คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 13 นักพรตชื่อหยวนและศิษย์ทรยศของเขา (3)
นักพรตชื่อหยวนรู้สึกว่าตนเองพบสมบัติล้ำค่าแล้วจริงๆ
ฉินหลิวซีช่างเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ทางเต๋าโดยแท้ หนึ่งรูขุมขนเปิด สิบรูขุมขนทั้งหมดพลันเปิดตาม ความเฉลียวฉลาดที่หยั่งรู้ในทันที ช่างเป็นยอดอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่ง
นักพรตชื่อหยวนไม่เร่งร้อนที่จะกลับไปยังเมืองหลี พาเด็กน้อยผู้นี้เดินทางจากทิศเหนือสู่ทิศใต้ หนึ่งเพื่อให้นางมีโอกาสฝึกฝนร่างกาย สองคือเพื่อสอนและเรียนรู้ไปพร้อมกัน
แต่ถึงแม้เจตนาของเขาจะดี ทว่าศิษย์ผู้นี้กลับเกียจคร้านยิ่งนัก ไม่ใช่เพียงเกียจคร้าน แต่ยังเต็มไปด้วยความดื้อดึง สิ่งที่เจ้าไม่ให้ทำ นางก็จะทำ ขัดแย้งเป็นที่สุด
กระนั้น อาจารย์อย่างเขาจะเอ่ยอะไรได้เล่า ศิษย์ที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ เรียนรู้อะไรได้รวดเร็ว หยั่งรู้ในทันที คือศิษย์ที่เขาชื่อหยวนต้องภูมิใจ
ดื้อก็ดื้อไปเถิด อย่างมากก็ด่านางว่าศิษย์ทรยศ ด่าตนเองว่าเป็นเวรเป็นกรรม
โดยเฉพาะเมื่อกินไก่ย่างกับสุรารสดีที่ศิษย์ทรยศได้มาจากการช่วยจับผี อืม มีความสุขจริงๆ ศิษย์ทรยศเป็นใคร ครอบครัวของเขา เห็นได้ชัดว่าเป็นศิษย์เซียนต่างหาก
เพียงแต่ ศิษย์ผู้นี้อารมณ์รุนแรงไปสักหน่อย
นักพรตชื่อหยวนมองดูเด็กน้อยที่กำลังกระหน่ำหมัดใส่วิญญาณร้ายจนแทบไม่เหลือรูปร่าง ลอบเบือนหน้าไปอีกทาง มองไม่เห็น เขามองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
ฉินหลิวซีวิ่งหอบหายใจมาพลางแย่งไก่ย่างในมือเขาไปกินหมดภายในไม่กี่คำ แต่ท้องของนางยังร้องจ๊อกๆ หันไปมองนักพรตชื่อหยวน “เป็นอาจารย์ ศิษย์หิวโซ ยังไม่รู้จักไปจับไก่ป่ามาเลี้ยงลูกศิษย์อีกหรือ”
นางรู้สึกเสียเปรียบ เดินทางมากับตาเฒ่าผู้นี้ เต๋านางเรียน แต่ผีนางก็จัดการ นางทำทุกอย่าง เขาผู้เป็นอาจารย์ทำอะไรเล่า
ปล่อยให้เรียนรู้เองก็ไม่ใช่ปล่อยเช่นนี้ ร่างกายของนางยิ่งอ่อนแอ ยิ่งล่าผี ยิ่งเหนื่อยง่าย ต้องการอาหารจำนวนมาก
ข้อดีคือ การจับผีมาตลอดทาง บวกกับการควบคุมลมปราณ ทำให้นางรู้สึกได้ว่ากระดูกและเส้นเอ็นในร่างกายแข็งแกร่งขึ้น
แต่เรื่องดีนี้ นางจะไม่บอก
ไม่เช่นนั้นตาเฒ่านี้อาจกดดันนางให้ทำงานหนักขึ้น
นักพรตชื่อหยวนไม่อาจล่วงรู้ความคิดซับซ้อนของเด็กน้อยได้ กระแอมเบาๆ เอ่ย “การเคารพอาจารย์และยึดถือหลักเต๋าเป็นบทเรียนสำคัญที่เจ้าต้องเรียนรู้…เดี๋ยว หยุด เจ้าจะไปที่ใด”
ฉินหลิวซีสะพายสัมภาระเล็กๆ ขึ้นหลัง โบกมือโดยไม่หันกลับมา “ที่นี่ไม่เลี้ยงศิษย์ ย่อมมีที่อื่นเลี้ยง ข้าดูอารามศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านมาก็ดูไม่เลว ดูร่ำรวย น่าจะเลี้ยงดูข้าได้”
นักพรตชื่อหยวน “!”
