คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 992 เจ้าเลือกผิดทาง
ตอนที่ 992 เจ้าเลือกผิดทาง
หลังจากฉินหลิวซีเดินออกจากเรือนซงซานก็มุ่งหน้ามาที่เรือนของสะใภ้หวัง พอไล่บ่าวรับใช้ออกไปแล้วก็แทบเอาคำพูดเดิมทั้งหมดเอ่ยกับนางอีกรอบ
ยามนี้เบื้องหน้าของตระกูลฉินมีท่านผู้เฒ่าคอยกดไว้ ส่วนหลังจวนก็มีสะใภ้หวังคอยเป็นเสาหลักดูแลจัดการเรื่องต่างๆ คงรอเวลาที่พวกพี่น้องฉินหมิงเยี่ยนจะลุกผงาดขึ้นมาได้
สะใภ้หวังเอ่ย “เดิมทีเจ้าเป็นคนที่มีความคิดความอ่านตรงไปตรงมา ในเมื่อเจ้าอยากตัดความสัมพันธ์กับตระกูลฉิน ข้าพูดอะไรไปก็เสียแรงเปล่า เรื่องที่เจ้ามุ่งมั่นคิดทำย่อมไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแน่นอน ซีเอ๋อร์ เจ้าคงไม่ได้คิดจะทำเรื่องทำลายฟ้าดินอะไรทำนองนั้นกระมัง”
นางจ้องใบหน้าของฉินหลิวซีพลางกะพริบตาปริบๆ
ฉินหลิวซีผงะเล็กน้อย “เหตุใดท่านถึงมีความคิดเช่นนั้น”
สะใภ้หวังยิ้มแหย่ “ถึงแม้เจ้าจะไม่ใช่เลือดเนื้อที่เกิดมาจากร่างข้า แต่เด็กอย่างเจ้า ความคิดละเอียดอ่อน ความคิดความอ่านชัดเจน ทำสิ่งใดรอบคอบ หากไม่ใช่เพราะมีเรื่องบางอย่าง เจ้าคงไม่ถึงขั้นทำเช่นนี้กระมัง”
ลำพังแค่ไม่อยากให้คนในตระกูลฉินแอบอ้างใช้อิทธิพลของนาง แค่ไม่มาวุ่นวายเรื่องต่างๆ ก็พอแล้ว แต่ดันปูเส้นทางดอกไม้ให้ตระกูลฉินอีกต่างหาก แล้วเช่นนี้ยังไม่ใช่การหยิบยืมอำนาจของนางมาใช้อีกหรือ
เพียงแต่การหยิบยืมนี้ เป็นการหยิบยืมของคนทั้งตระกูล!
ในเมื่อปูทางไว้เช่นนี้ แวดวงตระกูลผู้ดีที่ยืนอยู่ชั้นแถวหน้าย่อมปฏิบัติต่อตระกูลฉินดีตามไปด้วย
ทว่านางดันทิ้งตัวเองไว้ด้านนอก
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “ทำลายฟ้าดินอะไรกัน นี่ท่านเห็นข้าเป็นมารร้ายนอกรีตอย่างนั้นหรือ ต่อให้มีคนเช่นนั้นจริง แต่ไม่มีทางเป็นข้าแน่นอน เพราะอารามชิงผิงย่อมขจัดสิ่งชั่วร้ายและผดุงความถูกต้อง”
สะใภ้หวังกุมมือนางพลางเอ่ย “ข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่พูดหรอก แต่ไม่ว่าอย่างไรความเห็นแก่ตัวในฐานะของคนเป็นบิดามารดาย่อมหวังว่าเจ้าจะรักษาตัวเป็นอย่างดี”
ฉินหลิวซีพยักหน้า
