คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 997 ข้าก็คือคนที่เจ้าบอกว่าผีเห็นยังผวานั่นแหละ
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 997 ข้าก็คือคนที่เจ้าบอกว่าผีเห็นยังผวานั่นแหละ
ตอนที่ 997 ข้าก็คือคนที่เจ้าบอกว่าผีเห็นยังผวานั่นแหละ
………………..
ฉินหลิวซีเห็นหมิงอวี้แสดงสีหน้าไม่ดีนัก ท่าทีเหมือนเจ็บแปล๊บราวกับถูกมีดทิ่มแทง ช่างน่าขันนัก
ขอแค่ได้เห็นสีหน้าไม่เป็นสุขของเจ้า ข้าก็สะใจแล้ว ไม่เสียงแรงที่ข้าใช้พลังวิญญาณซัดเจ้าไป
“สอบมาร้อยปียังสอบไม่ติด ผีแม่ทัพสอบยากขนาดนั้นเชียวหรือ ยากกว่าการสอบขุนนางทหารในโลกมนุษย์อีกหรือ” หมิงอ๋องตกใจอยู่บ้าง
หมิงอวี้ยิ้มเย็นชา “บางคนต่อแถวไปเกิดใหม่ยังต้องรอตั้งหลายสิบปี เจ้าคิดว่ามันง่ายหรือ ผีแม่ทัพ เป็นตำแหน่งที่มีทั้งความสามารถและอำนาจ หากอยากนั่งตำแหน่งนั้น ต้องเริ่มจากเป็นทหารก่อน ซึ่งต้องเริ่มเป็นทหารชั้นผู้น้อยในค่ายเหมือนโลกมนุษย์ เจ้าคิดว่ายมโลกไม่มีกฎระเบียบหรืออย่างไร มันก็มีข้อบังคับกฎเกณฑ์เหมือนกัน”
“เช่นนั้นตอนนี้ท่านเป็นผีทหารแล้ว ในเมื่อได้เป็นแล้ว เหตุใดยังโผล่มาเล่นกับเจินเอ๋อร์ได้อีกเล่า” หมิงอ๋องผุดความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา กล่าวขึ้นด้วยท่าทีตกใจ “ท่านหนีการเป็นทหารหรือ!”
“เหลวไหล!” หมิงอวี้คำรามที เอ่ย “ข้าจะหนีทหารได้อย่างไร เพียงแต่ตอบรับการเรียกตัวของปรมาจารย์คนคุ้นเคยมาช่วยจัดการธุระต่างหาก“
แม่เจ้าโว้ย รุ่นหลานของข้ามีฝีมือการต่อสู้ที่แย่หน่อยยังพอว่า เหตุใดสมองถึงใช้การไม่ดีอีกเล่า!
ฉินหลิวซีหรี่ตาลง เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องที่เจ้าต้องทำก็คือตามหาวัตถุดิบล้ำค่าใช่หรือไม่ ดังนั้นเจ้าถึงเรียกรวมพลผีเร่ร่อนมากมายมาลาดตระเวนในเมืองหลวง ก็เพื่อตามหาวัตถุดิบนั้นหรือ”
หมิงอวี้เหลือบมองนางแวบหนึ่ง “เหตุใดข้าต้องบอกเจ้าด้วย”
ฉินหลิวซียิ้มบางแล้วเปลี่ยนประเด็น “เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นผีทหารอยู่ด้านล่าง แต่เจ้ากลับไม่รู้จักข้าอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดข้าต้องรู้จักเจ้าด้วย” ใจของเขาจดจ่ออยู่กับตำแหน่งผีแม่ทัพ ไม่มีทางเคลิบเคลิ้มไปกับแผนการสาวงามแน่นอน เพราะคำว่าสาวงาม แค่ปิดไฟก็เหมือนกันหมด
ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว “ได้ยินมาว่าการสอบทำงานเป็นผีทหารในยมโลก กฎข้อแรกต้องรู้จักคนก่อน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีภาพวาดหนึ่งแพร่สะพัดไปทั่วทุกแห่ง หากไม่รู้จักคนผู้นั้นจะต้องถูกคัดออก เจ้าไม่รู้จักข้าแต่ได้เป็นผีทหาร นี่เจ้าโกงเข้ามาหรือมีคนรู้จักเลยผ่านมาได้กันแน่”
อีกอย่างยังไม่พูดถึงที่นางก่อเรื่องไว้ในยมโลกก่อนหน้านี้ สามปีมานี้นางเป็นแขกอยู่ที่ยมโลก แต่หมิงอวี้กลับไม่รู้จักนางอย่างนั้นหรือ
หมิงอวี้ร้องเสียงเอ๊ะที “เหตุใดเจ้าถึงรู้กฎข้อนี้ด้วย พูดถึงโชคดีที่ข้าสอบเป็นผีทหารได้ตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน มิเช่นนั้นลำพังกฎบ้าๆ ที่สร้างขึ้นมาตลอดหลายปีนี้คงทำให้ข้าตกรอบไปแล้ว ตอนนี้คิดสอบทำงานเป็นผีทหาร คนที่เป็นโรคเฉกเช่นเดียวกับข้าล้วนโดนปัดตกตั้งแต่รอบแรก”
“เจ้าเป็นโรคใดหรือ”
หมิงอวี้เกาศีรษะเอ่ย “ปกติข้าจำใครก็แบบเดียวกันหมด ล้วนมีตาสองข้าง จมูกหนึ่งปากหนึ่งเหมือนกันมิใช่หรือ ดังนั้นพวกเจ้าคิดว่าเป็นผีแม่ทัพง่ายมากหรืออย่างไร ลำพังแค่เป็นทหารธรรมดาๆ ก็ยากแล้ว ใครจะไปคิดว่าการสอบทำงานราชการจะต้องจำคนให้ได้ก่อน หากข้าไม่ใช่ผีตัวเล็กๆ พูดจาไร้น้ำหนัก คงได้คัดค้านไปแล้ว มีสิทธิ์อะไรต้องจำคนที่ได้รับสมญานามว่าผีเห็นยังผวาผู้นั้นให้ได้ก่อนด้วย!”
ทุกคน “…”
เข้าใจแล้ว โรคจำหน้าคนไม่ได้นี่เอง
ฉินหลิวซีหัวเราะเหอะๆ “เช่นนั้นเจ้าก็มองให้ละเอียดว่าข้าเป็นใคร”
หมิงอวี้รู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างหลงตัวเองนัก คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงรั้นต้องให้รู้จักด้วย
เขาจับจ้องนางไม่วางตา พลันแผ่นหลังก็เย็นวาบ ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นภาพวาดของคนผู้นั้น เขายังหลงคิดว่าช่างอ่อนเยาว์นัก แต่ท่าทีกร่างโอหังไม่สนใคร บวกกับความเจ้าเล่ห์ ภาพนั้นจึงค่อยๆ ทับซ้อนกับคนตรงหน้า เหมือนกันเป๊ะ
“เจ้า เจ้า เจ้าก็คือ…” หมิงอวี้หนังศีรษะชาวาบ
หลายปีมานี้เขาถูกโยกย้ายไปเฝ้าที่ขุมนรกโดยไม่สามารถหนีออกมาได้โดยพลการ ทว่าได้ยินเรื่องราวของคนผู้นี้บ้างเป็นครั้งคราว ก่อความวุ่นวายแหกกฎไปทุกเรื่อง ทำเอายมโลกไร้ความสงบ แม้แต่ราชาผู้ยิ่งใหญ่ยังให้ท้ายนาง ทำเอาคนเดาไปต่างๆ นานาว่าเป็นบุตรสาวของพระองค์ตอนมาจุติในโลกมนุษย์ พระองค์ถึงได้ยอมนางขนาดนี้!
