คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 14 นักพรตชื่อหยวนและศิษย์ทรยศของเขา (4)
ตอนพิเศษ 14 นักพรตชื่อหยวนและศิษย์ทรยศของเขา (4)
………………..
ฉินหลิวซีเผชิญหน้ากับผีร้ายเป็นครั้งแรกในวัยเพียงห้าขวบ นางเกือบต้องพ่ายแพ้อย่างหมดสภาพแล้ว
ผีร้ายตนนั้นคือวิญญาณของหญิงสาวที่ถูกพ่อลูกตระกูลหลี่กระทำทารุณจนตายอย่างอนาถในวัยแรกรุ่น ความเคียดแค้นของนางล้ำลึกนัก เพื่อการล้างแค้น นางถึงกับกลืนกินวิญญาณอาฆาตของคนเคราะห์ร้ายที่ตายเหมือนกับนางอีกสองสามดวง
สุดท้ายแค้นของนางก็ได้รับการสะสาง ทว่าตัวนางเองกลับกลายเป็นผีร้ายที่หลงลืมจิตเดิม และปฏิเสธการเวียนว่ายตายเกิด ยึดถือหลัก ยอมให้ข้ารังแกคนทั้งโลก ดีกว่าให้คนทั้งโลกรังแกข้า นางตั้งใจที่จะฆ่าผู้ชายเลวทรามและหญิงชั่วร้ายให้สิ้นซาก
เพราะในยามยังมีชีวิต นางไม่เพียงแต่ถูกพ่อลูกตระกูลหลี่ทรมาน แม้แต่หญิงสาวตระกูลหลี่เองยังสั่งให้ถอดเสื้อผ้าของนางออก ใช้แส้ชุบน้ำเกลือโบยตีจนร่างกายไม่มีส่วนที่ไม่บอบช้ำแม้แต่จุดเดียว ความอำมหิตเช่นนี้สร้างความอาฆาตเป็นที่สุด
ด้วยพลังอาฆาตรุนแรงนี้ นางจึงไม่ยอมเวียนว่ายตายเกิด ต่อให้นักพรตชื่อหยวนหรือฉินหลิวซีจะยกเหตุผลเพื่อโปรดนางสักพันข้อ นางก็ไม่ยอม
นางได้รับพลังผีร้ายแล้ว นางเองรู้วิธีฝึกฝนพลังนั้น อีกทั้งตั้งใจว่าจะฆ่าเพียงคนชั่วร้าย ในเมื่อฟ้าดินไม่เป็นธรรม ยอมให้คนเลวมีชีวิต นางนี่แหละจะเป็นเพชฌฆาตแทน
ดังนั้น นางจึงกลายเป็นศัตรูกับฉินหลิวซีและอาจารย์
และฉินหลิวซีเอ่ยแต่แรกแล้ว การล้างแค้นทำได้ แต่หากผีร้ายทำร้ายผู้ที่ไม่มีกรรมเกี่ยวข้อง นางจะไม่เพิกเฉย
ผีร้าย ต้องกำจัด
แม้นางจะเฉลียวฉลาด เข้าใจทุกสิ่งรวดเร็ว อีกทั้งมีพรสวรรค์ด้านการวาดยันต์เพียงแค่หยั่งรู้ก็บรรลุได้ แต่นางเพิ่งห้าขวบ ร่างกายยังไม่เติบโตเต็มที่ อ่อนแออยู่บ้าง อีกทั้งเพิ่งเข้าสู่เส้นทางแห่งเต๋า แม้พรสวรรค์สูงส่งเพียงใดก็ไม่อาจเอาชนะข้อจำกัดของวัยเยาว์ได้ นางขาดความคล่องแคล่วและประสบการณ์ เมื่อต้องเผชิญผีร้ายเช่นนี้ จึงดูไร้หนทาง
พลังอาฆาตพุ่งเข้าในกายของนาง ลามไปทั่วร่างกายจนใบหน้าเล็กขาวซีดราวน้ำแข็ง ผีร้ายนั้นยังไม่พอใจ ใครขัดขวางนางต้องตาย
“มารร้าย กล้าดีอย่างไร” นักพรตชื่อหยวนถือยันต์ห้าสายฟ้าด้วยสีหน้าเจ็บใจ เขาขว้างออกไปด้วยความไม่เต็มใจนัก “ฟ้าดินไร้สุดสิ้น เทพสายฟ้าจงปรากฏ กำจัดสิ่งชั่วร้าย”
