คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 10 มีข้า ดวงชะตาแข็ง
ตอนพิเศษ 10 มีข้า ดวงชะตาแข็ง
………………..
การช่วยฮ่องเต้เฉียนหนิงรวบรวมอำนาจทหารนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจกระทำได้ ทว่าในเรื่องหนี้สิน กลับสามารถทวงคืนได้บ้าง
ดังนั้น เฟิงซิวจึงยื่นใบสัญญาเงินกู้ที่ประทับตราหยกให้ฮ่องเต้เฉียนหนิง ใบนี้เป็นหนี้ที่ปู่ของเขาเคยก่อไว้ เฟิงซิวไม่เรียกร้องมาก ห้าล้านตำลึงก็พอ
ฮ่องเต้เฉียนหนิงถึงกับหน้าถอดสี แต่การคืนเงินเป็นไปไม่ได้หรอก เอ่ยเพียงประโยคเดียวว่า คลังหลวงว่างเปล่า ไม่มีเงินสำรอง พร้อมตีหน้าเศร้าเป็นคนเบี้ยวหนี้อย่างไม่ละอาย
ทว่าเฟิงซิวเมื่อคิดจะทวงหนี้ จะเจรจาอย่างละมุนละม่อมเช่นนั้นหรือ
เป็นไปไม่ได้ มีเขาเป็นเจ้าหนี้ อย่าได้ฝันเฟื่องเลย
เขาเองไม่แตะต้องคลังหลวง แต่ลอบเทคลังส่วนพระองค์ของฮ่องเต้เฉียนหนิงจนว่างเปล่า
สมบัติมีค่าที่ประเมินได้ห้าล้านตำลึงถูกเก็บกวาดจนไม่เหลือแม้แต่ฝุ่น
ขันทีที่เฝ้าคลังส่วนพระองค์วิ่งสะเปะสะปะมารายงานข่าวด้วยความตระหนก ฮ่องเต้เฉียนหนิงที่ได้ฟังถึงกับควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ดวงตาจับจ้องเฟิงซิวนิ่ง
“หนี้บิดาลูกต้องชดใช้ เป็นสัจธรรม” เฟิงซิวเอ่ย เงินอะไรนั่น ข้าไม่สนใจ ของที่มีค่าเทียบเท่าก็พอ
เดิมเขาไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเงินของราชวงศ์แล้ว แต่ในเมื่อฮ่องเต้เฉียนหนิงทำเรื่องไม่สมควร เขาจึงต้องสั่งสอนให้หลาบจำ เพื่อสั่งสอนเด็กดื้อให้รู้ผิดชอบ ก็ต้องริบสิ่งที่อีกฝ่ายหวงแหนที่สุดไป
ต่อหน้าฮ่องเต้เฉียนหนิง เฟิงซิวหยิบใบสัญญาเงินกู้ขึ้นมาเผาไฟ เอ่ย “นี่ไง เลิกแล้วต่อกัน”
ก่อนฉินหลิวซีจะไป เอ่ย “การบริหารบ้านเมืองเพื่อประโยชน์ของราษฎร เป็นหนทางเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเจ้า น่าเสียดายแล้ว” จากนั้นนางหันมองไปยังสนมกู่กุ้ยเฟยที่ล้มตัวอยู่มุมหนึ่ง เปลือกตาขยับไม่หยุด เอ่ย “อย่าได้พระราชทานสมรสแก่สกุลฉิน พวกเขาดวงชะตาแข็ง”
มีข้าอยู่ ชะตาก็ย่อมแข็ง
ฮ่องเต้เฉียนหนิงโกรธทว่าไม่กล้าเอ่ยปาก มองพวกเขาพาตัวนักพรตคิ้วยาวนั่นจากไป เนิ่นนานทีเดียว ก่อนที่เขาจะทำลายข้าวของในตำหนักทั้งหมด เอ่ย “ทหาร”
“ไปตามโหรหลวง เสนาบดีกรมโยธามา ทำลายวิหารเทพให้ข้าเสีย” ฮ่องเต้เฉียนหนิงโกรธจนแทบบ้า เอ่ย “ตามเสนาบดีหลินและติ้งอันโหว…”
