คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 995 ใช้เหตุผลก่อนใช้ไม้แข็ง นางเข้าใจดี
ตอนที่ 995 ใช้เหตุผลก่อนใช้ไม้แข็ง นางเข้าใจดี
ครั้นเห็นว่าฉินหลิวซีปรามไว้ หมิงหุยจึงหันมามอง
ฉินหลิวซีเอ่ย “บัดนี้ทุกหนแห่งประสบภัยพิบัติหิมะ ท่านอ๋องน้อยสั่งสมบุญไว้ให้จวิ้นจู่น้อยดีกว่า ถึงแม้เรื่องนี้พวกเขาจะละเลยต่อหน้าที่จริง แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะอยู่ในการควบคุมของเขาทั้งหมด อีกอย่างไม่ใช่การกระทำของมนุษย์ด้วย ดังนั้นอย่าถึงขั้นสังหารเลย”
หมิงหุยนัยน์ตาลึกล้ำ ไม่ใช่การกระทำของมนุษย์หรือ นี่หมายความว่าอย่างไร
เรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติอย่างนั้นหรือ
“ลากตัวเอาไปโบยสามสิบที” หมิงอ๋องสะบัดแขนเสื้อก่อนจะลดโทษ แล้วกล่าวกับฉินหลิวซีว่า “ท่านเจ้าอาวาสน้อย วันนี้อากาศหนาวหิมะกำลังตก สะดวกเข้าไปนั่งดื่มชาร้อนๆ แล้วค่อยคุยกันหรือไม่”
เดิมทีฉินหลิวซีก็มาด้วยเรื่องผีผู้เฒ่าร้อยปีนั่นอยู่แล้ว บัดนี้พอเห็นเขาในจวนหมิงอ๋อง นางย่อมไม่มีทางปฏิเสธ ก่อนจะตามสองปู่หลานเข้าจวนหมิงอ๋องไป
ระหว่างนั้น นางเองก็กำลังพินิจคำใช้เรียกของพวกเขาสองคน ในเมื่อนางรับตำแหน่งเจ้าอาวาสแห่งอารามชิงผิงแล้ว
“หลายปีมานี้พวกเราบริจาคเงินให้อารามชิงผิงมาโดยตลอด และพอจะได้ยินเรื่องนี้มาบ้างแล้ว เพียงแต่เพราะไม่ได้เจอกันมาหลายปี เรื่องเปลี่ยนคำเรียกเลยยังไม่ค่อยชินนัก หวังว่าเจ้าอาวาสจะไม่ถือสา” หมิงอ๋องประสานมือคำนับ
ฉินหลิวซีฉีกยิ้มพร้อมน้อมรับการคำนับ “ไม่เป็นไร”
หมิงหุยมองร่างที่แต่งกายเป็นบุรุษตรงหน้า เรียกได้ว่าเป็นสตรีที่องอาจหล่อเหลามากทีเดียว หากคนผู้นี้รัดหน้าอก คงเป็นได้ทั้งชายหรือหญิง
โดยเฉพาะรอยยิ้มอย่างไม่ใส่ใจนั้น ยิ่งสะกดใจให้เคลิบเคลิ้ม
แต่บุคลิกที่สุขุมเย็นชานั้น กลับชวนให้ไม่กล้ากำแหงใส่ หมิงหุยสะบัดแขนเสื้อเอ่ยถาม “คำพูดของเจ้าอาวาสเมื่อครู่ หมายความว่าอย่างไร เรื่องที่เจินเอ๋อร์ปีนขึ้นกำแพงนั้นไม่ใช่ฝีมือมนุษย์หรือ”
ฉินหลิวซีจิบชาอึกหนึ่ง พยักหน้าเอ่ย “เด็กน้อยที่อายุไม่ถึงสองขวบคนหนึ่งจะอาศัยพละกำลังตนเองปีนขึ้นไปเหนือกำแพงที่สูงขนาดนั้นได้อย่างไร นอกเสียจากนางจะดื้อด้านจริงๆ”
