คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 999 ไปหาถึงที่
ตอนที่ 999 ไปหาถึงที่
………………..
หมิงอวี้รู้สึกว่าตนบ้าไปแล้วจริงๆ เหตุใดถึงตกหลุมพรางของฉินหลิวซีเอาได้ กระทั่งพานางไปหาอู่ซั่ง เขาถูกล้างสมองไปแล้วหรือ
ไม่สิ ถูกบีบให้จำยอมเพราะอิทธิพลของนางต่างหาก
เขาหันมองคนข้างกายอย่างอดไม่ได้ ในใจคิดว่าการที่นางได้รับสมญานามในยมโลกว่าผีเห็นยังกลุ้มก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลเสียทีเดียว ดูจากศาสตร์อำพรางกายของนางแล้วจะมีปรมาจารย์สักกี่คนที่คงไว้ซึ่งอาคมได้นานขนาดนี้ได้
โชคดีที่นางไม่ได้เดินเส้นทางวิถีมาร มิเช่นนั้นด้วยศาสตร์อำพรางกายของนางแล้ว เรื่องอย่างฆ่าคนวางเพลิงคงทำได้หมด แถมจับนางไม่ได้ด้วย
“หากเจ้ายังมองมาทางข้าอีก คนคงมองออกว่าเจ้าดูแปลกๆ” ฉินหลิวซีเอ่ย
หมิงอวี้กล่าว “ท่านกลัวอู่ซั่งด้วยหรือ”
ฉินหลิวซีกลอกตามองใส่เขาที “ข้ากลัวว่าท่าทีกินปูนร้อนท้องของเจ้าจะดึงดูดความสนใจจากเขาต่างหาก”
“ดึงดูดก็ดึงดูดไปสิ ท่านจะยังสู้เอาชนะเขาไม่ได้อีกหรือ”
ฉินหลิวซีอดกลั้น เอ่ยพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “นั่นมันในวังหลวงเชียวนะ!”
หากก่อเรื่องในที่ใหญ่โตขนาดนั้น รังเกียจที่ตัวเองใช้ชีวิตสุขสบายเกินไปหรืออย่างไร
ฆ่าอย่างเงียบๆ ไม่ดีกว่าหรือ
เมื่อหมิงอวี้ถูกนางมองค้อนใส่เช่นนั้นก็เงียบกริบ ผ่านไปสักพักถึงเอ่ยถามอีกครั้ง “ท่านมีความแค้นกับเขาอย่างนั้นหรือ ข้าเห็นเหมือนท่านอยากฆ่าเขามากเหลือเกิน!”
“หากยังพูดอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฆ่าเจ้าเสีย” ฉินหลิวซียิ้มเย็นชา
หมิงอวี้ “…”
จากนั้นหนึ่งคนกับหนึ่งผีก็มาถึงตำหนักของอู่ซั่งทางฝั่งตะวันตกของวังหลวง แต่กลับเห็นบ่าวกำลังจัดวางเครื่องเซ่นบูชาอย่างเป็นทางการ อีกทั้งธูปที่จุดก็เป็นธูปเชิญทวยเทพชั้นดี ธัญพืชผลไม้ที่นำมาถวายก็สดใหม่ ไก่ย่างเนื้อหนังมันวาวอีกหนึ่งตัว กลิ่นหอมสุราชั้นเลิศที่ลอยมาเตะจมูก อีกทั้งเงินกระดาษตำลึงทองสำเร็จรูปเหล่านั้นยิ่งดีเข้าไปใหญ่
เครื่องเซ่นบูชานี้ไม่มีสิ่งใดแย่เลย จัดวางแต่ของดีๆ ที่เหล่าผีทหารอย่างพวกเขาไร้หนทางปฏิเสธได้ หากเป็นเขาก็คงกระหายอยากได้เช่นกัน
ฉินหลิวซีมองไปทางหมิงอวี้ด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มแล้ว เอ่ย “นี่เป็นมิตรภาพที่ก่อเกิดจากเงินทองสิ่งของอย่างนั้นหรือ”
หมิงอวี้เอ่ยด้วยใบหน้าราบเรียบ “ท่านเองก็เป็นแขกประจำในยมโลก คงรู้ว่าโลกเบื้องล่างใช้ชีวิตผลาญเงินทองมากมายเพียงใด ผีทหารทำงานอย่างพวกเรา หากต้องใช้งานเหล่าผีสางย่อมต้องใช้เงินตบรางวัลเพื่อให้ทำงานมิใช่หรือ มิเช่นนั้นหากเรียกตัวมา เขาจะยอมเชื่อฟังเจ้าแล้วทำงานให้ออกมาสมบูรณ์แบบได้อย่างไร”
นึกว่าตายแล้วไม่ต้องใช้เงินหรือ
ช่างไร้เดียงสานัก!