ฉินหลิวซีกับเฟิงซิวยืนอยู่หน้าประตูวัง หันกลับไปมองอีกครั้ง เห็นพลังมังกรกระจายหายลับ เงยหน้าขึ้นมองฟ้า เมฆดำพลิกวนเหมือนลางร้าย
ฟ้ากำลังจะเปลี่ยนแล้ว
เมื่อกลับถึงจวนตระกูลฉิน ฉินหมิงเยี่ยนก็รีบออกมาต้อนรับ เอ่ย “ฮ่องเต้ทรงกลั่นแกล้งพี่หญิงใหญ่หรือไม่ หากเป็นเรื่องของตระกูลฉิน พี่หญิงใหญ่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ ไม่ต้องข้องเกี่ยวกับหนี้กรรมนี้”
ฉินหลิวซีเลิกคิ้วเล็กน้อย “สนมกู่กุ้ยเฟยอะไรนั่นต้องการเกี่ยวดองกับตระกูลฉิน พวกเจ้าปฏิเสธ ตอนนี้ฉีหมิงจิ่งอยากพระราชทานสมรสให้”
สีหน้าของฉินหมิงเยี่ยนมืดครึ้มทันที เอ่ย “ตระกูลกู่เพราะมีกุ้ยเฟยอยู่ในวัง จึงยโสโอหังกว่าตระกูลเมิ่งเมื่อครั้งอดีต ลูกหลานตระกูลกู่นั่น เบื้องหน้าดูสง่างามเป็นผู้ดี แท้จริงกลับเสเพลเหลวไหล เขายังเคยเข้าออกหอชายงาม สตรีตระกูลฉินเรา แม้ไม่ใช่สตรีเลื่องชื่อไปทั่ว แต่ล้วนได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี ไม่มีทางกระโดดลงไปในหลุมไฟนี้”
“เช่นนั้นหากมีพระราชทานสมรสออกมาจริงๆ เล่า”
ฉินหมิงเยี่ยน เอ่ยตอบ “พี่หญิงใหญ่คงไม่ทราบ ตระกูลฉินของเรามีตราทองจารึกคำมั่น ซึ่งฮ่องเต้คังผิงประทานไว้ให้ เพียงแต่เราไม่เคยประกาศออกไป ดังนั้นพี่สาวไม่ต้องกังวล หากถึงที่สุดก็เพียงนำตรานั้นออกมาก็พอแล้ว”
ฉินหลิวซีคาดไม่ถึงว่าฉีเชียนจะเคยมอบของล้ำค่าเช่นนั้นให้ตระกูลฉิน หัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “เขาไม่กล้าพระราชทานสมรสหรอก วางใจเถิด ตระกูลฉินรักษาแบบแผนได้ดี พวกเจ้าลำบากแล้ว”
“ไม่กล้าทำให้คำสอนของพี่หญิงใหญ่สูญเปล่า ยิ่งไม่กล้าทำให้พี่หญิงใหญ่ต้องอับอาย”
ฉินหลิวซีมองเขานิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ยื่นมือไปลูบศีรษะเขาเบาๆ “เจ้าแก่ขึ้นแล้ว”
ฉินหมิงเยี่ยนสูดจมูก หัวใจเอ่อท้นไปด้วยความตื้นตัน “พวกเรารอท่านมาหลายปีนัก โชคดีที่รอได้ แม้จะแก่ไปบ้าง แต่ขอเพียงพี่หญิงใหญ่ยินดีกลับมาก็เพียงพอแล้ว”
ฉินหลิวซีให้เขากลับไปพักผ่อน ก่อนจะเรียกนักพรตคิ้วยาวมาสอบถามเรื่องการบูชา
นักพรตคิ้วยาวตอบด้วยท่าทีนอบน้อม “บัดนี้พลังวิญญาณสมบูรณ์ คนที่เข้าสู่เต๋าที่มีพรสวรรค์ ล้วนมีพลังเพิ่มพูนรวดเร็ว แม้การวาดยันต์ ความสำเร็จยังสูงกว่าแต่ก่อน ทว่าไม่เพียงมนุษย์ที่บำเพ็ญได้ เหล่าวิญญาณ ปีศาจก็บำเพ็ญได้เช่นกัน”
