คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 996 ล่วงเกินเจ้า นางช่างกล้าดีนัก
ตอนที่ 996 ล่วงเกินเจ้า นางช่างกล้าดีนัก
………………..
หมิงอวี้ถามตนเองว่าตอนเขาเคยเป็นเทพแห่งสงครามลงสมรภูมิรบสังหารศัตรู ในสมรภูมิรบมีอะไรที่ทำไม่ได้บ้าง กระทั่งสมญานามท่านแม่ทัพใหญ่ผู้ทรงเกียรติในรัชสมัยกษัตริย์พระองค์ก่อนยังสร้างความตกใจให้เด็กน้อยร้องไห้ได้เลย
นับตั้งแต่เกิดยันตาย ผ่านเวลายาวนานมากว่าร้อยปี ไม่ว่าคลื่นพายุยักษ์ใหญ่หรือมีทวยเทพคนประหลาดใดที่เขาไม่เคยเห็นบ้าง
แต่เจ้าเด็กสมควรตายตรงหน้านี้กลับทำลายความเข้าใจของเขาพังทลายจนสิ้น!
ไม่เคยเห็นใครไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน!
สองดวงตาทรงกระดิ่งที่แสนดุดันของหมิงอวี้ขึงมองฉินหลิวซี “เจ้าบังอาจนัก!”
เขาจับจ้องเท้าที่ยกอยู่เหนือป้ายชื่อนั้นของฉินหลิวซีอย่างเอาเป็นเอาตาย เสียงลมหายใจถี่ขึ้น เกรงว่านางจะเหยียบลงไปจริงๆ
นั่นคือป้ายชื่อของเขา รวมถึงเป็นวัตถุบรรจุวิญญาณของเขาด้วย หากถูกทำให้แปดเปื้อนขึ้นมา เขาคงคลุ้มคลั่งแน่!
เช่นนี้จะต่างอะไรกับมีสิ่งปฏิกูลคาอยู่บนศีรษะเล่า
ฉินหลิวซีฉีกยิ้มโดยไม่พูดอะไร แต่ฝ่าเท้าขยับลงเล็กน้อย
หมิงอ๋องคลานเข้าไปหา กล่าวอย่างร้อนใจ “เสด็จปู่ทวด ท่านก็ยอม…ไม่สิ ก็แค่ตอบคำถาม ท่านตอบรับไปเถิด”
บรรพบุรุษเอ๋ย เหตุใดท่านต้องลำบากไปหาเรื่องนางด้วย นางใจกล้าจริงๆ นะ!
พอถึงตอนนั้นป้ายชื่อเลอะขึ้นมา ท่านจะชอบใจหรือ
“สารเลว เหตุใดหมิงอวี้อย่างข้าถึงมีคนไม่เอาถ่านอย่างเจ้าด้วย ไสหัวไปเสีย!” หมิงอวี้ทำท่าจะเตะเขา แต่ความจริงส่งไปทางฉินหลิวซีมากกว่า
ข้าไม่เชื่อหรอกว่าผีบำเพ็ญผู้เฒ่าร้อยปีจะต่อกรเด็กคนหนึ่งไม่ได้
เจ้าให้ข้าตอบข้าก็ต้องตอบ ท่านแม่ทัพใหญ่ผู้ทรงเกียรติอย่างเขาไม่ต้องการศักดิ์ศรีแล้วหรืออย่างไร
“หากอยากให้ตอบ เอาชนะข้าให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน!” พอหมิงอวี้ปล่อยพลังผีออกไป ไอหยินหนาวเย็นแทรกกระดูกก็ห่อล้อมร่างฉินหลิวซีแล้วพุ่งออกไปนอกศาลบรรพบุรุษ
ฉินหลิวซี “นี่เป็นเงื่อนไขของเจ้าเองนะ”
หมิงอ๋องและหมิงหุยนิ่งตกตะลึง
ปรมาจารย์ปะทะกับผี ในชีวิตใช่จะเห็นได้ง่าย!