ฟังสิ นี่คือคำพูดของเด็กห้าขวบเชียวหรือ
“กลับมา อาจารย์จะพาเจ้าไปกินดื่มให้อิ่มหนำ” นักพรตชื่อหยวนรีบคว้าสัมภาระแล้ววิ่งตามไป
สองชั่วยามต่อมา นักพรตชื่อหยวนพาฉินหลิวซีมายืนอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่แห่งหนึ่ง ชายชรากับเด็กหญิงเงยหน้ามองควันหมอกของไอร้ายและความเคียดแค้นที่รวมตัวอยู่เหนือบ้านหลังนั้น พลังอาฆาตรุนแรงจนกลายเป็นรูปร่างชัดเจน
“เจ้าของบ้านนี้แซ่หลี่ เป็นพ่อค้าผู้ร่ำรวย ที่หมู่บ้านปาเหลียนนี้ เกือบหกในสิบของที่นาในละแวกนี้เป็นของเขา แม้จะมั่งคั่ง แต่เขาก็โหดเหี้ยม ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายเพียงใด ค่าที่ดินที่ต้องจ่ายก็ยังเรียกเก็บอย่างไม่ลดหย่อน ผู้เช่าจะผัดผ่อนได้นิดหน่อย แต่หากถึงกำหนดแล้วยังไม่มีเงินจ่าย จะต้องชดเชยด้วยเงินหรือคน” นักพรตชื่อหยวนกอดอก เอ่ยต่อ “เด็กสาวที่ถูกเขาบีบบังคับมา มีอายุเท่าเจ้า และมีอายุมากกว่าเจ้า มาเป็นบ่าว เป็นอนุภรรยา คนเรียกเขาว่าเถ้าแก่หลี่[1] ความหมายคือชอบรีดไถจนคนยากจนแทบไม่เหลืออะไร”
ฉินหลิวซีเอียงคอมองไอทะมึนนั้น เอ่ย “หนี้ต้องชดใช้ด้วยเงิน ย่อมเป็นหลักการที่ถูกต้อง มีสิ่งใดผิดเล่า”
นักพรตชื่อหยวนฟังเสียงใสแจ๋วของนางที่เอ่ยเหตุผลออกมาอย่างจริงจัง ใบหน้าสั่นเล็กน้อย “หลักการนั้นถูกต้อง แต่หญิงสาวที่เข้าไปอยู่ในบ้านเขากลับไม่มีชีวิตรอดนานนัก บิดาของเด็กสาวบางคนพยายามทวงความยุติธรรมให้ลูกสาว แต่ก็ไร้ผล เถ้าแก่หลี่ยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับขุนนางในพื้นที่”
ฉินหลิวซีหันไปมองเขา “คนที่ฆ่าเด็กสาวเหล่านั้นคือเถ้าแก่หลี่หรือ”
“เป็นคนตระกูลหลี่”
“ว่ามาให้ชัดเจน”
นักพรตชื่อหยวนก้มหน้ามองลงไปอย่างอดไม่ได้ ไม่ใช่สิ เจ้าเด็กตัวแค่นี้ ทั้งอายุเพิ่งห้าขวบ ไยจึงวางตัวราวกับมีอำนาจเช่นนี้แล้วเล่า
เขาเริ่มคิดถึงตุ๊กตาน้อยแสนเย็นชาไม่พูดมากที่ขาดปรานวิญญาณในเมื่อก่อนแล้ว
“เถ้าแก่หลี่มีเมียอนุภรรยาถึงสิบกว่าคน แต่มีบุตรชายเพียงสองและบุตรีหนึ่ง ทั้งหมดล้วนไม่ใช่คนที่ดีนัก สตรีที่ถูกนำตัวเข้ามาในตระกูลหลี่ หากหน้าตาอัปลักษณ์ยังพอรักษาความบริสุทธิ์ได้ หากรูปลักษณ์งดงามเพียงเล็กน้อย ก็มักถูกพ่อหรือไม่ก็ลูกๆ…” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง พลันนึกขึ้นได้ว่า การกล่าวถึงเรื่องอัปยศพวกนี้ต่อศิษย์ที่อายุเพียงห้าปี อาจเร็วเกินไปหรือไม่
“ท่านเอ่ยมาตามตรงว่าพวกนางกลายเป็นของเล่นของตระกูลหลี่ก็พอแล้ว”
นักพรตชื่อหยวนกระแอมไอ เอ่ย “เป็นเช่นนี้ ทำบาปกรรมไว้มาก เวรกรรมมาตามสนองแล้ว คนเหล่านั้นดวงวิญญาณไม่สงบ สังหารบุตรชายทั้งสอง ตอนนี้เหลือเพียงเถ้าแก่หลี่และบุตรสาวของเขา”
“หนี้ต้องชดใช้ด้วยเงิน ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต เช่นนั้นจึงเรียกว่าความยุติธรรม” ฉินหลิวซีเอ่ยพลางปรายตามองเขา “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านบอกว่าเป็นกฎแห่งกรรมหรือ”
นักพรตชื่อหยวนถอนหายใจเบา ๆ “ถูกต้อง บัดนี้เถ้าแก่หลี่พร้อมจะจ่ายค่าจ้างมหาศาล เพื่อปราบเหล่าภูติผีและคืนความสงบสุข ขอเพียงปราบสิ่งชั่วร้ายได้ เขายินดีมอบเงินพันตำลึง พร้อมทั้งจัดเลี้ยงอาหารอย่างใหญ่โต เจ้าเห็นหรือไม่ นี่คือกินดีอยู่ดีที่ข้าพูดถึง หากเจ้าฝึกวิชาทางเต๋าจนชำนาญ วันหนึ่งเจ้าจะได้รับสิ่งเหล่านี้โดยง่าย”
ฉินหลิวซีเดินก้าวขึ้นไปที่หน้าประตูเรือนใหญ่
นักพรตชื่อหยวนพลันเกิดความกังวลในใจ
ฉินหลิวซีหันกลับมา เอ่ยถาม “ท่านแน่ใจหรือว่าเป็นวิญญาณของหญิงสาวเหล่านั้นที่กำลังอาละวาด”
นักพรตชื่อหยวนพยักหน้า “คนตายแล้ว หากมีความแค้น ย่อมไม่ปรารถนาไปเกิดใหม่ แต่จะวนเวียนอยู่ในที่ที่ตาย หากแค้นหนักนานวันเข้า จะกลายเป็นพลังชั่วร้าย ก่อเกิดเป็นวิญญาณอาฆาต เมื่อวิญญาณเหล่านั้นฆ่าคน จะกลายเป็นผีร้าย และยิ่งฆ่าคนมากเท่าใดก็ยิ่งกำราบได้ยาก ที่นี่พลังหยินเข้มข้น หนึ่งเพราะมีคนตายมาก สองเพราะส่วนใหญ่เป็นสตรี ความโกรธแค้นพวกนางไม่สลาย นานวันเข้ากลายเป็นการสะสม ผีผู้หญิงสะสมความแค้นเอาไว้ ก็จะสามารถสังหารคนได้”
“พวกนางเคยทำร้ายคนอื่นแล้วหรือ”
“ยังไม่ได้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ แต่เมื่อกลายเป็นผีร้ายแล้ว ย่อมถือเป็นความชั่วร้าย สติสัมปชัญญะย่อมสูญสิ้น และจะก่อภัยต่อผู้คนในไม่ช้า”