เฟิงซิวเอ่ยเสียงเรียบ “มองข้าทำไมหรือ ขอเพียงไม่มาท้าทายข้า ข้าก็เป็นปีศาจที่ดี ทุกชีวิตล้วนเป็นผู้ร่วมชะตาในโลกเดียวกัน มนุษย์บำเพ็ญได้ ปีศาจก็ย่อมบำเพ็ญได้ วิญญาณก็เช่นกัน การต่อสู้น่ะหรือ ย่อมเป็นไปตามธรรมชาติ ปีศาจกล้ำกรายมนุษย์ มนุษย์ล่าปีศาจ นี่คือหนทางแห่งการอยู่รอดของชีวิต ทำนองเดียวกัน หากปีศาจไม่มีจิตคิดร้าย แต่กลับทนต่อความโลภของมนุษย์ไม่ได้ การตอบโต้กลับของปีศาจนั้น ก็หาใช่เรื่องที่ต้องโทษพวกมันไม่ กฎแห่งผู้แข็งแกร่งเป็นผู้รอด มีอยู่ในทุกแห่งหน”
นักพรตคิ้วยาวรีบยิ้มแย้มพร้อมกล่าวขออภัย เอ่ย “ผู้น้อยมิได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่จะกล่าวว่า ในยุคสมัยนี้ของต้าเฟิง ภายใต้การฟื้นฟูของพลังวิญญาณ แท้จริงแล้วกลับอันตรายยิ่งกว่าสมัยก่อนเล็กน้อย ดังที่ราชาปีศาจกล่าวไว้ หากเหล่าปีศาจจำแลงกายเป็นมนุษย์ คนธรรมดาย่อมมิอาจล่วงรู้ได้ว่าเป็นคนหรือเป็นปีศาจ ในโลกนี้มนุษย์มีทั้งดีและร้าย ปีศาจเองก็เช่นกัน หากพบเจอปีศาจหรือวิญญาณร้าย มนุษย์ธรรมดาที่ไร้พลังฝีมือก็เปรียบเสมือนปลาที่รอคอยถูกเชือดเฉือนบนเขียง ดังนั้นจึงมีกลุ่มตระกูลผู้มั่งคั่งบางแห่งที่ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงนิยมว่าจ้าง ‘นักพรตอารักขา’ เหมือนกับการบูชาเทพอารักษ์บ้าน เพื่อปกป้องครอบครัวและผู้คนในตระกูล”
เฟิงซิวมองฉินหลิวซีที่ยังคงนิ่งเงียบ จึงเอ่ย “ยุคสมัยต่างไปแล้ว”
ฉินหลิวซีพยักหน้า หันไปทางนักพรตคิ้วยาว เอ่ย “ในเมื่อเจ้ารู้จัก ‘นักพรตอารักขา’ เช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขามีระดับพลังฝึกตนอยู่ที่ขั้นใด ขั้นสร้างฐานหรือไม่ เจ้ายังมิอาจแตะต้องประตูของขั้นสร้างฐานได้ด้วยซ้ำ แต่กลับถูกฮ่องเต้เฉียนหนิงตามหา นั่นแสดงว่าคนที่เขาหาได้ เจ้านับว่าเป็นคนที่ฝึกตนขั้นสูงแล้ว คนอื่นเล่า”
นักพรตคิ้วยาวหัวเราะแห้งๆ “แน่นอนว่าไม่อาจเทียบเซียนจวินได้”
“ไม่ใช่เทียบข้าไม่ได้ คนที่เก่งกาจจริงๆ ย่อมมิยอมให้โลกียะมาผูกมัด หากสามารถเป็นนักพรตอารักขาให้ตระกูลได้ หากมีเรื่องจากโลกภายนอกมาขอให้ช่วย เจ้าจะช่วยหรือไม่”
นักพรตคิ้วยาวไม่เอ่ยวาจา แต่ในใจนั้นรู้ดีว่าต้องช่วยอย่างแน่นอน เพราะกรรมได้ก่อขึ้นแล้ว ย่อมไม่อาจรับทรัพย์และทรัพยากรของผู้คนไว้โดยไม่สนใจเรื่องใดเลย หากกระทำเช่นนั้นย่อมได้รับผลกรรมตอบสนอง
