คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 12 นักพรตชื่อหยวนและศิษย์ทรยศของเขา (2)
ตอนพิเศษ 12 นักพรตชื่อหยวนและศิษย์ทรยศของเขา (2)
………………..
เมื่อฉินหลิวซีออกจากบ้าน นางไม่ได้พกสิ่งใดไปเลย มีเพียงห่อผ้าเล็กๆ บนหลัง หลังจากคำนับบอกลาสะใภ้หวังและคนอื่นๆ นางก็เดินตามหลังนักพรตชื่อหยวนออกจากเรือน
สะใภ้หวังและอนุวั่นเดินตามส่งจนถึงหน้าประตูใหญ่ น้ำตานองหน้าไม่ขาดสาย มองเห็นสองร่างหนึ่งเฒ่าหนึ่งเยาว์เดินจากไปทีละก้าว ผ่านตรอกซอย และหายลับไปยังมุมถนน ทั้งคู่ก็ล้มทรุดลงกับพื้น
ตั้งแต่ต้นจนจบ เด็กน้อยคนนั้นไม่ได้หันกลับมามองเลยสักครั้ง
ฉินหมิงเยี่ยนวัยเพียงสองปี เดินเตาะแตะตามออกมาในวงล้อมของเหล่าบ่าว เมื่อมองไปในตรอกที่ไร้เงาผู้ใด เด็กชายก็กางแขนร้องไห้ตะโกนเรียกพี่สาว
สะใภ้หวังอุ้มลูกชายขึ้นมา น้ำตาร่วงเป็นหยาดหยดไม่ขาดสาย
อนุวั่นมีสีหน้ามึนงงเล็กน้อย เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา เด็กคนนี้ไปเช่นนี้น่ะหรือ
ในขณะนั้น บนถนนใหญ่ที่ผู้คนพลุกพล่าน นักพรตชื่อหยวนก้มมองดูเจ้าตัวน้อยที่ตามอยู่ข้างๆ พลางเอ่ยถาม “เหนื่อยหรือไม่”
ฉินหลิวซีเงยหน้าขึ้น ยังไม่ทันได้ตอบ เขาก็เอ่ยต่อ “อดทนไว้เถิด ภายหน้าจะเหนื่อยกว่านี้อีก การเข้าสู่เส้นทางเต๋า บทเรียนแรกคือฝึกฝนร่างกาย ยิ่งเดินมากยิ่งล้มมาก เด็กที่ล้มซ้ำแล้วซ้ำเล่าย่อมเติบโตขึ้นได้”
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว นางยังไม่เข้าใจนัก
นักพรตชื่อหยวนถอนหายใจเบาๆ ลูบศีรษะของนาง เอ่ย “เมื่อออกจากเซิ่งจิง สามวิญญาณเจ็ดปราณของเจ้าจะครบถ้วนสมบูรณ์”
เขาเงยหน้ามองฟ้า มือที่ซุกอยู่ในแขนเสื้อนับวันเวลาอย่างเงียบงัน วันนั้นใกล้จะมาถึงแล้ว
ทั้งสองเดินเท้าออกจากเมือง
เพียงแต่ไม่นาน พลันมีคนเข้ามาขวาง ไม่ใช่อื่นใด ผู้คนเห็นชายในอาภรณ์นักพรตเต๋าเก่าและขาดรุ่งริ่ง นำเด็กหญิงหน้าตางดงามดุจแกะสลักจากหยกมาด้วย เกรงว่าเด็กคนนี้คงไม่ใช่ถูกลักพาตัวมากระมัง
“หนูน้อย หากถูกจับตัวมาให้บอกเถิด พี่สาวอยู่ตรงนี้ จะปกป้องเจ้าเอง” พี่สาวคนสวยที่เห็นความผิดปกติ ชอบความชอบธรรม มองมายังฉินหลิวซี
ฉินหลิวซี “นี่คืออาจารย์ของข้า”
นักพรตชื่อหยวนจึงหยิบใบสำคัญแสดงตนของเต๋าออกมา เขาคือนักพรตเต๋าที่มีใบรับรอง ไม่ใช่คนหลอกลวง
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดซ้ำถึงห้าครั้ง ในที่สุด นักพรตชื่อหยวนก็นำเขม่าดำจากเตามาป้ายบนใบหน้าขาวซีดของฉินหลิวซีให้ดูมอมแมม และหาเสื้อผ้าเด็กเก่าๆ ที่ไม่พอดีตัวให้นางเปลี่ยน จึงพาออกจากเมืองได้อย่างราบรื่น