“ถึงแม้ชื่อของเจ้าจะไม่ได้อยู่ในสมุดประจำตระกูลแล้ว แต่เจ้าก็เป็นหญิงสาวของตระกูลฉิน เป็นหลานสาวสายตรงของบ้านใหญ่ หากเจ้าอยากกลับมา ประตูก็พร้อมเปิดอ้ารอเจ้าเสมอ ส่วนเรือนของเจ้า ไฟจะไม่มีวันดับ ถึงแม้เจ้าจะแอบกลับมาแล้วจากไปอย่างเงียบๆ ก็ตาม” สะใภ้หวังฝืนกลั้นน้ำตาไว้ก่อนเดินเข้าไปโอบกอดนาง
ฉินหลิวซีไม่ค่อยชินกับสถานการณ์เช่นนี้เท่าไรนักเลยฉวยโอกาสเอ่ยขึ้นว่า “ข้าตรวจดูชีพจรแล้วเขียนใบสั่งยาให้ท่านดีกว่า”
มีชีวิตยืนยาวถึงจะเป็นเสาหลักที่มั่นคง
นางตรวจดูชีพจรและเขียนใบสั่งยาอย่างรวดเร็ว แต่เพิ่งวางพู่กันลง แม่นมเสิ่นก็มาบอกว่าจ้าวอ๋องเสด็จมาเป็นเพื่อนพระสนมฉินเพื่อเยี่ยมเยียนถึงจวน
สะใภ้หวังสีหน้าขรึมลงก่อนหันไปมองฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีไม่แสดงอารมณ์ใดทางสีหน้า ราวกับเพิกเฉยต่อเรื่องนี้และไม่ให้ความสนใจอย่างไรอย่างนั้น ครั้นเห็นสะใภ้หวังมองมาก็เอ่ยว่า “ข้าไปล่ะ”
สะใภ้หวังจุกแปล๊บที่หัวใจ เม้มริมฝีปาก พร้อมขอบตาที่แดงก่ำ
ฉินหมิงเย่ว์และจ้าวอ๋องช่างสมควรตายเสียจริง
หากไม่ใช่เพราะพวกเขา ฉินหลิวซีจะจากไปเช่นนี้ได้อย่างไร
“พวกเขา…”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ พวกเขาทำอะไรข้าไม่ได้หรอก ข้าเคยเตือนฉินหมิงเย่ว์ก่อนแล้ว วันหน้านางจะใช้ชีวิตเช่นไรก็ไม่เกี่ยวอะไรด้วย” ฉินหลิวซีมองท่าทีเศร้าสร้อยของสะใภ้หวังแล้วเอ่ย “ปกติควรใช้ชีวิตเช่นใดก็ใช้ชีวิตเช่นนั้น ถือเสียว่าข้าเป็นอย่างเมื่อก่อน ใช้ชีวิตอยู่ในอารามเต๋า”
“ได้”
เมื่อฉินหลิวซีเดินออกจากห้องหลักไปก็เห็นอนุวั่นยืนอยู่นอกประตู พลางมองนางด้วยท่าทีชั่งใจ
“ด้วยนิสัยของท่าน โชคดีนักที่เจอนายหญิงใหญ่แบบนี้ คนบื้อมักมีโชคของคนบื้อ เป็นแบบนี้ต่อไปก็ดีเหมือนกัน” ฉินหลิวซีถอดถอนหายใจ
อนุวั่นยู่ปาก “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังด่าว่าข้าโง่เขลา”
“ข้าเปล่า ท่านอย่าพูดซี้ซั้วเชียว!” ฉินหลิวซีไม่ยอมรับ
อนุวั่นแค่นเสียงหึ “ถึงปากเจ้าไม่ได้พูด แต่ก่นด่าในใจ ข้ารู้ว่าข้าโง่ แต่ข้ามีความสุขนี่นา”
“อืม นี่ก็จริง”
อนุวั่นอ้าปากเอ่ยขึ้นว่า “อยู่ด้านนอกก็ระวังตัวด้วย อะไรก็เทียบกับตัวเองไม่ได้หรอก ขอแค่ตนใช้ชีวิตอย่างดี สบายใจ ถึงจะคุ้มค่าที่มาเยือนบนโลกใบนี้”
“ได้เลย!”
