คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 994 จวนหมิงอ๋องมีผีผู้เฒ่า
ตอนที่ 994 จวนหมิงอ๋องมีผีผู้เฒ่า
ฉินหลิวซีมองป้ายสีทองตรงหน้าด้วยสีหน้ายากที่จะเอื้อนเอ่ย จวนหมิงอ๋อง!
มีใครบอกนางได้บ้างว่าเหตุใดสถานที่มงคลอย่างจวนหมิงอ๋องถึงกลายเป็นรังซ่อนตัวของผีผู้เฒ่าตัวหนึ่งไปได้
นางแค่ไปเป็นแขกที่ยมโลกแค่สามปี เหล่าผีสางบนโลกมนุษย์เก่งกาจขึ้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ฮ่องเต้แดนวิญญาณ แขกที่ไม่ได้เชิญมาแต่มาเองช่างหน้าไม่อายนัก!
“แล้วผีผู้เฒ่านั่นเป็นใครถึงกล้ามากบดานอยู่ในจวนหมิงอ๋อง เขามีลูกหลานอยู่ทั้งสามโลกหรืออย่างไรกัน” ฉินหลิวซีเอ่ยถามผีหื่นกามพลางเดินเลี้ยวไปทางประตูด้านข้าง กำลังคิดว่าจะไปเรียกตัวมาเลยหรือปีนกำแพงเข้าไปดี
หากเรียกตัวมา อย่างน้อยก็ต้องเข้าไปเจรจากับพวกหมิงอ๋องก่อน เห็นทีปีนเข้าไปคงสะดวกกว่า
ฉินหลิวซีมองซ้ายทีขวาที พอเห็นว่าไม่มีใคร นางจึงรีบก้าวถอยหลัง เพื่อจะได้วิ่งส่งแรงเตรียมปีนข้ามกำแพง
พรึ่บ
อิฐก้อนหนึ่งตกลงมาจากเหนือกำแพง
ฉินหลิวซีตกใจวาบ จวนหมิงอ๋องขัดสนหรืออย่างไร ถึงไร้การซ่อมแซมกำแพงมานานจนอิฐร่วงตกลงมาแล้ว โดยที่นางยังไม่ทันปีนข้ามไปเลยด้วยซ้ำ
คิกๆ
เสียงหัวเราะคิกคักดังแว่วมาจากเหนือกำแพง ฉินหลิวซีเงยหน้าขึ้นมอง พลันรูม่านตาก็หดลง
เหนือกำแพงมีเด็กน้อยน่ารักสวมชุดสีแดงชาด หมวกลายเสือพร้อมพันผ้าพันคอขนจิ้งจอก กำลังเกาะอยู่บนนั้น พลางมองฉินหลิวซีด้วยสองดวงตาเปล่งประกาย ปากขยับหัวเราะพลางน้ำลายไหลยืด
ภายในกำแพงมีเสียงเล็กแหลมโห่ร้องดีใจ
เจ้าเด็กน้อยฉีกยิ้มเริงร่าให้ฉินหลิวซี ยื่นศีรษะและมือยาวเหยียดจนร่างเสียศูนย์ตกลงมา
“อ๊ากกกก!” เสียงแหลมโอดครวญสิ้นหวังดังแว่วมาจากภายในกำแพงอย่างต่อเนื่อง
ฉินหลิวซีเดินเข้าไปหาแล้วรับร่างของเจ้าเด็กน้อยไว้ สายตาอันคมกริบกวาดมองร่างเงาวิญญาณภายในกำแพง
“โอ๊ย ทำเอาผีตกอกตกใจหมด!” ผีหื่นกามกุมหัวใจที่ไร้การเต้นพลางเอ่ย “คนของจวนหมิงอ๋องเลี้ยงเสียข้าวสุกเพียงนี้เชียวหรือ ปล่อยให้เด็กเล็กปีนขึ้นกำแพงเอง หากไม่ใช่เพราะพวกเราอยู่ตรงนี้ นางคงตกลงมาร่างหักหลายส่วนแล้วกระมัง เหตุใดนางถึงกล้าทำนะ อากาศหนาวขนาดนี้ยังปีนกำแพงอีก อยากไต่ขึ้นฟ้าหรืออย่างไร!”