อยู่เบื้องล่างมีเงินทองมากมายแค่ไหนก็ไม่พอ ทั้งไปเกิดช้า ทั้งของราคาสูงลิ่ว อีกอย่างคนในครอบครัวบนโลกมนุษย์ต่อให้บูชากราบไหว้ ล้วนต้องรอถึงเทศกาลถึงจะเผาส่งของไปให้ ปกติอย่างมากก็แค่จุดธูป
ในตระกูลใหญ่ๆ ถึงจะจุดธูปบูชาทุกวัน ครอบครัวยากจน หากไม่ใช่เทศกาลสำคัญ การซื้อธูปเทียนกราบไหว้บูชาต่างๆ ไม่ต้องใช้เงินหรือ
แม้แต่ครอบครัวตระกูลใหญ่ยังไม่ได้รับการบูชาทุกวัน แต่เพราะมีคนกราบไหว้ย่อมไม่ค่อยขัดสน แต่ผีร่อนเร่ที่ไร้คนพักพิงเหล่านั้นต่างหากที่ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ทำได้แค่รอวันเช็งเม้งและวันไหว้ดวงวิญญาณเทศกาลใหญ่ๆ เช่นนี้ถึงจะสามารถแย่งของเซ่นไหว้บูชาได้
ดังนั้นในยมโลกจึงไม่มีผีตนใดที่ไม่ต้องการเงิน
มิเช่นนั้นตามสำนวนที่ว่าเงินสามารถผลักดันให้ผีทำงานได้จะโผล่มาได้อย่างไร
ก็ไม่ใช่เพราะความรู้สึกติดค้างต่อบุญคุณหรอกหรือ
“อืม เป็นไปตามหลักการที่เข้าใจได้” ฉินหลิวซีเอ่ยไปประโยคหนึ่ง ก่อนจะมองนักพรตในชุดคลุมสีกรมท่าซึ่งสวมทับด้วยชุดเนื้อผ้าบางละเอียด พร้อมถือแส้หางม้ายาวไว้ ปากพึมพำท่องบทสวด ฝีเท้าย่างก้าว พร้อมเผายันต์สีเหลืองในมือ
ฝีเท้าก้าวเดินอย่างถูกต้อง ท่าทางดูมนต์ขลัง มาดการเป็นนักพรตถูกแสดงได้อย่างแยบยล ทว่ากลับกลบเกลื่อนความเกลียดชังของฉินหลิวซีที่มีต่อเขาไม่ได้เลย
ฉินหลิวซีผลักหมิงอวี้ทีเอ่ย “ไปเถิด จำเรื่องที่ข้าบอกกับเจ้าไว้ด้วย”
หมิงอวี้ยังไม่ทันส่งเสียงสักแอะก็ปรากฏตัวต่อหน้าอู่ซั่งแล้ว
มหาราชครูอู่ซั่งชะงักไป พลันก็เผยสีหน้าดีใจเอ่ย “ใต้เท้า ท่านมาแล้วหรือ”
หมิงอวี้เผยสีหน้าขึงขัง เอ่ยถามพร้อมวางมาดอย่างน่าเกรงขามว่า “อืม เรียกข้ามาด้วยเรื่องใดหรือ”
มหาราชครูอู่ซั่งฉีกยิ้มพลางชี้ไปทางของเซ่นไหว้บนโต๊ะแล้วเอ่ย “ข้ารู้ว่าใต้เท้าทำงานต้องใช้เงิน ข้าเลยตระเตรียมไว้ให้ท่าน อยากถามว่าเรื่องนั้นมีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง”
ไม่ใช่ว่าเขารีบ เพียงแต่ฝ่าบาททรงส่งคนมาถามวันหนึ่งถึงสามรอบ
หมิงอวี้แค่นเสียงขรึมใส่ที “เจ้าคิดว่าวัตถุดิบล้ำค่ามีเกลื่อนเต็มถนนหรืออย่างไร คิดจะจับก็จับได้เลยหรือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงของศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้น ควานหาจนทั่วก็ยังไม่เจอ เจ้าอย่าพยายามให้เสียเปล่าเลย”
“ไม่มีหรือ” มหาราชครูอู่ซั่งผงะไปก่อนเอ่ย “ไม่น่า ทั้งๆ ที่ข้าก็ตรวจดูแล้ว”
หมิงอวี้มองไปทางซ้ายเยื้องหลังแวบหนึ่งก่อนเอ่ย “ข้าบอกไม่มีก็ไม่มีสิ หากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าก็ไปหาเอง อีกอย่างเจ้าหาสิ่งใดอยู่กันแน่หรือ”
ชั่วขณะนั้นมหาราชครูอู่ซั่งกลับไม่ปริปากพูดสักคำ
ความจริงหมิงอวี้ไม่สนใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่พอตนถามออกไปเช่นนี้ อีกฝ่ายกลับอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่เปิดปาก ในสมองก็ผุดบางอย่างวาบขึ้นมา
เจ้าสุนัขนี่กำลังปกปิดเขา!