ดังนั้นเขาจึงได้ยินมาว่า หากอยากเติบโตในยมโลก เขาจะล่วงเกินใครก็ได้ แต่ห้ามล่วงเกินเทพแห่งความดุร้ายผู้นั้น กระทั่งแยกไม่ออกว่าเจ้าเด็กคนนั้นเป็นชายหรือหญิง นิสัยเจ้าเล่ห์ไร้มารยาท วุ่นวายเป็นที่สุด หากเจอนางต้องเดินอ้อมไปให้ไกลถึงจะถูก
ใช่แล้ว เจ้าเด็กคนนั้นไม่ได้เป็นวิญญาณในยมโลก แต่เป็นปรมาจารย์ในโลกมนุษย์ มีสมญานามว่าปู้ฉิว ซึ่งก็คือคนในภาพวาดนั้นนั่นเอง
“ข้าเอง คนที่เจ้าบอกว่าผีเห็นยังผวานั่นแหละ!”
เพียงครู่เดียวหมิงอวี้ก็เดินถอยเข้าไปภายในโถงศาล ก่อนจะรวดหยิบป้ายชื่อตนเองขึ้นมา เอ่ยเสียงหวาดกลัว “ท่านอย่าเข้ามานะ!“
คนที่ราชายังทำอะไรไม่ได้เช่นนี้ เขาไม่กล้าหาเรื่องด้วยหรอก!
จบกัน เหตุใดเจ้าเหลนลื่อเนรคุณสองคนนี้ถึงไปรู้จักเทพแห่งความดุร้ายผู้นี้ได้นะ
“ข้าไม่เดินเข้าไป แต่ตอนนี้เจ้าบอกข้าได้หรือยังว่าเจ้าทำงานให้ใคร” ฉินหลิวซีเผยสีหน้านิ่งขรึม
หมิงอ๋องกับหมิงหุยสบตากันก่อนจะลุกขึ้น ทั้งสองหดตัวเดินไปอีกฝั่งโดยไม่กล้าปริปากเอ่ยอะไร
ดูจากสถานการณ์แล้ว บรรพบุรุษผู้เฒ่าคงเอาชนะยาก
หมิงอวี้รีบตอบกลับ “ปรมาจารย์อู่ซั่ง”
ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ปรมาจารย์อู่ซั่งคือมหาราชครูที่อาศัยอยู่ในวังผู้นั้นหรือ เจ้ากับเขาสนิทสนมกันขนาดไหน แค่เรียกก็ตอบรับแล้ว”
“ข้ากับเขารู้จักกันมายี่สิบกว่าปี ท่านเองก็เป็นปรมาจารย์ ท่านน่าจะรู้ดีว่าหากติดต่อทวยเทพเชิญดวงวิญญาณ ย่อมเชิญผีที่ตนคุ้นเคยมาทำงานด้วยอยู่แล้ว” หมิงอวี้เปลี่ยนท่าทีผยองในคราแรก เอ่ยอย่างระมัดระวัง “เขาเรียกข้า…เรียกข้าน้อยมาย่อมเป็นไปตามเหตุและผล ในเมื่อคุ้นเคยกัน อีกอย่างเดิมทีเขาเองก็บูชาให้ความเคารพในเรื่องศาสนา ช่วยเรื่องแค่นี้ก็ไม่เห็นเป็นไร”
จุดนี้ฉินหลิวซีย่อมรู้ดี หากปรมาจารย์เชิญผีวิญญาณ ย่อมต้องเชิญคนที่ตนคุ้นเคยถึงจะคุยกันง่ายกว่า
แต่เขาดันสนิทสนมกับมหาราชครูอู่ซั่ง ยิ่งชวนให้คันไม้คันมือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขามีความเกี่ยวข้องกับเซินเซินของนางอีก
“เรียกให้เจ้ามาก็เพื่อช่วยตามหาวัตถุดิบล้ำค่าอย่างนั้นหรือ เขาไปรู้มาได้อย่างไรว่าในเมืองหลวงมีวัตถุดิบล้ำค่า” ฉินหลิวซีเอ่ยถามเสียงเย็นเฉียบ
หมิงอวี้กล่าว “เรื่องนี้ข้าไม่รู้ แต่ปรมาจารย์อู่ซั่งสืบทอดสายเลือดมาจากปรมาจารย์จัง ซึ่งฝีมือเก่งกาจเช่นกัน…แต่แน่นอนว่าสู้ท่านไม่ได้!”
