คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 1 เรื่องราวในตระกูลฉิน
ตอนพิเศษ 1 เรื่องราวในตระกูลฉิน
………………..
ในปีคังผิงที่สอง เพื่อสรรหาผู้มีความสามารถ ฮ่องเต้คังผิงทรงจัดตั้งการสอบพิเศษ[1]ขึ้น เมื่อถึงปลายเดือนสามก็ประกาศผลการสอบพิเศษ ทันทีที่หนังสือแจ้งข่าวดีส่งถึงตระกูลฉิน ผู้คนในตระกูลต่างดีใจจนหลั่งน้ำตา
ในฐานะครอบครัวสายตรงของฉินหลิวซี เรื่องราวศึกปราบเทพ พวกเขารับรู้เบื้องหลังจากอารามชิงผิงหลังจบสิ้น ย่อมกระจ่างแจ้งกว่าผู้คนภายนอก ทั้งยังตระหนักดีว่าเด็กคนนี้ ผู้ที่พวกเขาเป็นหนี้บุญคุณมากที่สุด ได้เสียสละเพื่อปวงชนใต้หล้านี้เพียงใด
ทว่าคนในตระกูลฉินหาได้จัดพิธีไว้อาลัย เช่นเดียวกับคนในอารามชิงผิง แม้รู้แจ้งว่านางจากไปแล้ว แต่ยังคงเลือกที่จะเชื่อว่านางเพียงแค่เดินทางไกล วันกลับมาไม่อาจคาดเดา
พวกเขาเพียงแค่สวมชุดสีเรียบโดยไม่รู้ตัว ไม่จัดงานเลี้ยงฉลอง และไม่ร่วมงานเลี้ยงจากเรือนอื่น โชคดีที่ศึกครั้งนั้นทำให้ทั่วแดนต้าเฟิงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า บ้านเมืองที่พังทลายต้องการการฟื้นฟู มีผู้เสียชีวิตมากมาย ในเมืองเซิ่งจิ่งเองก็หม่นหมองไร้รอยยิ้ม ไม่มีกลุ่มชนชั้นสูงใดกล้าจัดงานมงคล
อย่างไร แม้แต่ฝ่าบาทเองก็ได้รับบาดเจ็บหนักจากศึกครั้งนั้น
สำหรับตระกูลฉิน เมื่อผู้อาวุโสฉินรู้ข่าวก็ล้มป่วยลงบนเตียง แม้แต่สะใภ้หวังและอนุวั่นต่างก็ล้มป่วยเช่นกัน หลายเดือนมานี้ตระกูลฉินไร้ซึ่งเสียงหัวเราะ เหลือเพียงความอึดอัดใจ พวกเขาต้องการข่าวดีบางอย่างเพื่อขจัดเงามืดนี้
ฉินหมิงเยี่ยนได้เข้าร่วมการสอบพิเศษครั้งนี้ และสอบติดตำแหน่งจิ้นซื่อ เมื่อหนังสือแจ้งข่าวดีส่งถึงจวน ในที่สุดทุกคนก็มีรอยยิ้มบางเบา
สะใภ้หวังเอ่ยด้วยความโล่งใจกับฉินหมิงเยี่ยน “ไปแจ้งข่าวดีให้พี่หญิงใหญ่ของเจ้าสิ นางคงจะยินดีมากทีเดียว”
ฉินหมิงเยี่ยนพยักหน้า
เขาก้าวออกจากเรือนหลัก ฉินหมิงฉุนเดินตามมาประกบข้าง ทั้งสองพี่น้องเดินคุยกันไป
“พี่รอง ท่านตั้งใจจะไปรับตำแหน่งที่ใดหรือ”
ฉินหมิงเยี่ยน เอ่ย “แม้จะสอบติดจิ้นซื่อ ก็ต้องรอการจัดสรรตำแหน่งก่อน แต่ข้าเกรงว่าปีนี้คงไม่ได้ไปยังหน่วยงานใด”
“เพราะเหตุใดหรือ”
ฉินหมิงเยี่ยนถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ท่านปู่คงไม่อาจอยู่ถึงปลายปีนี้แล้ว”
ฉินหมิงฉุนชะงัก น้ำตาร่วงเผาะ เอ่ยเสียงสั่น “หมายความว่าตระกูลเราต้องสูญเสียคนอีกแล้วหรือ”
ฉินหมิงเยี่ยนหยุดเดินเล็กน้อย จมูกแดงก่ำ รู้สึกจุกแน่นในอก เขาวางมือลงบนบ่าของเขา เอ่ย “ท่านปู่อายุมากแล้ว ช่วงที่อยู่ซีเป่ยก็ลำบากมาก ช่วงสองสามปีนี้ หากไม่มีพี่หญิงใหญ่… เกรงว่าท่านปู่คงไปตั้งนานแล้ว”
“ฮือ ข้าคิดถึงพี่หญิงใหญ่” ฉินหมิงฉุนน้ำตาไหลเป็นสายพลางสะอื้น “นางคงไม่กลับมาอีกแล้วใช่หรือไม่”
ฉินหมิงเยี่ยนดวงตาแดงก่ำ เงยหน้ามองฟ้า กลั้นน้ำตาไว้ เอ่ยเสียงแหบพร่า “ไม่มีทาง”
คนดีอย่างนาง อีกทั้งยังมีความสามารถล้ำเลิศปานนั้น นางจะต้องกลับมาอย่างผู้ชนะที่แท้จริง
ทั้งสองเดินไปยังสวนตะวันตก บังเอิญพบฝาแฝดพี่น้องผิงอันในชุดฝึกฝนสีดำสนิทเดินสวนมา เมื่อเห็นทั้งคู่ก็รีบเดินเข้ามา เอ่ยทักพร้อมกัน “พี่รอง พี่ห้า”
“พวกเจ้าเพิ่งฝึกเสร็จแล้วหรือ ไฉนจึงมาทางนี้” ฉินหมิงเยี่ยนมองพวกเขาที่หน้าตาเหมือนกันราวลูกวัวสองตัว อดไม่ได้ที่จะวางท่าพี่ชายคนโต
ตั้งแต่บ้านของท่านลุงรองถูกท่านปู่ถูกเนรเทศออกไป พี่ชายคนโตของเขาก็ออกเรือนไปแล้ว และด้วยตำแหน่งจวี่เหรินก็ได้รับราชการนอกเมืองเช่นกัน ทุกวันนี้ในจวนมีเพียงเรือนใหญ่กับเรือนสาม เขาจึงถือว่าตนเองเป็นพี่ชายคนโตแทน
สองแฝดสบตากันก่อนจะยิ้มพลางเอ่ย “เรารู้ว่าพี่รองสอบติดจิ้นซื่อ จึงอยากมาบอกข่าวดีกับพี่หญิงใหญ่ด้วย”
แววตาฉินหมิงเยี่ยนอบอุ่นขึ้น เอ่ย “เช่นนั้นไปพร้อมกันเถิด”
พวกเขาเดินเข้าไปในสวนตะวันตก มุ่งตรงไปยังเรือนฝั่งตะวันตก ที่นั่นตั้งหอคอยบูชา ตรงกลางแขวนภาพเหมือนของฉินหลิวซี เด็กสาวที่ยิ้มสดใส แววตาแฝงความหยิ่งทะนง แต่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนกำลังมองพวกเขาอยู่
เมื่อเหล่าพี่น้องมองภาพวาดตรงหน้า สีหน้าล้วนแฝงความสงบสำรวม ต่างหยิบธูปจุดไฟ กราบไหว้สามครั้งด้วยความเคารพ ก่อนปักธูปลงในกระถาง จากนั้นเงยหน้าขึ้น ทุกคนล้วนมีแววโศกเศร้าปรากฏในดวงตา
ฉินหมิงเยี่ยนก้าวไปข้างหน้า โค้งคำนับภาพวาด เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่หญิงใหญ่ ข้าสอบได้เป็นจิ้นซื่อแล้ว วางใจเถิด ครอบครัวฉินยังมีพวกเราเป็นที่พึ่ง จะไม่ล่มสลายแน่นอน”
ฉินหมิงฉุนเองก็เดินขึ้นมาด้านหน้า เอ่ย “ยังมีข้าด้วย แม้ข้าจะเป็นเพียงซิ่วไฉ แต่ในอนาคตจะเอาอย่างพี่รอง เป็นเหมือนพี่รอง ปกป้องตระกูลฉิน”
“พวกเราก็ด้วย” คู่แฝดพี่น้องก้าวขึ้นมาข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียง เอ่ย “พวกเราจะมุ่งมั่นให้มากขึ้น”
ควันธูปบางเบาลอยขึ้นตรง ปกคลุมภาพหญิงสาวในภาพจนเลือนราง แต่รอยยิ้มของนางกลับยังคงแจ่มชัด