หมิงอ๋องนั่งย่อลงตรงข้างประตูศาล โพล่งถามหลานชาย “เจ้าว่าใครจะชนะ”
หมิงหุยเอ่ยเสียงเบาหวิว “หากข้าขอให้เจ้าอาวาสส่งเขากลับไปแดนยมโลก จะถือว่าข้าเป็นหลานที่เนรคุณหรือไม่”
หมิงอ๋องกวาดตามองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง เจ้าคิดอย่างไรเล่า
“เจินเอ๋อร์ยังเล็ก ผีกับมนุษย์อยู่กันคนละโลก”
หมิงอ๋องได้ยินเช่นนั้น หัวใจก็บีบแน่น นั่นสิ บุตรสาวตัวน้อยของเขายังไม่ถึงสองขวบดีเลย หากวันๆ อยู่แต่กับผีคงถูกรังสีชั่วร้ายรุมเร้ามิใช่หรือ เช่นนั้นคงไม่ดีกระมัง
“เจ้าไปบอกให้ผู้ดูแลแวะไปที่ร้านขายกระดาษกงเต็ก เผาพวกรูปจวนใหญ่ๆ กับสาวงามไปให้เยอะๆ พวกเหล้าบูชาเซ่นไหว้ก็เตรียมไปด้วย อยู่ในโลกมนุษย์นานไปก็คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนัก บอกให้บรรพบุรุษกลับลงไปย่อมดีกว่า!” หมิงอ๋องตรัสด้วยท่าทีมีเหตุมีผล “ดูสิ อยู่บนโลกมนุษย์มีแต่จะถูกซัดกดลงพื้นเช่นนี้!”
แกร๊ก
หมิงหุยมองมือของเขา ถั่วในมือคงเอามาจากโต๊ะเซ่นไหว้ในศาลบรรพบุรุษเมื่อครู่กระมัง แกะคล่องมือเชียว
ชมละครแบบนี้ รอเดี๋ยวบรรพบุรุษผู้เฒ่าก่นด่าเจ้าแน่นอน!
หมิงหุยหันไปก่อนจะมองไปยังทิศทางที่บรรพบุรุษผู้เฒ่าถูกบดขยี้อย่างหนักเพียงฝ่ายเดียว พลันก็ส่ายศีรษะ แล้วยื่นมือออกไปรับก้อนเข็มหิมะ ปีนี้หิมะตกนานมากจริงๆ
“ไม่สู้แล้วๆ โอ๊ย เจ้าจะเตะไปไหน เจ้ายังเป็นผู้หญิงอยู่หรือไม่!” หมิงอวี้โอดร้องครวญคราง
มีปรมาจารย์คนใดที่สู้กับผีแล้วส่งพลังวิญญาณไปทางหมัด ต่อยจริง เตะจริง เจ็บชะมัด!
ฉินหลิวซีบีบคอของเขาไว้แล้วเอ่ย “ข้าคือปรมาจารย์!”
หมิงอวี้ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นปรมาจารย์ แถมโหดเหี้ยมมากด้วย!
“ปล่อยข้า”
ฉินหลิวซีลุกขึ้นแล้วมองเขาจากมุมที่สูงกว่า
หมิงอวี้มองดวงตาสีดำดุจน้ำหมึกคู่นั้น ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรืออย่างไร มักให้ความรู้สึกว่าด้านในมีแสงไฟประกาย แผดเผาร้อนรุ่ม
เขาลุกขึ้นมาจากพื้น ก่อนจะมองทั้งสองปู่หลานที่ไม่รักดีนั่งยองดูละคร พลันก็โมโห ก่อนจะปั้นก้อนหิมะบนพื้นแล้วโยนไปทางพวกเขา
สองปู่หลานหมิงอ๋อง “…”
นี่เป็นเพราะพานโกรธแน่ๆ!
