คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 11 วาสนาครั้งก่อน : นักพรตชื่อหยวนและศิษย์ทรยศของเขา (1)
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนพิเศษ 11 วาสนาครั้งก่อน : นักพรตชื่อหยวนและศิษย์ทรยศของเขา (1)
ตอนพิเศษ 11 วาสนาครั้งก่อน : นักพรตชื่อหยวนและศิษย์ทรยศของเขา (1)
………………..
รัชศกคังอู่ปีที่เจ็ด เดือนห้า จวนตระกูลฉิน
นักพรตชื่อหยวนในชุดนักพรตเต๋าเก่าๆ เงยหน้ามองกลุ่มพลังมงคลสีแดงเพลิงที่ล่องลอยเหนือจวน กลิ่นอายมงคลนี้แฝงด้วยความกระด้างและรุนแรง ดุดันจนเกือบกลบพลังบารมีและความรุ่งเรืองของขุนนางในจวน สองกระแสพลังขัดแย้งกัน ดึงดูดและผลักไส ทวีความซับซ้อนจนยากจะแยกจาก
นักพรตชื่อหยวนเคาะประตูจวนตรงหน้า บ่าวรับใช้ที่ดูแลประตูจวนโผล่ศีรษะออกมา มองเห็นนักพรตผู้หนึ่งก็ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านนักพรตโปรดรอสักครู่”
เขาปิดประตู ไม่นานก็โผล่หน้าออกมาอีกครั้ง มือถือตะกร้าใบหนึ่งที่เต็มไปด้วยขนมมงคล ไข่แดง และขนมเปี๊ยะ เขายิ้มกว้างหยิบขนมบางส่วนยื่นให้ เอ่ย “ท่านมาถูกจังหวะ วันนี้คุณหนูใหญ่ของเราพึ่งลืมตาดูโลก ทางจวนแจกของมงคล ท่านรับไว้เพื่อเสริมสิริมงคลเถิด”
นักพรตชื่อหยวนรับมาด้วยความประหลาดใจ อีกฝ่ายยังยัดเหรียญทองแดงจำนวนหนึ่งใส่มือเขา
นักพรตชื่อหยวน “…”
เขาเก็บสิ่งของทั้งหมดลงในย่ามที่สะพายอยู่ เอ่ย “ข้ามาเพื่อคุณหนูใหญ่ผู้ลืมตาดูโลกวันนี้ ข้าอยากพบเจ้านายของเจ้า”
บ่าวรับใช้เฝ้าประตูชะงักไปชั่วครู่ เอ่ย “เช่นนั้นท่านรอสักครู่”
ครึ่งชั่วยามต่อมา
นักพรตชื่อหยวนได้พบกับเด็กหญิงผู้นั้นแล้ว ใบหน้าของนางแดงระเรื่อและย่นยู่เหมือนลิงน้อย ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าห่มเนื้อนุ่ม นางหาวหวอด ดวงตาหรี่ปรือ ดูเฉื่อยชาไม่สนใจใคร
สะใภ้หวังเห็นเขาจับจ้อง รู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เอ่ย “ท่านนักพรต เด็กจะเติบโตมาอย่างแข็งแรงใช่หรือไม่ นางดูบอบบางเหลือเกิน”
นักพรตชื่อหยวนมองนาง เอ่ย “หากต้องการให้เด็กคนนี้เติบโตมาอย่างแข็งแรง พวกท่านต้องยอมรับก่อนว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับครอบครัวจะไม่แน่นแฟ้นนัก”
ใบหน้าสะใภ้หวังซีดเผือด นี่หมายความเช่นไร
“เด็กหญิงผู้นี้มีชะตากรรมแปลกประหลาด เป็นศัตรูกับบ้านตระกูลฉิน ฮูหยินชะตาสูงส่ง หากบันทึกนางในนามบุตรของท่าน จะสยบนางได้บ้าง ห้าปีให้หลัง ค่อยออกจากบ้านไปใช้ชีวิต ทุกฝ่ายจึงจะอยู่อย่างสงบ”
สะใภ้หวังขมวดคิ้ว มองเขาด้วยแววตาระแวดระวัง น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ความหมายของท่านนักพรต คือให้พวกเราไล่บุตรสาวของเราออกไปอย่างนั้นหรือ แม้นางจะเป็นเชื้อสายรอง แต่ก็เป็นคุณหนูใหญ่บ้านใหญ่ของตระกูลฉิน หากบันทึกไว้ในชื่อของข้า ก็นับเป็นบุตรสาวเชื้อสายหลัก ตระกูลใดจะขับไล่คุณหนูใหญ่ผู้สูงศักดิ์ออกจากตระกูลบ้างเล่า”
“หากนางไม่ออกจากบ้าน ไม่เข้าสู่เต๋า นางจะอายุสั้น ฮูหยินเองคงไม่อาจทนความเจ็บปวดของการเสียบุตรไปได้อีกกระมัง”
สะใภ้หวังได้ฟังดังนั้น ร่างนางสั่นสะท้าน ดวงตาเบิกกว้างจ้องนักพรตชื่อหยวน น้ำตาคลอ มือจิกแน่นจนเล็บจมลงในฝ่ามือ
นักพรตชื่อหยวนเอ่ย “เด็กคนนี้มีวาสนาเป็นศิษย์ของข้า ข้าจึงมาที่นี่ นางจะอยู่กับพวกท่านอีกห้าปี ด้วยดวงจิตวิญญาณของนางไม่สมบูรณ์ ดวงชะตาตามสี่เสาหลักแห่งปฏิทินฟ้า นางต้องคำสาปห้าโทษสามวิบัติ จะต้องความอ้างว้างและโดดเดี่ยว ชะตานางลิขิตให้เย็นชา ไม่ผูกพันแน่นแฟ้นกับพวกเจ้า ขอให้พวกเจ้าเตรียมใจไว้เถิด”
สะใภ้หวังอยากเอ่ยบางอย่าง นักพรตชื่อหยวนเอยขึ้นอีกครั้ง “อีกสิบห้าปี ตระกูลฉินจะประสบภัยใหญ่ นางเท่านั้นที่จะช่วยให้ตระกูลฉินรอดพ้นได้ แต่มีข้อแม้คือนางต้องเข้าสู่เต๋า ตระกูลฉินจึงจะมีโอกาสรอด”
สิ่งนี้คือพันธนาการที่ชะตากรรมผูกไว้ นางนำพาภัยมา แต่ก็ต้องเป็นผู้ปลดเปลื้องมัน
ศีรษะของสะใภ้หวังมึนงงราวกับมีเสียงหวีดอยู่ในหัว
นักพรตชื่อหยวนยกมือประสานบอกลา วางยันต์ป้องกันภัยหนึ่งแผ่นลงในผ้าอ้อมของเด็กหญิง ไม่ใช่ว่าขี้เหนียว แต่เพียงยันต์แผ่นเดียวก็เพียงพอ เหล่าวิญญาณร้ายใดๆ ไม่กล้าเข้าใกล้นางเป็นแน่
เมื่อเขาก้าวออกจากประตู มองเห็นกระแสน้ำหน้าบ้านไหลไปทางทิศตะวันตก จึงเอ่ยขึ้น “น้ำหน้าประตูไหลสู่ทิศตะวันตก ศิษย์ข้ามาถึง เด็กคนนี้จงมีนามว่า หลิวซี ห้าปีให้หลัง ข้าจะมารับนางกลับไป”
สะใภ้หวังอุ้มห่อผ้าอ้อมอยู่ เสียงร้องเบาๆ ดังขึ้น เรียกสตินางกลับคืน นางก้มมองดู เห็นเด็กหญิงตัวน้อยดิ้นพลางเปิดลำคอร้องไห้ ไม่รู้เพราะเหตุใด
มือนางเริ่มบีบแน่นขึ้น
สายใยจืดจาง เป็นเช่นนี้จริงหรือ
ไม่หรอก นักพรตผู้นั้น เป็นเพียงพวกต้มตุ๋น เอ่ยเหลวไหลเท่านั้น
สะใภ้หวังโยกไกวผ้าอ้อมเบาๆ เอ่ยพึมพำ “เจ้าคือบุตรสาวคนโตของตระกูลฉิน วาสนายืนยาว ย่อมเติบใหญ่โดยปลอดภัย”
…
นางกลับไม่สนใจมากนัก ส่งบุตรชายให้แม่นมแล้วรีบเร่งก้าวไปยังห้องข้างๆ
อนุวั่นอายุน้อยทั้งยังไม่สนใจเรื่องราวใดๆ ร่างกายของเด็กน้อยอ่อนแอจริงๆ ดังนั้นนางจึงบันทึกชื่อเอาไว้ในนามของตน จึงย้ายมาอยู่ในเรือนใหญ่เพื่อดูแลอย่างใกล้ชิด อบรมสั่งสอนด้วยตัวเอง อาศัยอยู่ห้องฝั่งตะวันตก แม้อนุวั่นจะมาอยู่กับนางทุกวันแต่ก็เพียงหยอกล้อ สั่งสอนอะไรไม่ได้
ทว่าดั่งที่นักพรตชื่อหยวนกล่าวไว้ ฉินหลิวซีตั้งแต่เล็กมักเงียบขรึม เย็นชา บางครั้งถึงกับนั่งเหม่อลอยได้ทั้งวัน แม้ภายนอกดูคล้ายเด็กซื่อๆ แต่สะใภ้หวังรู้ดีว่านางกลับฉลาดล้ำ นางสอนให้อ่านหนังสือ เพียงผ่านตาก็จดจำได้
แต่กับคนในตระกูลฉิน นางกลับไม่สนิทสนม คล้ายมีโลกของตนเอง ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายโดยลำพัง
ตอนนี้นักพรตผู้นั้นกลับมาแล้ว
สะใภ้หวังก้าวเข้าไปยังห้องฝั่งตะวันตก พบว่าฉินหลิวซีกำลังลุกจากที่นอน อยู่ในระหว่างให้สาวใช้ช่วยแต่งกาย เมื่อนางเห็นสะใภ้หวังเข้ามา ดวงตากลมโตคู่นั้นจ้องมองมาตาไม่กะพริบ
“ซีเอ๋อร์ตื่นแล้ว” สะใภ้หวังยิ้มเดินเข้าไปหา
ฉินหลิวซีกลัดกระดุมเรียบร้อย เอ่ยขึ้นทันใด “ข้าต้องไปแล้ว”
รอยยิ้มของสะใภ้หวังชะงัก ใบหน้าซีดขาวมองนาง “เจ้า เจ้าว่าอย่างไรนะ”
ฉินหลิวซีมองออกไปนอกหน้าต่าง
มีเสียงเสียงหนึ่งบอกนาง นางควรไปแล้ว บ้านนี้ นางจะอยู่นานไม่ได้
สะใภ้หวังดึงนางมากอดเอาไว้ น้ำตาร่วงพรูออกมา
ไม่นานนัก นายท่านอาวุโสและฮูหยินผู้เฒ่าฝั่งนั้นก็เรียกนางไป นักพรตชื่อหยวนนั่งอยู่ตำแหน่งถัดจากพวกเขาลงมา มองเห็นนางก็ลุกขึ้นคารวะ เอ่ย “ฮูหยิน ข้ามารับลูกศิษย์แล้ว”
สะใภ้หวังสูดหายใจเข้าลึก เอ่ย “เด็ก ไม่ไปไม่ได้จริงๆ หรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ย “สะใภ้หวัง เด็กคนนี้ดวงชะตาแปลกประหลาด เก็บไว้ในบ้าน ไม่เป็นประโยชน์ทั้งต่อนางและต่อตระกูลฉิน ท่านนักพรตชราเพียงพานางกลับบ้านเดิม ต่อไปยังได้เจอกันอีก บ้านเดิมยังมีบ่าวรับใช้อยู่ที่นั่น ไม่เป็นไรหรอก”
นักพรตชื่อหยวนเองก็เอ่ย “อารามชิงผิงอยู่ชานเมืองหลี บ้านเก่าและอารามชิงผิงเป็นที่พักพิง นางเข้าสู่เต๋า ก็เพื่อตนเพื่อผู้อื่น”
หัวใจของสะใภ้หวังเหมือนถูกบีบรัดจนเจ็บปวด นางมองไปยังพ่อสามี แม่สามี และสามีของตน ไม่รู้จะเอ่ยความรู้สึกใดออกมา หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ นางจึงเอ่ย “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไปเตรียมข้าวของให้เด็กและจัดการส่งคนติดตามไปด้วย”
“ฮูหยินไม่ต้องจัดการสิ่งใด เมื่อเข้าสู่ทางเต๋าแล้ว นางย่อมกลายเป็นคนของเต๋า สิ่งที่เรียนรู้ก็คือวิถีช่วยเหลือผู้คน ทางสายนี้มีเพียงนางที่ต้องเดินไปด้วยตัวเอง” นักพรตชื่อหยวนเอ่ย “สิบปีนับจากนี้ พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงและมาเยี่ยมเยีอน สิบปีให้หลัง นางจะกลับมาทดแทนคุณความเมตตาที่ตระกูลฉินเลี้ยงดู”
หัวใจของสะใภ้หวังคล้ายถูกทุบด้วยค้อนหนักๆ นางพลันหมุนกายกลับไปมอง เห็นฉินหลิวซียืนอยู่หน้าประตู จ้องมองมายังพวกเขา ใบหน้าน้อยๆ ที่เย็นชานั้นแฝงไว้ด้วยความงุนงงเล็กน้อย แต่ก็ดูคล้ายจะเข้าใจทุกสิ่ง
สายสัมพันธ์จืดจาง กลับกลายเป็นจริง เด็กคนนี้ พวกเขาไม่อาจเหนี่ยวรั้งไว้ได้