ฉินหลิวซีมองเขา “ท่านกำลังทดสอบข้าอยู่หรือ”
ฉลาดจริงๆ เลย
นักพรตชื่อหยวนเอ่ย “บทเรียนนี้ เป็นการสอนให้เจ้าเข้าใจเรื่องความดีและความชั่ว ลัทธิเต๋ามักกล่าวไว้ว่า ทำดีไปเถิด อย่าถามถึงผลลัพธ์ การกำจัดสิ่งชั่วร้าย ปกป้องหนทางแห่งธรรมะ ทำความดีสั่งสมบุญ ล้วนเป็นสิ่งที่คนเช่นเราจำต้องเรียนรู้ ข้าไม่ได้สอนเจ้าตามเพียงตำราลัทธิ แต่จะสอนด้วยข้อเท็จจริงที่อยู่ตรงหน้า หากในยามนี้เจ้ากำจัดสิ่งชั่วร้ายเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น นั่นเป็นความดีหรือความชั่ว เจ้าต้องรู้จักพิจารณาเอง และในใจเจ้าจะมีตราชั่งตัดสิน”
เบื้องหน้าคือมนุษย์และวิญญาณ หากช่วยมนุษย์ เขาย่อมเป็นคนชั่ว หากไม่ช่วย ปล่อยให้ผีฆ่าคนแล้วกลายเป็นพลังอาฆาต จะส่งผลร้ายต่อผู้บริสุทธิ์ในอนาคต
เช่นนั้น ควรเลือกเช่นไร
ฉินหลิวซีไม่ได้เอ่ยปาก เพียงจ้องมองพลังอาฆาตที่กำลังรวมตัวแน่นหนา เสียงคำรามดังก้อง ราวกับกำลังตะโกนถึงความไม่เป็นธรรม กลิ่นอายแห่งความแค้นพวยพุ่งสู่ฟ้า ภายในเรือนมีเสียงคนกรีดร้อง กำลังร่ำไห้ วิงวอนขอชีวิต
นางเอ่ย “ลัทธิเต๋ายึดมั่นการกำจัดสิ่งชั่วร้ายปกป้องธรรมะ แต่ก็ไม่ได้ละเลยเรื่องกฎแห่งกรรม วิญญาณเหล่านี้ไม่ใช่ผลกรรมที่คนตระกูลหลี่ก่อขึ้นเองหรอกหรือ เช่นนั้น ผลกรรมก็ย่อมต้องให้พวกเขารับเอง นี่แหละคือกฎแห่งกรรม”
“แล้ววิญญาณร้ายเล่า ยิ่งพวกนางฆ่าคนมากเท่าใด โทษทัณฑ์ที่ต้องรับในนรกก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ชาติหน้าก็ย่อมไม่มีทางเกิดมาในที่ดีๆ ได้อีก”
“แม้แต่ความแค้นในชาตินี้ยังไม่ได้ชำระสะสาง ไหนเลยต้องเอ่ยถึงชาติหน้าเล่า วิญญาณที่เป็นผี ก่อนหน้าล้วนเคยเป็นมนุษย์ทั้งนั้น การที่พวกนางเลือกหนทางใด ก็เป็นชะตากรรมของพวกนางเอง” เสียงของฉินหลิวซีเย็นเยียบดุจสายน้ำเย็นเอ่ยออกมา “เมื่อชำระแค้นจนหมดสิ้น ข้าจะโปรดวิญญาณ นางไม่ยอมไป ข้าจะกำจัดพวกนางเสีย”
นี่คือหลักการที่นางยึดถือในการทำหน้าที่
[1] มีความหมายโดยนัยหมายถึงคนขี้เหนียว ไม่ยอมใช้เงิน