“เมื่อถูกโลกียะผูกมัด ก็ย่อมไม่อาจมุ่งมั่นในวิถีเซียนได้เต็มที่ เจ้าก็รู้ดีว่าปัจจุบันพลังวิญญาณฟื้นฟูแล้ว ผู้มีวาสนาในเต๋าย่อมสามารถเข้าถึงหนทางการฝึกตนได้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ ปีศาจ วิญญาณ ความแข็งแกร่งย่อมมีคนเหนือกว่าพวกเจ้าอยู่มากมาย เหตุใดพวกเขาจึงไม่รับว่าจ้างเป็นนักพรตอารักขา เพราะพวกเขาไม่คู่ควรอย่างนั้นหรือ”
นักพรตคิ้วยาวสะดุ้ง หัวใจสั่นสะท้าน เป็นไปไม่ได้แน่นอน เหตุผลคือพวกเขาไม่แยแสต่างหาก
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาถึงกับร่างกายแข็งทื่อ
ฉินหลิวซีมองดูเขาที่เริ่มเข้าใจแล้ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่คู่ควร หากแต่พวกเขาเลือกที่จะรอโอกาสที่เหมาะสมเสียมากกว่า”
ฉินหลิวซีเงยหน้ามองไปยังฟากฟ้าเห็นพลังปราณที่แฝงด้วยมลทินไม่บริสุทธิ์นัก ทว่ากลับมากมายกว่าที่เคยเป็นมา เอ่ย “นับพันปีมานี้ พุทธและเต๋าล้วนไร้ผู้ใดสำเร็จวิถีเซียน นั่นเพราะพลังปราณลดน้อยถอยลงทุกวันการบำเพ็ญเพียรจึงยากที่จะก้าวหน้า แต่ในยามนี้พลังปราณเริ่มฟื้นฟู วันข้างหน้า การสำเร็จวิถีเซียนอาจมิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป”
นางละสายตาลง มองไปยังนักพรตคิ้วยาวอีกครั้ง เอ่ย “การจะสำเร็จวิถีเซียนได้นั้น อย่างน้อยต้องสัมผัสประตูแห่งความสมบูรณ์สูงสุดให้ได้เสียก่อน ผู้ที่ยังบำเพ็ญเพียรจนถึงจุดนั้นไม่ได้ จะพูดถึงความสมบูรณ์สูงสุดไปไยเล่า เหล่าผู้ที่บำเพ็ญเพียรอยู่ในดินแดนอันว่างเปล่า เหตุใดจึงไม่ก้าวออกจากหุบเขาเพื่อข้องแวะกับเรื่องราวของโลกภายนอก เป็นเพราะพวกเขาหยิ่งยโสกระนั้นหรือ ไม่ใช่เลย เพราะพวกเขารอบรู้เพียงพอ เข้าใจแจ่มชัดว่าสุดปลายหนทางแห่งเต๋านั้นคือสิ่งใด จึงไม่หลงทิศผิดทาง”
สุดปลายหนทางแห่งเส้นทางแห่งเต๋าคือสิ่งใด ย่อมเป็นการสำเร็จวิถีเซียนเป็นเซียนอมตะ
ในอดีตพวกเขาไม่กล้าคิดฝันถึงสิ่งนี้ แต่ในยามนี้โลกแปรเปลี่ยน พลังปราณเอ่อล้น พวกเขาจึงกล้าที่จะฝันถึงความเป็นไปได้นั้น ทว่าการสำเร็จวิถีเซียนต้องอาศัยการบำเพ็ญเพียรอย่างไม่สิ้นสุด จนถึงที่สุดของความสมบูรณ์
นักพรตคิ้วยาวดุจดั่งได้ดื่มน้ำทิพย์แห่งสวรรค์บรรลุแจ้งในสิ่งที่เคยมืดบอด พลันรู้สึกละอายแก่ใจ ก้าวถอยหลังไปสองก้าว จากนั้นก็คุกเข่าคารวะฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีวางมือไว้ด้านหลัง เอ่ย “จงประพฤติตนให้ดี”
เมื่อนักพรตคิ้วยาวจากไปแล้ว เฟิงซิวก็เอ่ยขึ้น “ได้ท่านเตือนสติ เขาช่างโชคดีเสียจริง”