ฉินหลิวซีก้มหน้าสบตากับเด็กน้อย เหมือนเจ้าหนูคิดว่าเป็นเรื่องสนุก แถมยังลุกนั่งในอ้อมอก พลิกตัวก่อนใช้มือลูบไล้ใบหน้าของนาง พร้อมส่งเสียงหัวเราะคิกคักไม่หยุด “พี่สาว พี่สาว”
นางยังขยับเข้าใกล้ผีหื่นกาม พลันคิ้วงามก็ขมวดมุ่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ ก่อนจะขยับเข้าไปแนบอกของฉินหลิวซี ขึงตามองผีหื่นกาม “น่าเกลียด น่าเกลียด!”
ผีหื่นกาม “!”
เจ้าผีเด็กนี่อะไรกัน ไม่มีวาทศิลป์เอาเสียเลย เหตุใดถึงขั้นกล้าจู่โจมผีเล่า!
ไม่สิ หลังจากผีหื่นกามตระหนักขึ้นได้ถึงเอ่ย “เอ๊ะ เหตุใดเจ้าเด็กคนนี้ถึงมองเห็นข้า”
ฉินหลิวซีโบกไม้โบกมือ บอกให้เขาขยับถอยหลังออกไปแล้วเอ่ย “ดวงตาเด็กบริสุทธิ์ มองเห็นสิ่งสกปรกได้ง่าย ไปไกลๆ หน่อย!”
ผีหื่นกาม เหมือนเจ้ากำลังด่าข้าอยู่ แต่ข้ากล้าไม่กล้าพูดอะไรหรอก!
และในเวลานี้เอง เหนือกำแพงก็มีเงาสีดำหลายร่างปรากฏพร้อมเสียงดังสวบๆ ก่อนจะพุ่งเข้ามาหาพวกฉินหลิวซี
“นี่คงเป็นองครักษ์กระมัง ชิ เพิ่งมาโผล่เอาตอนนี้ จะมีพวกเจ้าไว้ทำไมกัน!” ผีหื่นกามสบถอย่างไม่พอใจ ถึงอย่างไรพวกเขาก็มองไม่เห็นเขา เหอะ เขาช่างเป็นวิญญาณที่ไหวพริบดีจริงๆ!
“จวิ้นจู่น้อย” เหล่าองครักษ์พยายามใช้วิชาตัวเบาเดินเข้ามาให้เร็วที่สุด แต่ก็ช้ากว่าหมิงเจินที่ตกลงมา เดิมทีนึกว่าคุณหนูตกลงมากระแทกอย่างแรงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะอยู่ในอ้อมอกของหญิงสาวเป็นอย่างดี
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้มาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร แต่เหล่าองครักษ์ต่างลอบพรูลมหายใจ ก่อนยกประสานมือคำนับให้ฉินหลิวซี “ขอบคุณแม่นางมากที่ช่วยไว้ โปรดส่งจวิ้นจู่น้อยมาให้พวกข้าทีเถิด จวนอ๋องจะตบรางวัลอย่างงามเชียว”
ฉินหลิวซีกลับไม่ได้เอ่ยอะไรเป็นการตำหนิ ในเมื่อจากเมื่อครู่ที่เห็น คงไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์แน่นอน มิเช่นนั้นเด็กน้อยอายุไม่ถึงสองขวบจะปีนขึ้นมาเหนือกำแพงได้อย่างไร
นางอยากส่งตัวเด็กไปให้ แต่ไม่รู้ว่าเด็กน้อยผู้นี้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ใช้เท้าถีบกระโดดเข้าใส่ก่อนมือทั้งสองข้างจะกอดคอของนางไว้แน่นจนเท้าลอยเหนือพื้น กระทั่งแทบเกาะคอของฉินหลิวซีห้อยลงมาแล้ว