หน็อยแน่ ข้าช่วยเจ้า แต่เจ้าดันปกปิดข้า กลัวว่าข้าหาของล้ำค่านั้นเจอจริงๆ แล้วจะฮุบไว้เองอย่างนั้นหรือ
ดี ช่างดีมากจริงๆ!
“ดูท่าทางเจ้าเองก็ใช่ว่าจะเชื่อใจข้า เช่นนั้นคงรบกวนเจ้าแล้ว” หมิงอวี้ยิ้มเย็นชา หมุนตัวหมายเดินจากไป มิตรภาพเช่นนี้ถือว่าป้อนให้สุนัขกินแล้วกัน
อีกอย่างไม่สังเกตเห็นแม้แต่การมีอยู่ของฉินหลิวซีสักนิด เส้นทางนักพรตของเขาคงงั้นๆ
มหาราชครูอู่ซั่งผงะไปก่อนรีบเอ่ย “เปล่า ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ความจริงข้าก็ไม่ได้มั่นใจเท่าไรนัก เพียงแต่ทำนายจากปากว้า[1]ดูแล้วน่าจะเป็นโสมพันปี”
พอเขาเอ่ยจบพลันก็รู้สึกว่าร่างเสียววาบ ราวกับมีบางอย่างกำลังจับจ้องเขาอยู่ พร้อมจะกระโจนกัดเขาได้ทุกเมื่อ
ไอเย็นยะเยือกทะลักทิ่มแทงจากสี่ทิศแปดทาง นี่อากาศหนาวขึ้นกว่าเดิมหรือ
“เจ้าเลอะเลือนไปแล้วหรือ โสมพันปีวิเศษเช่นนั้นจะมาปรากฏตัวอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างไร ต่อให้มีก็คงต้องซ่อนตัวอยู่ในป่าลึก” หมิงอวี้เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “หลายปีมานี้หนาวจนคนตายไม่น้อย ข้ายุ่งจะตายไม่มีเวลาหาให้เจ้าแล้ว ไม่ต้องเรียกหาข้าแล้ว เรียกหาข้าก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกเทพเจ้าตนนั้นเข้าใจผิดว่าสมรู้ร่วมคิดกัน!
“เอ๊ะ ใต้…” มหาราชครูอู่ซั่งเห็นหมิงอวี้หายตัววับไปกับตา พลันสีหน้าก็ขรึมลง ลำพังผีทหารตัวเล็กๆ แต่กลับกล้าผยองใส่เขา ช่างน่าชิงชังนัก
ไม่สิ ก่อนหน้านี้ยังรับปากอยู่ดีๆ เหตุใดจู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจได้
เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่
“ท่านอาจารย์ ยังจะเผากระดาษเงินหยวนเป่าอีกหรือไม่ขอรับ” ศิษย์นักพรตเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
เพราะมหาราชครูอู่ซั่งโมโหหมิงอวี้ อยากเอ่ยว่าเจ้าคู่ควรด้วยหรือ แต่พอคำพูดมาถึงปาก เขากลับอดกลั้นไว้พลางเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ต้องเผาสิ จะเก็บไว้โยนเล่นหรืออย่างไร ไม่รู้หรือว่าผีน้อยรับมือยาก”
เขามีปฏิสัมพันธ์กับผีทหารไม่มากนัก หากคิดจะเรียกตัวมาย่อมต้องอาศัยโชคชะตา ถือว่ารู้จักกับหมิงอวี้มานาน ต่อให้เขาวางตัวสูงส่ง ตนก็ต้องยอม
ศิษย์นักพรตรีบเผาเงินหยวนเป่า
เวลานี้มหาราชครูอู่ซั่งถึงหมุนตัวเดินเข้าตำหนักไป ก่อนจะจุดธูปชั้นดีไหว้รูปปั้นปรมาจารย์จัง จากนั้นถึงหมุนตัวไปด้านหลังมองรูปปั้นที่ดูมีชีวิตชีวา ยามกราบไหว้ยิ่งดูน่าศรัทธา
ฉินหลิวซีมองรูปปั้นตรงหน้า พลันความคุ้นเคยอันน่าประหลาดก็ประเดประดังเข้ามา นางหรี่ตาลง
“ใครอยู่ตรงนั้น” มหาราชครูอู่ซั่งแหวเสียงสูง ในขณะเดียวกันสายตาคมกริบก็กวาดมองไปทางฉินหลิวซี ก่อนจะร่ายคาถาหนึ่งใส่
[1] ปากว้า สภาวะอันแทนด้วยลายลักษณ์ทั้งแปด จำลองความรู้เรื่องความจริงสูงสุดของจักรวาลไว้ในภาพปากว้า