“จิตแห่งเต๋าของเขายังไม่บิดเบี้ยว ชี้แนะบ้างก็มิใช่เรื่องเสียหาย หากเขาเป็นคนโง่งมดุจไม้ทึบก็คงช่วยอะไรไม่ได้” ฉินหลิวซีเอ่ย “บัดนี้พลังปราณกำลังฟื้นคืน ผู้ที่สามารถบำเพ็ญเพียรได้ ไม่ใช่เพียงแค่พวกเรา แม้แต่เหล่าปีศาจและวิญญาณก็เช่นกัน หากสรรพชีวิตทั้งหลายสมดุล โลกใบเล็กนี้จึงจะยังคงดำรงอยู่ต่อไปได้”
เฟิงซิวเอ่ย “จะมีโอกาสสำเร็จวิถีเซียนจริงหรือ”
“เจ้าอยากหรือไม่” ฉินหลิวซีถามกลับ
เฟิงซิวกะพริบตาปริบ พลันเปลี่ยนร่างกลับไปเป็นขนาดเล็กจ้อย ปีนขึ้นไปนอนพาดบนบ่านาง เอ่ยหยอกล้อ “หากโลกแห่งเซียนนั้นมีอยู่จริง ข้าได้ยินมาว่า เหล่าเซียนหญิงมักจะมีสัตว์วิญญาณ ท่านคิดว่าข้าเหมาะสมหรือไม่ เจ้านาย ข้าขอฝากตัวด้วย พาข้าสำเร็จวิถีเซียนด้วยเถิด”
ฉินหลิวซีหัวเราะพลางด่า พลันดีดเขากระเด็นออกไป “ไสหัวไป”
นางเงยหน้ามองไปยังกลุ่มเมฆที่ลอยเลื่อนดุจมังกรพลิ้วไหวไปทางทิศตะวันตก จากนั้นก็ก้มหน้าลง ดวงตาฉายแววครุ่นคิด ผู้บำเพ็ญเพียรจะสำเร็จวิถีเซียนได้หรือไม่นั้นยังไม่อาจรู้ได้ แต่ราชบัลลังก์นี้จะต้องได้เปลี่ยนผู้ครองอย่างแน่นอน
เป็นเช่นนั้น ในฤดูใบไม้ผลิรัชศกเฉียนหนิงที่สิบสาม ฮ่องเต้เฉียนหนิงอาศัยงานเฉลิมพระชนมพรรษารวบอำนาจเข้าสู่ราชสำนัก เขาเรียกบรรดาอ๋องทั้งหลายกลับสู่เมืองหลวงมาถวายพระพร พร้อมบอกจะยกเลิกตำแหน่งอ๋องและอำนาจท้องถิ่น อีกทั้งเรียกแม่ทัพใหญ่แห่งซีเป่ยพร้อมครอบครัวเข้าร่วมถวายพระพร ทว่าแม่ทัพใหญ่ปฏิเสธการเดินทางด้วยเหตุพรมแดนไม่มั่นคง โดยอ้างการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติในพื้นที่
ขณะเดียวกัน ในเมืองหลวง จวนติ้งซีโหวถูกตรวจสอบ พบหลักฐานซ่อนเสื้อคลุมสีเหลืองไว้โดยมิชอบ ถูกกล่าวหาว่ามีเจตนากบฏ ฮ่องเต้เฉียนหนิงโกรธเกรี้ยว พิพากษาโทษกบฏโดยไม่ฟังความจริง ถอดยศและนำผู้คนในตระกูลติ้งซีโหวเป็นตัวประกันส่งเข้าคุก บีบให้แม่ทัพใหญ่เฉวียนซีเดินทางเข้ามาพิสูจน์ตัวเอง
ห้องขังใหญ่กรมอาญา
นักโทษชราผู้มีศีรษะขาวโพลน เฉวียนจิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องขังเดี่ยว มีเสียงไอแผ่วเบาดังออกมาบางครา ทันใดนั้นเขารู้สึกแข็งค้างไปครู่หนึ่ง หันมองไปด้านข้าง
ฉินหลิวซีปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้า