หมิงอ๋องสบถออกมา “แต่นางดื้อมากจริงๆ พละกำลังเหลือล้น ทั้งๆ ที่ตอนอยู่ในท้องแม่ฟังแต่เพลงบรรเลงจากฉินจากกู่เจิง ชมแต่ระบำในวัง ทว่าพอเกิดออกมากลับเหมือนลิงค่าง พอเดินเป็นก็ยิ่งอยู่ไม่สุข ไม่ว่าลูกจวนไหนก็ไม่ดื้อเท่านางแล้ว”
ฉินหลิวซียกแก้วชาขึ้นมาอย่างเงียบๆ เหมือนข้ากำลังฟังคำโอ้อวดแฮะ
“เงียบเถิดเสด็จปู่ นี่คือประเด็นสำคัญหรือ” หมิงหุยขึงตามองเขาแวบหนึ่ง
หมิงอ๋องกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก “เจ้าพูดจาอะไรของเจ้า เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถประกาศหาบุตรเขยให้ท่านอาของเจ้า แล้วยกสมบัติในจวนทั้งหมดให้นางสืบทอดต่อได้”
หมิงหุยกลอกตาขาวใส่ ก่อนจะมองฉินหลิวซีแล้วเอ่ย “ขอโทษด้วย เจิน…หลังจากเสด็จอาเกิดมา เขาก็เป็นเช่นนี้ ท่านพูดต่อเถิด”
ฉินหลิวซีวางแก้วชาลงแล้วเอ่ย “ความจริงใช่ว่าข้าจะบังเอิญเดินผ่านมาเสียทีเดียว แต่กำลังตามหาคน แต่หากจะพูดให้ถูกก็คือ ตามหาผีนั่นเอง”
“ท่านตามมาถึงจวนเราเลยหรือ” หมิงหุยตกตะลึง
ไม่มั้ง ในจวนของพวกเขามีผีหรือ
“นำทางพาข้ามาที่นี่จริงๆ ตอนที่รับตัวจวิ้นจู่น้อย ข้ายังเห็นเงาผีแวบผ่าน เขาเองก็คงไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเด็กเหมือนกัน น่าจะเล่นกับนางขำๆ มากกว่า”
หมิงอ๋องมุ่นคิ้ว “คงไม่ใช่ผีเสด็จแม่ของนางกระมัง”
ฉินหลิวซีมองไปทางเขา
หมิงอ๋องกล่าวเสียงเย้ยหยัน “พระชายาคนใหม่ของข้าไม่มีบุญ พอให้กำเนิดเจินเอ๋อร์แล้วก็สวรรคตเพราะล้มป่วย”
“ไม่ใช่สตรี” ฉินหลิวซีเอ่ย “จะมีแม่คนใดหยอกล้อเล่นกับลูกสาวในวันอากาศหนาวๆ เช่นนี้หรือ”
หมิงอ๋องก็ยิ่งอึดอัดในใจ ยกแก้วชาขึ้นมาดื่มเพื่อกลบเกลื่อน
หมิงหุยลุกขึ้น “เช่นนั้นเจ้าอาวาสโปรดตรวจดูให้ละเอียด เจ้าสิ่งนั้นอยู่ที่ไหนแล้วลงโทษเสีย”
แววตาของเขาทั้งเย็นชาและดุดัน ต่อให้เวลานี้จะไม่ได้เจตนาร้าย แต่วันหน้าเล่า
หมิงเจินเป็นบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของจวนอ๋อง ห้ามเป็นอะไรไปเด็ดขาด หากไม่ใช่เพราะฉินหลิวซีห้ามไว้ บริเวณนอกประตูคงนองไปด้วยเลือดแล้ว
…
ฉินหลิวซีมองไปตามทิศทางที่ผีหื่นกามชี้ไป ผีหื่นกามเอ่ย “ข้าไม่ตามเจ้าไปแล้วกัน ถึงแม้ข้าจะยอมแปรพักตร์ทรยศเพียงเพราะเทียนเล่มเดียว แต่ก็ใช่ว่าจะอยากไปหาความตายถึงที่ เจ้าอย่าลืมเอาของเผาส่งไปให้ข้าด้วย ข้ามีนามว่าจังเชา”
“อืม”
พลันผีหื่นกามก็หายวับไป
หมิงหุยลูบแขน เอ่ยถามฉินหลิวซีโดยแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจว่า “เมื่อครู่เจ้าคุยกับใครหรือ”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ผีที่นำทางมา”
หมิงหุย “…”
ฉินหลิวซีชี้ไปยังตำแหน่งตะวันตกเฉียงใต้ “ตรงนั้นเป็นอะไรหรือ”
หมิงหุยหรี่ตาลงพลางเอ่ย “ตรงนั้นเป็นศาลบรรพบุรุษของตระกูลหมิง”
ศาลบรรพบุรุษของตระกูลหรือ หรือจะเป็นผีบ้านประจำจวนหมิงอ๋อง
ฉินหลิวซีรุดเดินเข้าไปพร้อมกับอีกสองคน กระทั่งเดินมาตรงหน้าศาลของบรรพบุรุษ ซึ่งด้านข้างประตูมีผู้เฒ่าอายุเกินห้าสิบคนหนึ่งคอยเฝ้าอยู่ ศาลบรรพบุรุษเองก็ใส่กุญแจไว้ด้วย
“เหล่าอวี้โถวเปิดประตู” หมิงหุยเดินไปตรงหน้าผู้เฒ่าคนนั้นแล้วเอ่ย
เหล่าอวี้โถวกุลีกุจอรีบควานหากุญแจก่อนเปิดประตูที่หนักอึ้งออก ไม้จันทน์ขาวส่งกลิ่นหอมลอยมา พอยืนอยู่ตรงกลางศาลก็เห็นแผ่นไม้วางเรียงรายสาดเข้านัยน์ตา
หมิงอ๋องเอ่ย “เจ้าอาวาสคงเข้าใจผิดแล้วกระมัง ที่นี่ล้วนเป็นบรรพบุรุษหลายชั่วอายุคนของตระกูลหมิงทั้งสิ้น”
หมิงหุยเองก็ใจเต้นตุ้มต่อม คงไม่ใช่ว่าบรรพบุรุษในตระกูลหยอกล้อเจินเอ๋อร์เล่นกระมัง เช่นนั้นหากหาตัวเจอแล้วเขาควรจะลงโทษหรือไม่ลงโทษดีเล่า
นี่มันเหมือนคำถามเสี่ยงตายเลยทีเดียว!
“ใช่หรือไม่แค่ถามก็รู้แล้ว เจ้าว่าอย่างไรเล่า” ฉินหลิวซีจับจ้องหนึ่งในป้ายชื่อที่วางเรียงรายซึ่งสลักว่าหมิงอวี้ก่อนโพล่งถามขึ้น
พลันมีลมพัดโชยภายในศาลบรรพบุรุษ แรงลมมหาศาลจนทำเอาเสื้อคลุมของหมิงอ๋องและหมิงหุยเลิกเปิดขึ้น
ไอเย็นอึมครึมแทรกซึมเข้ากระดูก
หมิงอ๋องหนาวจนร่างสั่นสะท้าน ฟันบนล่างกระทบกัน กล่าวเสียงสั่น “ถาม ถามใครหรือ”
“บรรพบุรุษเก่าแก่ของพวกท่าน หมิงอวี้ ออกมาเถิด” ฉินหลิวซีเอ่ย
ใบหน้าหล่อเหลาของหมิงหุยแข็งทื่อเล็กน้อย ไม่นานก็หาป้ายชื่อบรรพบุรุษนามว่าหมิงอวี้เจออย่างรวดเร็ว
ฉินหลิวซีเอ่ย “ผีผู้เฒ่าตระกูลหมิง ท่านไม่ออกมา เพราะอยากบีบให้ข้าพังศาลบรรพบุรุษประจำตระกูลใช่หรือไม่”