แต่ว่าเด็กหญิงเดินไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
นางไม่เอ่ยปาก เพียงใช้ดวงตาดำขลับคู่นั้นจ้องมองชื่อหยวน ใบหน้าซีดขาวยิ่งกว่าเมื่อตอนออกจากเรือน
เด็กหญิงผู้นี้วิญญาณไม่ครบถ้วน เกิดมาก็มีร่างกายอ่อนแอกว่าผู้อื่น แม้จะเลี้ยงดูอย่างดีตลอดห้าปี ร่างกายที่อ่อนแอนั้นแม้จะดีขึ้นมากแล้ว แต่คนที่วิญญาณไม่สมบูรณ์ย่อมไม่อาจแข็งแรงเทียบเท่าคนที่มีวิญญาณครบ
การที่นางอดทนมาถึงตอนนี้ก็นับเป็นที่สุดแล้ว
นักพรตชื่อหยวนย่อตัวลง ฉินหลิวซีลังเลเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะปีนขึ้นไปบนหลังเขา วางใบหน้าแนบกับแผ่นหลังที่ไม่กว้างใหญ่และผอมบางนัก แล้วผล็อยหลับไปในไม่ช้า
อาจารย์และศิษย์ทั้งสองค่อยๆ เดินลับไป ทิ้งเซิ่งจิงไว้เบื้องหลัง กลายเป็นอดีตที่ไกลห่าง
สองวันต่อมา นักพรตชื่อหยวนหยุดที่ศาลเทพเจ้าประจำเมืองซึ่งทรุดโทรมแห่งหนึ่ง เขาจัดตั้งค่ายอาคมดาวเจ็ดดวง จุดตะเกียงดาวเจ็ดดวง แล้ววางร่างของฉินหลิวซีที่หลับใหลลงในค่าย
เขานำจุดเลือดปลายนิ้วของนางผสมกับชาดแดง วาดยันต์เรียกวิญญาณบนหว่างคิ้วนาง จากนั้นใช้นิ้วร่ายมนต์และปลดปล่อยพลังลงบนร่างของนาง แสงสีทองส่องวาบขึ้น ตะเกียงดาวเจ็ดดวงไหววูบครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับคืนสู่ความสงบ
นักพรตชื่อหยวนเอนกายลงนั่งหน้าค่ายด้วยท่าขัดสมาธิ ดวงตาอันชรามองออกไปยังภายนอก เอ่ยเสียงเบาแต่ทรงอำนาจ “เด็กคนนี้แตะต้องไม่ได้ จงไปเสีย หากไม่ไป อย่าหาว่าข้าไม่ได้เตือน”
เงามืดที่คืบคลานมาถึงหน้าประตูชะงักลง ไม่รู้กำลังชั่งใจอยู่หรือไม่ ทว่าไม่นานก็หายตัวไป
นักพรตชื่อหยวนมองคนในค่ายอีกครั้ง หลับตาลง ปากพึมพำบทสวด บทส่งวิญญาณดังขึ้นทั่วทั้งศาลเจ้า
เจ็ดวันต่อมา
ฉินหลิวซีลืมตา ลุกขึ้นนั่ง ตะเกียงดาวเจ็ดดวงดับพรึ่บลง ดับทั้งหมด
นักพรตชื่อหยวนเดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้มตาหยี คลี่ยิ้มพลางเอ่ย “ศิษย์รัก ข้าเป็นอา…”
ชื่อหยวนใบหน้าเขียว ดวงตาใหญ่จ้องสบกับดวงตาเล็ก
ดวงตาคู่นั้นยังดำสนิทเช่นเคย แต่ถ้ามองให้ดี ด้านในราวกับมีอะไรเพิ่มขึ้นมา ดูไม่ชัด แต่มีพลังวิญญาณ ราวกับสามารถมองทะลุจิตใจผู้คน
วิญญาณจากต่างภพได้กลับสู่ที่ของมันแล้ว
นักพรตชื่อหยวนถอนหายใจยาวเบาๆ ราชาเทพแห่งนรกภูมิ ไม่ได้หลอกเขา
เพียงแต่เขาจะดูแลศิษย์ผู้นี้ได้จริงหรือ
มือเล็กๆ ข้างหนึ่งมาโบกอยู่ตรงหน้าเขา นักพรตชื่อหยวนหน้าตึง “อาจารย์เป็นอาจารย์ของเจ้า ผู้สืบทอดรุ่นที่สามแห่งอารามชิงผิง เจ้าเป็นศิษย์ที่อาจารย์เพิ่งรับ ฉายาทางเต๋า เรียกว่า ปู้ฉิว เถิด”
ฉินหลิวซี “?”
อะไรกัน
ปู้ฉิว ฉายาทางเต๋าอะไรกัน คนอื่นตั้งชื่อไม่ใช่ต้องมีความหมายและสง่างามหรอกหรือ
นางปู้ฉิว[1]อะไร ไม่แสวงหา ไม่ทะเยอะทะยานหรือ
ดูเหมือนจะไม่เลว
นักพรตชื่อหยวนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ในเมื่อเข้าสู่เต๋า บทเรียนแรกของเจ้าในการฝึกกายได้เริ่มขึ้นแล้ว บทเรียนต่อไปคือการดึงพลังลมปราณเข้าสู่ร่าง ซึ่งเจ้าต้องฝึกฝนทุกวัน ท่องบทคาถากับอาจารย์ เดินลมปราณเถิด ขอเพียงนำลมปราณเข้าสู่ร่างเจ้าสำเร็จ เก็บไว้ที่จุดตันเถียน นั่นแหละที่เจ้าจะถือว่าเข้าสู่ประตูแห่งเต๋าอย่างแท้จริง และมีรากฐานสำหรับการฝึกฝนต่อไป”
ฉินหลิวซีฟังแล้วเงียบไป
นักพรตชื่อหยวนมองนางอย่างไม่แน่ใจว่านางเข้าใจหรือไม่ เขานั่งขัดสมาธิตรงหน้านาง เอ่ย “เรียนกับอาจารย์เถิด นี่เป็นการเข้าสู่เต๋าของอารามชิงผิงของเรา ไม่สืบทอดแก่คนภายนอก”
สองมือเขาทำสัญลักษณ์ ปากร่ายบทสวด ท่าทางเคร่งขรึม
ฉินหลิวซีนั่งดูอยู่แบบนั้น ทันใดนั้นนางมองเห็นพลังจางๆ ม้วนออกมากับบทสวดของเขา ถูกเขาดูดเข้าร่างจนหมด
ตาเฒ่านี้ไม่ใช่นักต้มตุ๋น รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้างแล้ว
หลังจากนักพรตชื่อหยวนทำสมาธิสิ้นสุดลง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เห็นฉินหลิวซีกำลังเท้าคางด้วยท่าทีครุ่นคิด คิดว่าศิษย์น้อยคงจดจำสิ่งที่ตนกล่าวไปไม่ได้ เอ่ย “เจ้ายังเด็ก แต่ผู้ฝึก หาได้ตัดสินด้วยวัย เยาว์วัยก็ไม่ใช่ข้ออ้างสำหรับความเกียจคร้าน เจ้าพึ่งเริ่มศึกษาวิถีเต๋า ไม่ต้องเร่งรีบ เพียงแต่นั่งสมาธิหมุนเวียนลมปราณในร่างกายเช้าเย็น หากยืนหยัดปฏิบัติต่อไป วันหนึ่งเจ้าจะสามารถนำพาลมปราณเข้าสู่ร่างได้อย่างแน่นอน…”
คำพูดของเขาเงียบลงทันทีเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
เด็กน้อยที่นั่งอยู่ตรงข้ามกำลังนั่งขัดสมาธิ มือเล็กๆ ทำสัญลักษณ์มุทราเหมือนที่เขาสาธิตก่อนหน้านี้ บทคาถาที่เขาเอ่ยเพียงครั้งเดียว เด็กหญิงกลับท่องได้อย่างชัดเจน
สายลมปราณบางเบาสายหนึ่งถูกรวบรวมเข้าสู่ร่างของนางได้อย่างน่าอัศจรรย์
เมื่อเห็นฉินหลิวซีบรรลุถึงการเข้าใจวิถีได้อย่างง่ายดาย นักพรตชื่อหยวนรู้สึกใบหน้าเขากระตุกสองครั้ง จากนั้นก็เต็มไปด้วยความยินดี
ขอทวารทั้งสามจงเป็นพยาน ศิษย์นี้จะนำความรุ่งเรืองมาสู่สำนักของข้าเป็นแน่แท้
ฉินหลิวซีรวบรวมลมปราณเข้าสู่ร่างกายสำเร็จด้วยความราบรื่น เมื่อหมุนเวียนลมปราณครบหนึ่งรอบใหญ่ นางรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย คล้ายมีไออุ่นโอบอุ้ม เป็นความรู้สึกที่ดียิ่งนัก
เมื่อหันไปมองนักพรตชื่อหยวน เขาก็เอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง “ไม่เลวเลย เจ้ายังด้อยกว่าข้าเมื่อครั้งเยาว์วัยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จำไว้ว่าห้ามประมาทหรือหลงตัวเอง เจ้าต้องขยันนั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอ การนำลมปราณเข้าสู่ร่างเป็นเพียงขั้นแรก หากเจ้าปรารถนาจะเป็นดั่งเซียนผู้บันดาลสายลมและฝน ปราบปรามอสูรร้าย สิ่งที่เจ้าทำได้ตอนนี้ยังไม่พอ แต่ไม่ต้องกังวล ข้าจะถ่ายทอดมรดกแห่งสำนักให้แก่เจ้าอย่างแน่นอน”
หลังเอ่ยจบ ชื่อหยวนก็มองนางด้วยแววตาจริงจัง เปลี่ยนเรื่องพูด เอ่ยว่า “เจ้าจงจดจำไว้ ผู้ที่เข้าสู่สำนักเรา ห้ามทรยศต่อสำนัก หากผิดคำสัตย์ จะถูกลงทัณฑ์จนถึงแก่ชีวิต”
[1] ปู้ฉิว (不求) หมายถึง ไม่ร้องขอ ไม่แสวงหา ไม่ทะเยอทะยาน