ดวงตาฝ้าฟางของเฉวียนจิ่งสดใสขึ้นมาทันใด เผยรอยยิ้มออกมา เอ่ย “ได้ยินว่าท่านกลับมาตั้งนานแล้ว เป็นเพราะร่างกายข้าไม่แข็งแรง ไม่อาจลุกจากเตียงไปพบท่าน ไม่คิดเลยว่าหลายสิบปีผ่านไป การพบกันครั้งนี้กลับเป็นในคุกแสนสกปรกแห่งนี้ น่าเสียดายนัก ข้าเป็นเพียงนักโทษ ไม่มีแม้กระทั่งเหล้าไว้รับรองท่าน”
“เจ้าใกล้จะตายแล้ว ยังต้องการเหล้าอีกหรือ” ฉินหลิวซีหยิบสุราไหหนึ่ง และจอกสองใบออกมา
เฉวียนจิ่งชะงัก หัวเราะ “สีเจิงจากไปนานหลายปีแล้ว ข้าเองก็ควรตายไปตั้งนานแล้ว”
เขาเทเหล้าให้ตนเอง ดื่มไปหนึ่งอึก เลิกคิ้วพลางเอ่ย “หรือว่าเจ้ามาส่งข้าเป็นครั้งสุดท้าย”
“อืม” ฉินหลิวซีเอ่ย “เจ้ารู้ความหมายชื่อเฉวียนซีหรือไม่”
เฉวียนจิ่งนิ่งเงียบครุ่นคิด
ฉินหลิวซีเทเหล้าเติมให้เขาจนเต็มจอก เอ่ย “ตัวอักษรซี (曦 หมายถึง แสงอาทิตย์รุ่งอรุณ) เมื่อไร้ดวงอาทิตย์ (日) ก็กลายเป็นกษัตริย์ (羲) จึงหมายถึงไร้ดวงอาทิตย์เป็นฮ่องเต้ เข้าใจหรือไม่”
เฉวียนจิ่งหัวใจกระตุก
ชื่อของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน หมิงจิ่ง (明景) เองก็มีตัว日(ดวงอาทิตย์) เช่นกัน นี่ไม่เท่ากับผลักดันให้ตระกูลของพวกเขากบฏหรอกหรือ
ฉินหลิวซีมองเขา เอ่ย “ฮ่องเต้ไร้ความสามารถ ยึดตนเองเป็นใหญ่ ฟังแต่คนประจบ บีบคั้นประชาชนจนลำบากยากเข็ญ” นางรินเหล้าอีกหนึ่งจอก เอ่ย “ดังนั้น ตระกูลเฉวียนกบฏ ทำให้เป็นจริงก็ไม่เป็นไร ไม่นับว่าสูญเสียเปล่ากับการที่เจ้าต้องนั่งในคุกแห่งนี้”
เฉวียนจิ่งระเบิดเสียงหัวเราะดัง ยกจอกสุราดื่มจนหมด “ข้าเห็นพ้องทุกประการ”
รัชศกเฉวียนหนิงปีที่สิบสาม ปลายเดือนสาม ติ้งซีโหวพุ่งชนกำแพงตายในคุก ฝากตัวอักษรไว้บนผนังคุก เรียกร้องหาความยุติธรรม ข่าวลามออกไปถึงซีเป่ย
แม่ทัพใหญ่ติ้งซีแห่งซีเป่ยเขียนจดหมายเลือดถึงคุณงามความดีของตระกูลเฉวียนต่อแผ่นดินหลายชั่วรุ่น ฝ่าบาทลุ่มหลงในนารี ถูกคนชั่วปั่นหัว ตระกูลเฉวียนจึงต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติบ้านเมืองให้ถูกต้อง
รัชศกเฉียนหนิงปีที่สิบสาม เดือนสี่ ตระกูลเฉวียนก่อกบฏ ในเดือนสิบสองปีเดียวกัน ทัพใหญ่ประชิดเมืองหลวง ฮ่องเต้เฉียนหนิงใช้กระบี่สังหารตนเองบนกำแพงเมือง มีนักพรตลึกลับคล้ายฮ่องเต้ถือตราประทับมามอบแก่แม่ทัพใหญ่ติ้งซี กล่าวว่าเป็นผู้คู่ควรแก่แผ่นดินนี้ รัชศกเฉียนหนิงสิ้นสุดลง
ฮ่องเต้องค์ใหม่สถาปนาแผ่นดินใหม่ภายใต้ราชวงศ์ซี แซ่สกุลแผ่นดินคือเฉวียน บ้านเมืองสงบสุขตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา