ฉีเชียนคงเห็นแก่นางและไม่ถีบหัวส่งตระกูลฉินทิ้งกระมัง
ฉินหยวนซีได้ยินเช่นนั้น หัวใจก็เต้นตึกตัก
นี่…นี่หมายความว่าตำแหน่งกษัตริย์จะมีความเปลี่ยนแปลง อีกทั้งเสนาบดีลิ่นยังสนับสนุนช่วงชิงตำแหน่งใหญ่อย่างนั้นหรือ
อีกอย่างฉินหลิวซีเองก็บอกว่ามีเงินมีอำนาจไปหลายสิบปี เช่นนั้นคงกำลังชี้นำว่าพวกเขาควรยืนอยู่ข้างใคร
นางกำลังปูเส้นทางที่โรยด้วยดอกไม้ให้ตระกูลฉินนี่นา!
ครั้นฉินหยวนซานเข้าใจในจุดนี้ พลันรู้สึกแสบจมูก ขอบตาค่อยๆ แดงก่ำ
ตระกูลฉินติดค้างนางไว้มากเหลือเกิน
“ฉินหมิงเย่ว์เลือกทางผิด นางต้องรับกรรมด้วยตนเอง ช่วงเวลาสำคัญท่านต้องใจแข็ง ทางเรือนใหญ่มีฮูหยินใหญ่แล้ว สะใภ้ใหญ่คนนี้ท่านเลือกถูกคน มีนางคอยจัดการดูแล วันหน้าเรื่องสั่งสอนแต่งงานออกเรือนของลูกหลาน หากมีนางคอยเป็นหูเป็นตาย่อมไม่มีทางย่ำแย่ นางเป็นเสาหลักที่มั่นคงของหลังจวนตระกูลฉินได้ บ้านสามมีฉินปั๋วชิง บุตรทั้งสองถูกอบรมสั่งสอนมาดี คอยเป็นแรงหนุนนำค้ำชูกับลูกพี่ลูกน้องได้ดี ช่วยให้ตระกูลฉินขยับขึ้นได้อีกขั้น” ฉินหลิวซีดื่มชาอึกหนึ่งแล้วเอ่ย “ทางฝั่งบ้านรอง ท่านแค่ข่มฉินปั๋วกวงกับสะใภ้เซี่ยก็พอ อย่าปล่อยให้พวกเขาสร้างความเดือดร้อน มิเช่นนั้นขี้หนูก้อนเดียวคงทำให้โจ๊กเน่าไปทั้งหม้อ”
ฉินหยวนซานนิ่งไป
“ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว คงมีเท่านี้ วันหน้าข้าน่าจะไม่กลับมาที่จวนตระกูลฉินอีก ข้าบอกให้ท่านลบชื่อข้าออกจากสมุดประจำตระกูล เพราะไม่อยากให้คนในตระกูลฉินเอาชื่อของคุณหนูใหญ่ตระกูลฉินไปคบค้ากับใครซี้ซั้ว บางครั้งสหายที่คบค้าด้วยกลับจะเป็นหายนะ หากข้าไม่อยู่ในตระกูลแล้ว ข้าเองก็จะออกห่างจากพวกท่านเช่นกัน มีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษ เพราะในชีวิตทางโลกของตระกูลฉิน แค่เลือกข้างอยู่ให้ถูกที่ก็พอแล้ว ต่อให้มีเงินทองอำนาจมากมายไปพวกท่านก็รับไม่ไหวหรอก”
ฉินหยวนซานปวดใจอยู่บ้าง “ต้องทำเช่นนี้หรือ มีท่านแม่ของเจ้าอยู่ ข้าเองก็อยู่ คอยรั้งพวกเขาไว้ก็ไม่ได้หรือ”
ฉินหลิวซียิ้มบางเอ่ย “แม้แต่เสือยังมีช่วงเวลาหลับใหล เรื่องของฉินหมิงเย่ว์ก็คือบทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”
“ถึงอย่างไรก็อยู่ส่งท้ายปีกับพวกเราสักครั้งได้หรือไม่ งานครบรอบยี่สิบปีของเจ้าข้ายังไม่ได้จัดเลย” ฉินหยวนซานเอ่ยปากร้องขอ
ฉินหลิวซีส่ายหน้า “ท่านผู้เฒ่า ยามตัดไม่ตัด กลับจะทำให้จิตใจว้าวุ่น บัดนี้ภายนอกวุ่นวายพอแล้ว ราชสำนักเองก็มืดมน คิดว่าท่านเองก็คงรู้ดี แต่ละฝักฝ่ายต่างช่วงชิงอำนาจ เป็นช่วงเวลาที่ตกหลุมพรางง่ายมากที่สุด”
ฉินหยวนซานถอนหายใจเอ่ย “ตระกูลฉินติดค้างเจ้ามากนัก”
ฉินหลิวซีมองออกไปข้างนอกแล้วเอ่ยเสียงเบา “ถือว่าข้าตอบแทนบุญคุณที่เลี้ยงดูมาและตัดขาดวิบากกรรมนี้แล้วกัน”