อนุวั่นมองท่าทีของนางเช่นนั้นก็เอ่ย “เอาล่ะ เจ้าไปเถอะ หากอยู่ด้านนอกแล้วถูกรังแกก็จำทางกลับมา เจ้ายังมีน้องชายคอยหนุนหลังอยู่!”
ฉินหลิวซียิ้มตอบว่าได้ ก่อนจะหันไปมองสะใภ้หวังที่ยืนตรงประตูแวบหนึ่ง จากนั้นถึงเดินจากไป
อนุวั่นอัดอั้นในใจสุดขีด รอกระทั่งนางเดินลับตาไปแล้ว ถึงตระหนักได้ว่าบนใบหน้ามีน้ำเย็นไหลริน พอคลำดูก็เห็นว่าเปียกชุ่มราวกับน้ำค้าง นางจึงเงยหน้าขึ้นมาด่าประโยคหนึ่ง “หิมะนี่ตกนานเท่าไรถึงจะหยุดนะ”
จำได้ว่าตอนเด็กๆ ไม่รู้ว่าใครสอนนางว่าแค่เงยหน้าขึ้น น้ำตาก็จะไม่ไหลลงมาแล้ว เหอะ นางไม่โง่เลยสักนิด
สะใภ้หวังปาดน้ำตาที่หางตาแล้วเอ่ย “ไปเรือนน้องสะใภ้รองกับข้า”
นางอยากเห็นนักว่าตอนที่จ้าวอ๋องรู้ว่าฉินหลิวซีไม่แม้แต่อยากเจอหน้า พวกเขาจะทำหน้าตาอย่างไร
ส่วนฉินหมิงเย่ว์จะยังคิดว่าเส้นทางที่นางเลือกยังเป็นเส้นทางที่งดงามอีกหรือไม่
จ้าวอ๋องเสด็จมาเยือน แต่ตระกูลฉินกลับไม่ได้เปิดประตูใหญ่ เพียงแค่เปิดประตูฝั่งตะวันออกที่นานๆ จะเปิดสักครั้ง นั่นทำให้จ้าวอ๋องไม่ชอบใจอยู่บ้าง แต่ครั้นนึกถึงฉินหลิวซีผู้นี้ เขาจึงอดกลั้นอารมณ์เอาไว้ได้
อย่างน้อยฉินหยวนซานก็มาออกมาต้อนรับตรงประตูด้วยตนเอง
ฉินหมิงเย่ว์น้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าทางครอบครัวจะไม่หลงเหลือศักดิ์ศรีไว้ให้นางแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่นางเองก็เป็นหนึ่งในหญิงสาวตระกูลฉิน ออกเรือนเป็นคนแรก แถมแต่งกับคนดีๆ ด้วย
พอนางแต่งงานกับคนดีๆ ก็พลอยชักนำพี่น้องและคนในตระกูลตามไปด้วย ไม่ดีตรงไหนกัน
ครั้นนางเห็นว่าจ้าวอ๋องไม่ทรงกริ้วก็โล่งอก ขอแค่ได้เจอฉินหลิวซีก็พอแล้ว
แต่นางคิดไม่ถึงว่าจะเจอท่านป้าสะใภ้ใหญ่ตรงหน้าประตูเรือนรองก่อนจะถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกัน ท่านป้าสะใภ้ใหญ่บอกให้นางไปพูดคุยกับสะใภ้เซี่ย สุขภาพของนางไม่ค่อยดี หากฉินหมิงเย่ว์จะอยู่กินมื้อเที่ยงก็ให้ไปกินที่เรือนรอง
ฉินหมิงเย่ว์สีหน้าเปลี่ยน รีบโพล่งถามขึ้นว่า “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ข้าได้ยินมาว่าพี่หญิงใหญ่กลับมาแล้ว ข้าขอพบนางได้หรือไม่…”