“กล้าดีหรือนางหนู!” พลันเสียงคำรามทุ้มห้วนของผีก็ดังขึ้น
หมิงหุยและหมิงอ๋องตกใจเฮือก เพราะพวกเขาเองก็ได้ยินเสียงเช่นกัน
ไม่เพียงแต่ได้ยิน พวกเขายังมองเห็นด้วย
ทว่าเห็นเพียงในป้ายชื่อแผ่นนั้นมีร่างเงาสีดำเทามุดออกมา ก่อนจะค่อยๆ กลายเป็นรูปร่าง คิ้วเข้มตาโต หน้าเหลี่ยม ริมฝีปากหนา
หมิงอ๋องกวาดตามองภาพวาดของบรรพบุรุษที่แขวนอยู่ภายในศาลแวบหนึ่ง หากไม่ใช่หมิงอวี้แล้วจะเป็นใคร เป็นเสด็จปู่ทวดของเขานี่เอง
เวลานี้หมิงอวี้ขึงตากลมโตราวกระดิ่งจับจ้องเขา เอ่ยตวาดเสียงดังลั่น “เจ้ามันหลานเนรคุณ เอาตัวกาลกิณีมาศาลบรรพบุรุษซี้ซั้ว คิดอยากพังศาลบรรพบุรุษตระกูลหมิงนักหรือไร”
หมิงอ๋องผู้น่าสงสารต้องมาถูกสั่งสอนตอนอายุปูนนี้ เขาคุกเข่าลงพื้นเสียงดังพลั่ก “เสด็จ เสด็จปู่ทวดผู้ยิ่งใหญ่ โปรดรับการทำความเคารพของเหลนไว้ด้วยเถิด”
หมิงหุยเองก็คุกเข่าลงพื้นอย่างสุภาพ หากเป็นฝีมือของบรรพบุรุษจริงคงลงโทษอะไรไม่ได้ ช่างน่ากลัดกลุ้มนัก!
ฉินหลิวซีเดินเข้าไปแล้วเอ่ย “เจ้าเป็นคนหยอกหลานเล่นหรือ โดยให้นางปีนกำแพงอย่างนั้นหรือ”
“เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย ข้าพาลื่อ[1]เดินเล่น แล้วเจ้าจะทำไมหรือ” เห็นได้ชัดว่าหมิงอวี้เป็นคนฉุนเฉียวง่าย แค่นเสียงใส่ “เจ้าเก่งก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะกลัวเจ้า เห็นแก่ว่าเจ้าวุ่นวายมาช่วยรับตัวเจินเจินไว้ ข้าจะไม่ถือสากับท่าทีไร้มารยาทของเจ้า มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเสีย!”
ฉินหลิวซีงุดหน้าลง “เช่นนั้นก็ตอบคำถามข้ามาหนึ่งขอ”
“ไม่ตอบ ไสหัวไป!”
ฉินหลิวซีฉีกยิ้มให้เขา “ตาเฒ่า ถือว่าข้าให้ความเคารพเจ้าแล้วนะ!”
ผีผู้เฒ่าหมิงอวี้ หมายความว่าเช่นไร
ตุ้บ
พอเขาหันตัวไปก็เห็นป้ายชื่อของตนลอยขึ้นมา ก่อนจะหล่นลงตรงข้างเท้าของฉินหลิวซีเสียงดังตุ้บ อีกทั้งเท้าของนางยังยกค้างอยู่เหนือป้ายชื่อด้วย
“ตอนมาข้าเหยียบขี้หมาพอดี!”
ใช้เหตุผลก่อนใช้ไม้แข็ง นางเข้าใจหลักการนี้ดี!
สองมนุษย์กับหนึ่งผี “…”
ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าอยากเอาอึมาถูป้ายของบรรพบุรุษ (ข้า) นี่เอง!
[1] ลื่อ ลูกของเหลน