ราชายังกลัวเจ้า แล้วยังมีใครเทียบกับเจ้าได้อีก
พวกหมิงหุยมองมาแวบหนึ่ง ความสง่างามน่าเกรงขามของบรรพบุรุษผู้เฒ่าได้มลายหายไปจนสิ้น แปรเปลี่ยนเป็นสุนัขขี้ประจบ
ฉินหลิวซีเอ่ยถามอีกครั้ง “เข้าได้บอกหรือไม่ว่าของสิ่งนั้นคืออะไร”
หมิงอวี้ส่ายหน้า “คงไม่ใช่วัตถุดิบยาวิเศษวิโสอะไร ในเมื่อเขานำไปใช้ในการปรุงยา น่าจะคำนวณออกมาได้ในไม่กี่วันนี้ เพราะเขาก็เพิ่งเรียกข้ามาเมื่อสองวันนี้เอง”
ฉินหลิวซีเผยสีหน้าถมึงทึง สุนัขมหาราชครูนั่นคิดวางแผนร้ายใส่เซินเซินของนาง ต้องจัดการถึงตาย!
สายตาคมกริบของนางกวาดมองไปทางเขา “มหาราชครูอู่ซั่งหลอกล่อให้ฮ่องเต้หลงใหลในการปรุงยาอายุวัฒนะ ทำเอาบัดนี้ประชาราษฎร์ต่างพากันเกลียดชัง เก็บภาษีมากขึ้น แต่เจ้ายังคิดจะช่วยเขาหาสิ่งนั้น แบบนี้สนับสนุนคนทำชั่วมากกว่ากระมัง เขาให้ผลประโยชน์ใดแก่เจ้าหรือ”
หมิงอวี้กระวนกระวายใจเล็กน้อย ก่อนจะมองพวกหมิงอ๋องแวบหนึ่ง
หมิงหุยมุ่นคิ้ว บรรพบุรุษผู้เฒ่าคงไม่ได้เอาตระกูลไปทำเรื่องแลกเปลี่ยนอะไรด้วยกระมัง
“เขาพูดโน้มน้าวฮ่องเต้ได้” หมิงอวี้เอ่ยเสียงเบา “กราบทูลต่อหน้าฮ่องเต้ไม่กี่ประโยค ย่อมรักษาความมั่งคั่งสูงศักดิ์ของจวนตระกูลหมิงไว้ได้ ส่วนข้าก็ได้รับการบูชาเล็กๆ น้อยๆ”
ความจริงหลักๆ เป็นเพราะทุกคนต่างรู้จักกัน ลำพังแค่เรียกรวมวิญญาณให้ช่วยหาวัตถุดิบล้ำค่ากลับเป็นเพียงคำพูดประโยคเดียว ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ง่ายดายจะตายไป แต่เขาไม่กล้าพูดออกไปเช่นนั้น กลัวโดนดี ในเมื่อดูท่าทางนางจะไม่ชอบใจกับเรื่องนี้สักเท่าไร
หมิงหุยมองสีหน้าที่ขรึมลงเรื่อยๆ ของฉินหลิวซี ก่อนจะรีบเอ่ย “บรรพบุรุษผู้เฒ่า จวนหมิงอ๋องมีก็แค่คนแก่กับเด็กเล็ก อีกอย่างข้าก็สุขภาพไม่ดี ไม่ได้เกะกะลูกตาใคร จวนหมิงอ๋องยิ่งไม่ได้ขวางทางใครด้วย เรื่องสูงศักดิ์มั่งคั่งย่อมไม่ต้องกังวล ท่านไม่จำเป็นต้องไปแลกเปลี่ยนด้วยเรื่องนี้เลย”
ฉินหลิวซียิ้มเยาะ “คนรุ่นหลังของเจ้ายังมองสถานการณ์ออกกว่าเจ้าอีก ขอแค่พวกเขาอยู่อย่างสงบเสงี่ยม แถมไม่ได้มีอำนาจทางการทหารในมือ เรื่องสูงศักดิ์มั่งคั่งย่อมเสพสุขอย่างยาวนาน แต่เพราะเจ้าช่วยคนเลวทำผิด กลับเป็นการทำลายคุณความดีที่สั่งสมมาหลายชั่วอายุคนของจวนตระกูลหมิง เจ้าทำผิดแล้ว”