ฉินหมิงเยี่ยนนั้นไม่คาดคิดว่า ตนที่เพิ่งสอบได้ตำแหน่งจิ้นซื่อ จะได้รับพระราชโองการให้เข้าเฝ้าฮ่องเต้
เมื่อฉีเชียนมองเห็นหนุ่มน้อยผู้สง่างามทว่าดูเกร็งเล็กน้อย จึงเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เจ้าติดตามฉังคงมา ก็นับว่าเคยช่วยเหลือข้ามาก่อน นับเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา บัดนี้เจ้าสอบได้เป็นจิ้นซื่อ ถือเป็นศิษย์ของโอรสสวรรค์ พวกเราต่างคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ไม่ต้องเกร็งนัก พูดคุยตามสบายเถิด”
ฉินหมิงเยี่ยนอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนยกมือประสาน เอ่ย “ฝ่าบาท ระเบียบไม่ควรถูกละเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องราวระหว่างกษัตริย์และขุนนางนั้น เขาเคยได้ยินจากท่านอาจารย์ฉังคง กษัตริย์ย่อมต้องเป็นกษัตริย์ ขุนนางย่อมต้องเป็นขุนนาง หากไม่คงไว้ซึ่งความเหมาะสมในบทบาท เอาแต่นำความสัมพันธ์มาค้ำจุน สุดท้ายความสัมพันธ์ย่อมจืดจาง หรืออาจถึงขั้นนำภัยมาสู่ตน
บัดนี้เขาเป็นขุนนางก็ย่อมต้องสำรวมตนให้เหมาะสม
ฉีเชียนถอนหายใจเล็กน้อย เอ่ย “ช่างเถิด บัดนี้เจ้าสอบได้จิ้นซื่อแล้ว คิดหรือไม่ว่าจะไปทำงานที่กรมใด หรือยังคงชอบสืบสวนคดีเช่นเดิม”
ฉินหมิงเยี่ยนลังเลเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านี่คือการเปิดโอกาสให้เลือกไม่ใช่หรือ
ฉีเชียนเห็นว่าเขามีท่าทีคล้ายกังวล จึงเอ่ย “อย่าได้กังวลใจ เอ่ยออกมาตามตรงเถิด เรากับพี่สาวเจ้าก็นับว่าร่วมเป็นร่วมตาย ครอบครัวของนาง ข้าเองต้องให้ความใส่ใจ”
ฉินหมิงเยี่ยนเมื่อได้ยินคำเรียกขานนั้น แม้ในใจสะท้านเล็กน้อย แต่ใบหน้ามิได้แสดงความรู้สึกออกมา จึงเอ่ย “ขอกราบทูลฝ่าบาท หากเป็นไปได้ ข้าปรารถนาไปยังกรมอาญาหรือสำนักฮั่นหลิน ทว่าบัดนี้ ท่านปู่ของข้ามีอายุมากแล้ว ร่างกายก็ไม่แข็งแรงนัก มักหลับใหลมิได้สติ แพทย์หลวงยังกล่าวว่า อาจจะ…หากเลือกแล้ว เกรงว่าอาจไม่สามารถไปรับตำแหน่งในช่วงระยะนี้ได้”
ฉีเชียนเข้าใจจึงเอ่ย “เรื่องนี้เจ้าอย่าได้เป็นกังวล แท้จริงแล้ว ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาที่มีปีศาจอาละวาด ก่อให้เกิดความโกลาหลไปทั่วแผ่นดิน ขณะนี้เป็นช่วงที่ต้องฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน ทุกสิ่งทุกอย่างจำเป็นต้องใช้คนมือถึง เราจึงได้หารือกับกรมโยธาแล้วว่า สำหรับขุนนางที่ประสบเหตุเช่นเจ้า ย่อมจะต้องได้รับการ ‘ยกเว้น[2]’”
ฉินหมิงเยี่ยนได้ยินดังนั้นถึงกับประหลาดใจ
ฉีเชียนยิ้มแฝงความขมขื่น เอ่ย “หากเจ้าออกไปแล้ว เจ้าจะรู้ถึงความเสียหายที่รุนแรงเพียงใด เวลานี้เป็นช่วงเวลาคับขัน และต้องการกำลังคนมาก ดังนั้นจำต้องทำงานรวดเร็ว”
ฉินหมิงเยี่ยนจึงคุกเข่าลง ประสานมือเอ่ย “ศิษย์ขออุทิศตนเพื่อราษฎร”
“ดี เจ้ากลับไปบ้านรอฟังข่าวเถิด หากกรมทั้งสองมีตำแหน่งว่าง รายงานจะถูกส่งขึ้นมา และพระราชโองการจะถูกส่งไปยังบ้านตระกูลฉินทันที”
“กระหม่อม น้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินหมิงเยี่ยนโค้งคำนับ ถอยหลังออกไป ไม่มีความต้องการจะใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว รีบออกจากราชสำนักอย่างรวดเร็ว
พระราชโองการส่งถึงบ้านตระกูลฉิน ฉินหมิงเยี่ยนได้รับตำแหน่งจู่ซื่อ[3]ประจำกรมอาญา เลื่อนเป็นขุนนางขั้นหก นับเป็นตำแหน่งเริ่มต้นที่สูงกว่าจิ้นซื่อคนอื่นๆ ไม่น้อย
สายตาอิจฉาหลายคู่มองมายังเขา ต่างก็เอ่ยปากแซวให้เขาเลี้ยงฉลอง
ฉินหมิงเยี่ยนย่อมเลี้ยงฉลอง ทว่ามื้อเลี้ยงที่จัดขึ้นกลับเป็นงานสีขาว[4]
เพราะในวันที่สามหลังจากได้รับพระราชโองการ ปู่ของเขาฉินหยวนซานได้จากไปด้วยความสงบ ตระกูลฉินจึงตกอยู่ในความโศกเศร้าถ้วนหน้า
[1] การสอบพิเศษที่กษัตริย์ทรงจัดตั้งขึ้น ในระบบการสอบจอหงวนของจีนโบราณ โดยปกติแล้วการสอบเพื่อคัดเลือกขุนนางจะมีรอบการสอบตามกำหนดเวลา เช่นทุกสามปี การสอบที่จัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษจึงจะจัดขึ้นในบางโอกาสตามพระราชประสงค์ของกษัตริย์ ในบริบทของเรื่องนี้ การสอบพิเศษที่กษัตริย์ทรงจัดขึ้นนี้จึงมีขึ้นเพื่อสรรหาคนมีความสามารถเพิ่มเติมในช่วงที่บ้านเมืองกำลังฟื้นฟูจากสงคราม
[2] ยกเว้น หมายถึง ยกเว้นข้อกำหนดที่ขุนนางจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวเมื่อมีการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวที่ใกล้ชิด
[3]จู่ซื่อ ตำแหน่งขั้นนางขั้นหกในกรมอาญา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านกฎหมาย การพิจารณาคดี และการบริหารงานด้านความยุติธรรมในราชสำนัก จู่ซื่อ เป็นข้าราชการที่มีบทบาทสำคัญในงานราชการ แม้จะเป็นระดับเริ่มต้น แต่ถือว่าเป็นก้าวแรกในสายงานราชการที่สามารถเติบโตไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นได้
[4]งานสีขาว เป็นงานเลี้ยงที่จัดในช่วงไว้อาลัยผู้ล่วงลับ เพื่อแสดงความเคารพและขอบคุณผู้ที่มาร่วมงานในบรรยากาศที่สุภาพและเคร่งขรึม