แต่พวกเขาแค่กล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูด
หมิงอวี้ทุเลาความโกรธลงบ้างแล้ว เวลานี้ถึงมองไปทางฉินหลิวซีด้วยความขุ่นเคือง “เจ้าเด็กผู้หญิงคนนี้ อายุไม่เท่าไร แต่ฉุนเฉียวไม่เบา”
“เพราะท่านบีบให้ข้าทำต่างหาก” ฉินหลิวซีมองไปทางเขาด้วยท่าทีเย็นชาแล้วเอ่ย “ตอนแรกที่ข้าให้ความยำเกรง เจ้าก็ควรน้อมรับไว้แล้ว แต่เจ้ากลับวางมาดเป็นท่านแม่ทัพผู้ทรงเกียรติดั่งวีรบุรุษในสนามรบเสียอย่างนั้น”
ดันบีบให้นางใช้พลังทำลายล้างออกมา
หมิงอวี้สะอึกอยู่บ้าง รู้สึกถูกโดนดูแคลนก็มิปาน!
โดยเข้าใจดีว่าพูดไปก็มีแต่โมโห หมิงอวี้เลยตัดสินใจอดกลั้น โดยไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าเด็กนี่
เขาเอ่ยด้วยอารมณ์ขึงโกรธ “เจ้าจะถามเรื่องใด”
“เสด็จปู่ทวด เหตุใดท่านต้องเล่นกับเจินเอ๋อร์เช่นนั้นด้วย แถมยังเอานางไปไว้เหนือกำแพงอีก อากาศหนาวเหน็บขนาดนี้ไม่กลัวนางแข็งตายบ้างหรือ หากเรื่องวันนี้เจ้าอาวาสไม่เดินผ่านมาเห็นเข้า เจินเอ๋อร์ไม่ตกลงมาจนสมองมีปัญหาหรือ”
“เจ้าต่างหากที่สมองมีปัญหา โง่กันทั้งหมดนี่แหละ!” หมิงอวี้ระเบิดความโกรธราวฟ้าผ่า “มีข้าอยู่ ข้าจะปล่อยให้นางตกลงไปได้อย่างไร ต่อให้นางไม่อยู่ ข้าก็ต้องปกป้องดูแลเจินเจินเป็นอย่างดีอยู่แล้ว จำเป็นต้องให้นางมาจุ้นจ้านด้วยหรือ อีกอย่างตระกูลหมิงมีลูกโทนเดียวมาเก้าชั่วคน ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีสาวน้อยน่ารักตัวนุ่มนิ่มโผล่มาสักคน ข้าพานางเล่นสนุกๆ จะเป็นไรไปเล่า”
เพราะเจินเจินน้อยอยากปีนขึ้นกำแพง เขาก็แค่ช่วยให้สาวน้อยสมหวังแล้วผิดด้วยหรือ
หมิงอ๋องคอหด บรรพบุรุษผู้เฒ่ากำลังโมโห ใครจะสู้ไหว
ฉินหลิวซีกอดอกแล้วเอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยเสียงเยือกเย็น “ด่าแต่คนอื่นเห็นมาเยอะละ แต่ไม่เคยเห็นใครด่าตัวเองสักคน”
หมิงอวี้มองค้อนใส่นางแวบหนึ่ง ปากมาก!
หมิงอ๋องเอ่ยเสียงงึมงำ “ปากท่านก็บอกว่าจะปกป้องดูแล แต่นางก็ยังตกลงมาจากกำแพงอยู่ดี ถึงแม้จะถูกเจ้าอาวาสช่วยไว้ แต่ท่านก็ยังหนี ไม่กลัวว่าเจ้าอาวาสจะเป็นโจรลักเด็กบ้างหรือ!”
หมิงอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็ขึงตาใส่ “เจ้าไร้สมอง จะมีโจรลักเด็กคนใดกล้ามาขโมย ข้ามีผีในมือเป็นพันเป็นหมื่นตน ใครจะกล้าขโมยหลานของข้าไป”
เขาไม่มีทางยอมรับเด็ดขาดว่าถูกสายตาคมกริบของฉินหลิวซีที่มองติดตามไม่ห่างกายจับจ้องจนทำเอาเขาใจแป้ว!