ฉินหลิวซี “…”
ตรงประตูด้านข้างมีเสียงดังแว่วมา หนึ่งในนั้นตะโกนเสียงดังขึ้นมาว่าลูกน้อยบังเกิดเกล้าของข้า ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วอวิ๋นอวิ๋น ส่วนอีกคนกลับคำรามหมายสังหารทิ้งเสียให้หมด
ฉินหลิวซีหันไปมอง พลันก็เห็นผู้เฒ่าในชุดเสื้อคลุมใหญ่ลายเสือพร้อมสวมหมวกลายเสือที่ปักด้วยเพชรพลอยบนศีรษะ หากไม่ใช่หมิงอ๋องแล้วจะเป็นใครเล่า
หมิงอ๋องนึกว่าบุตรของตนจะร่วงตกลงไปจนหมดสติ คิดไม่ถึงว่าเจ้าตัวน้อยจะห้อยตัวอยู่บนร่างสูงชะรูดของ…หญิงสาวหรือ
หญิงผู้นี้สวมชุดสีกรมท่า บุคลิกงามสง่า ดูคุ้นหน้าคุ้นตาไม่น้อย
รอกระทั่งเดินเข้าไปใกล้ หมิงอ๋องก็เห็นใบหน้าของนาง สองดวงตาหรี่ลง ฉับพลันก็เบิกโพล่ง ตะโกนราวเสียงระฆัง “ท่านเจ้าอาวาสน้อยเองหรือ”
หมิงหุยชะงักฝีเท้า เขาเห็นหน้าของคนผู้นั้นอย่างชัดเจนแล้ว ก่อนจะแหวกร่างท่านผู้เฒ่าที่หยุดฝีเท้าลงแล้วพุ่งตัวเข้าไปตรงหน้านางอย่างรวดเร็ว กวาดตามองสำรวจรอบหนึ่ง “เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย”
ฉินหลิวซีแกะมือของเด็กน้อยออกแล้วพลิกมือจับปกเสื้อของนางไว้แทน ยิ้มบางๆ แล้วจึงเอ่ย “ท่านอ๋อง ไม่เจอกันนานเชียว”
พอเหล่าบ่าวที่ติดตามอยู่ด้านหลังเห็นว่าจวิ้นจู่น้อยถูกหิ้วร่างห้อยโตงเตงก็ร้องอุทานที ก่อนจะคุกเข่าลง ปล่อยจวิ้นจู่ของเราทีเถิด!
หมิงอ๋องเองก็เบียดตัวขึ้นมา ครั้นเห็นบุตรสาวแกว่งไปมาราวกับชิงช้า หนวดตรงมุมปากก็กระตุกเล็กน้อยกล่าวว่า “ท่านเจ้าอาวาสน้อย ปล่อยตัวเด็กลงก่อนดีกว่า”
“อ้อ” ฉินหลิวซีคลายมือออก สาวน้อยร่วงตกลงบนพื้นหิมะเสียงดังพลั่ก ทว่ากลับไม่ร้องสักแอะ แต่กลับคิดว่าสนุกด้วยซ้ำ ขยับก้นเล็กน้อยก่อนพุ่งเข้าไปกอดสองขาของนางไว้พลางหัวเราะคิกคัก
ทุกคน “…”
“บรรพบุรุษ บรรพบุรุษน้อยของข้า เหตุใดเจ้าถึงปีนขึ้นไปบนกำแพงเช่นนั้น ทำเอาพ่อตกอกตกใจหมด” หมิงอ๋องเดินเข้าไปหา ย่อกายลงหมายอุ้มบุตรสาวขึ้นมา
แต่เหนือคาด เพราะนางยกมือขึ้นเลิกเปิดชุดคลุมของฉินหลิวซีแล้วเข้าไปหลบในนั้น ก่อนจะโผล่หน้าออกมาเพียงครึ่งเดียว