ครั้นนางโพล่งถามขึ้นมาอย่างเหนือคาด สะใภ้หวังจึงจ้องมองนาง ทว่าแววตากลับเย็นชาและแฝงความรำคาญใจไว้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนยกใหญ่ นี่หมายความว่าอย่างไรกัน
“ชื่อของฉินหลิวซีไม่ได้อยู่ในสมุดประจำตระกูลฉินอีกต่อไป นางเป็นเพียงเจ้าอาวาสแห่งอารามชิงผิงเมืองหลี” สะใภ้หวังมองใบหน้าอันขาวซีดของฉินหมิงเย่ว์แล้วจึงเอ่ย “พวกเจ้าอย่าคิดหวังใช้ความสัมพันธ์ทางสายเลือดเพื่อเข้าใกล้นางเชียว เพราะมันไร้ประโยชน์”
ฉินหมิงเย่ว์ถูกสายตาคู่นั้นของนางทำเอาตกใจจนเซถอยหลังไปสองก้าว จับข้อมือของสาวรับใช้ไว้แน่น ไอเย็นแทรกซึมเข้าทุกอณูขน หนาวทิ่มเข้าไปถึงในกระดูก
“ท่านป้าสะใภ้ใหญ่หมายความว่าอย่างไร เหตุใดท่าน…”
น้ำตาของสะใภ้หวังไหลรินออกมาเป็นสาย พร้อมเอ่ย “เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ ก็หมายความว่านางเป็นนักบวชอย่างแท้จริงแล้วอย่างไรเล่า!”
พอนางเอ่ยจบก็หมุนตัวเดินจากไป
ฉินหมิงเย่ว์ผงะไปแล้วมองไปทางสะใภ้เซี่ย เอ่ยเสียงเล็กแหลม “ท่านแม่ ตกลงเกิดเรื่องใดขึ้น ท่านแม่เจอพี่หญิงใหญ่หรือไม่ นางอยู่ไหนหรือ ข้าจะไปหานาง”
นางวิ่งเยาะมุ่งหน้าไปทางเรือนตะวันตก
สะใภ้เซี่ยยังไม่ทันพูดอะไร ฉินหมิงซินก็ชิงเรียกรั้งนางไว้ก่อน “ไม่ต้องไปแล้ว ในเมื่อท่านป้าสะใภ้ใหญ่บอกว่านางไปแล้ว เช่นนั้นนางก็คงไปแล้วจริงๆ”
ฉินหมิงเย่ว์ชะงักฝีเท้าแล้วหมุนตัวกลับมา ก่อนใช้สายตาอันคมกริบจับจ้องนาง ปิ่นระย้าที่ปักตรงข้างหูกระแทกเข้าหางตาเพราะแรงเคลื่อนไหวที่มากเกินไป กระทั่งเจ็บจนน้ำตาไหลซึม
ฉินหมิงซินมองนางแล้วเอ่ย “นางบอกแล้วว่าพี่หญิงรองเลือกผิดทาง”
หัวใจของฉินหมิงเย่ว์รัดแน่น ราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบจนเจ็บระบม นางนึกถึงคำพูดเรื่องการแต่งงานที่ฉินหลิวซีเคยกล่าวกับนางได้ว่าต้นหวานปลายขม ต้นขมปลายหวาน[1]
นางแค่เลือกเส้นทางที่เต็มไปด้วยความสุขสบาย นางผิดด้วยหรือ
ฉินหมิงเย่ว์รู้สึกภาพตรงหน้ามืดลง ขาทั้งสองข้างอ่อนยวบก่อนจะนั่งล้มพับลงกับพื้น
[1] สำนวนนี้แปลว่า หากสบายก่อนจะลำบากทีหลัง แต่หากลำบากก่อนจะสบายทีหลัง