อีกอย่างเขาไม่ได้หนี ก็แค่คอยดูอย่างห่างๆ ต่างหาก
หมิงอ๋องจึงไม่กล้าเอ่ยอะไรให้มากความ
ฉินหลิวซีเอ่ย “เรื่องในครอบครัวผ่านไปแล้ว ถึงตาข้าถามแล้ว”
หมิงอวี้มองนาง ไม่ได้จะถามเรื่องหลานหรอกหรือ
“แม้แต่หมิงอ๋องยังอายุปาไปหกสิบกว่าแล้ว ปู่ทวดอย่างเจ้าคงอายุมากกว่าเป็นเท่าทวีคูณ คงเป็นผีมาร้อยกว่าปีแล้วกระมัง เหตุใดยังไม่ไปเกิดใหม่อีก เจ้ามัวแต่เสพสุขกับการดูแลของตระกูลหรือ”
หมิงอวี้รีบอธิบาย “ข้าได้รับการปรนนิบัติจริง แต่เพราะเป็นความกตัญญูของลูกหลานรุ่นหลังอย่างแท้จริง ใช่ว่าให้พวกเขาทำเรื่องเซ่นไหว้เลี้ยงดูผีเสียเมื่อไร”
ถึงแม้เขาจะเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียว แต่ก็รู้ดีว่าการเซ่นไหว้เลี้ยงดูผีไม่ใช่เรื่องดีอะไร ด้วยรากฐานตระกูลหมิงอย่างพวกเขาที่อาศัยความสามารถตนเองต่อสู้อย่างแท้จริง ชื่อเสียงเรื่องความเที่ยงตรงย่อมมากเป็นธรรมดา
ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องน่าเสียดายอย่างมีลูกโทน ยิ่งมาถึงรุ่นหลังๆ ยิ่งแย่ โดยเฉพาะตอนมาถึงรุ่นของหมิงหุย ซึ่งไม่สมบูรณ์มาแต่กำเนิด มีชีวิตอยู่อีกนานเท่าไรยังพูดยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องลงสนามรบ เพราะอ่อนแอราวกับไก่อ่อน
เหลนอย่างหมิงอ๋องถึงจะมีประโยชน์ ถึงอย่างไรก็ให้กำเนิดเจ้าหนูน้อยตัวนุ่มนิ่มออกมา กระทั่งทำลายการมีลูกโทนของตระกูลตลอดทั้งเก้าชั่วคน ซึ่งสมควรได้รับการยกย่อง
ครั้นหมิงอ๋องได้รับสายตาชื่นชมจากบรรพบุรุษผู้เฒ่าเช่นนั้น พลันก็รู้สึกภาคภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก
“ข้าถึงคราวไปเกิดนานแล้ว แต่ไปเกิดใหม่ก็อย่างนั้น เหมือนกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ไม่เห็นน่าสนุก ข้าเลยยกโอกาสนี้ให้บุตรชายข้าแทน ข้าจะเป็นผีทหาร เรียกว่าสอบขุนนางในโลกวิญญาณนั่นเอง” หมิงอวี้เงยหน้าเชิดอกด้วยท่าทีภูมิใจ
หมิงอ๋องเบิกตาโต “ชาติก่อนท่านเป็นแม่ทัพไปยังไม่พอ ตายแล้วยังจะเป็นอีกหรือ”
ท่านยึดติดกับการเป็นแม่ทัพมากเกินไปกระมัง
“การเป็นทหารคือความปรารถนาตั้งแต่ข้าเกิด ในเมื่อเป็นบุรุษก็ต้องเป็นท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่” หมิงอวี้แค่นเสียงใส่
“ผ่านไปร้อยปีแล้ว สอบติดหรือไม่เล่า”
หมิงอวี้ใบหน้าเรียบตึง “…”
ถ้าสอบติดแล้ว เขาจะซุกตัวคอยเลี้ยงเด็กอยู่ที่นี่หรือ