มือของหมิงอ๋องแข็งทื่อ หรือหมิงอ๋องอย่างเขาต้องไปเลิกเปิดเสื้อผ้าอย่างนั้นหรือ
สีหน้าของหมิงหุยดำทะมึนลงก่อนกล่าวว่า “หมิงเจิน รีบออกมาเดี๋ยวนี้”
ฉินหลิวซีงอตัวก่อนจะหิ้วตัวนางขึ้นมา หลบอยู่ใต้เสื้อผ้านางเช่นนี้ จะไม่ให้นางเหลือศักดิ์ศรีแล้วหรือ
นางส่งร่างเด็กน้อยไปให้หมิงหุย นางร้องไห้งอแงตะโกนขึ้นว่า “พี่สาว เอาพี่สาว”
“นางหนู นี่ไม่ใช่พี่สาว นี่เป็นเจ้าอาวาสน้อยที่พ่อมักสนทนาด้วย” ครั้นหมิงอ๋องเห็นว่าบุตรสาวไม่ได้รับบาดเจ็บตรงใดถึงหันมามองฉินหลิวซี เอ่ยว่า “เจ้าอาวาสน้อยมาได้อย่างไรหรือ”
“บังเอิญผ่านมา” ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ถึงอย่างไรก็เดินผ่านมาจริงๆ
“เอ๊ะ เช่นนั้นก็โชคดีที่เจ้าเดินผ่านมาพอดี มิฉะนั้นเจินเอ๋อร์คงเป็นอะไรไปแล้ว ถือว่าเจ้าเป็นผู้มีบุญคุณของนาง ไม่สิ ผู้มีบุญคุณต่อคนทั้งจวนหมิงอ๋อง” หมิงอ๋องกล่าวพร้อมประสานมือ
“เจินหรือ”
“ใช่ นางมีนามว่าหมิงเจิน เพิ่งให้กำเนิดเมื่อสองปีก่อน ตอนท้ายปีก็ครบสองขวบแล้ว โชคดีที่เจ้าอาวาสน้อยเป็นหมอเทวดาฝีมือดี” หมิงอ๋องกล่าวเสียงเจือหัวเราะ เขาทำลายคำสาปลูกโทนเดียวเจ็ดชั่วคนได้เลยมีหน้ากล้าไปเจอบรรพบุรุษตอนตายแล้ว
“ความหมายมาจากคำว่าเต็มเปี่ยมด้วยโชคลาภ ชื่อนี้ตั้งได้ไม่เลวเลย” ฉินหลิวซีมองสาวน้อยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์และดวงตาเป็นประกาย แก้มป๋องเหมือนกระเป๋าเล็กๆ เห็นแล้วน่าหมั่นเขี้ยวชะมัด
หมิงอ๋องยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าเป็นคนตั้งชื่อให้นางเอง”
หมิงหุยมองบ่าวรับใช้ติดตามหมิงเจินที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังด้วยแววตาดุดัน คำรามขึ้นว่า “จวิ้นจู่น้อยหายตัวไปยังไม่รู้เรื่องเลย ข้าจะเก็บพวกเจ้าไว้ทำไม ลากตัวไปโบยจนตายให้หมด”
“ท่านอ๋องน้อยโปรดไว้ชีวิตด้วย กระหม่อมไม่รู้จริงๆ ท่านอ๋องน้อยไว้ชีวิตบ่าวด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ใครจะรู้ว่าเด็กน้อยที่หลับแล้วลุกขึ้นมาได้อย่างไร แถมยังปีนขึ้นกำแพงด้วย
หมิงหุยมององครักษ์ “มัวนิ่งอะไรอยู่เล่า ลากตัวไป”
ฉินหลิวซียกมือปรามไว้ “ช้าก่อน”