ครื้นนน
เสียงฟ้าร้องดังสนั่น ผีร้ายถูกพลังสายฟ้าฟาดลงกลางตัว ส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ความโกรธเคืองพุ่งสูง พลังอาฆาตพวยพุ่งพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนสัมผัสได้
ฉินหลิวซีถูกพลังอาฆาตล้อมรอบ ใบหน้าเล็กขาวดุจหิมะดูเยียบเย็น
ดีนัก ดีมาก เจ้ากล้าดีมองข้าเป็นเพียงเด็กน้อยอ่อนแอไร้หนทาง
คิดว่านางเป็นแมวป่วย
แววตาฉินหลิวซีฉายความโกรธคล้ายเปลวเพลิง พลังร้อนแรงปะทุออกมาจากร่างกายของนาง ราวกับเปลวเพลิงมหึมาที่พร้อมจะเผาผลาญทุกสิ่ง
ผีร้ายหมายจะกลืนวิญญาณของฉินหลิวซีเพื่อเพิ่มพลัง แต่คาดไม่ถึงว่าพลังเพลิงกัลป์จะแผ่ซ่านออกมา นางหลบไม่พ้น ส่งเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวน ก่อนร่างจะมลายสิ้นไป
นักพรตชื่อหยวนสีหน้าพลันเปลี่ยนเล็กน้อย มือสั่นเทาเมื่อนึกถึงคำที่ราชาเทพเอ่ยเตือนในยามสื่อสารกับเขา จงจำไว้ อย่าปล่อยให้นางเล่นไฟ
นี่คงหมายถึงสิ่งนี้กระมัง
เพลิงกัลป์อันร้อนแรงไม่ได้เพียงทำให้ผีร้ายสลายสิ้นไป แต่ยังทำลายล้างพลังอาฆาตให้มลายหายสูญ
ส่วนเด็กน้อยผู้นั้นเล่า
นักพรตชื่อหยวนจับจ้องเด็กคนนั้นด้วยความหวาดหวั่น เด็กน้อยก็เพียงแค่จ้องตอบโดยไม่ได้กล่าวคำใด หลังจากนั้นไม่นานก็ล้มพับลงกับพื้นอย่างนุ่มนวล
“เด็กน้อย” นักพรตชื่อหยวนรีบรุดเข้าไป ตรวจดู ก่อนจะถอนหายใจโล่งอก โชคดีที่เพียงพลังวิญญาณเหือดแห้ง
ขณะที่จิตฉินหลิวซีสติเลือนรางสู่ความมืด นางคิดในใจ หนทางจับภูตพิฆาตปีศาจเช่นนี้ บัดซบยิ่งนัก ข้าขอสาบานว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ข้าต้องทนสูญเสียเช่นนี้
ช่างขายหน้าสิ้นดี
สองวันต่อมา ฉินหลิวซีฟื้นคืนสติ แต่ร่างกายกลับอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง ร่างกายยังหนาวเย็น
นักพรตชื่อหยวนเห็นนางฟื้นแล้ว เอ่ย “ในกายเจ้ามีพลังหยินร้ายจากผีร้ายตนนั้นเหลืออยู่ ทำให้ร่างกายเจ้าเย็นยะเยือก อาจารย์ใช้ยันต์สะกดวิญญาณช่วยเหลือเจ้าแล้ว แต่ยังต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่ามันจะสลายสิ้น”
“ไม่สบายตัวเลย” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยความขุ่นเคือง นางไม่พอใจ อยากจะระบายโทสะ ทันทีที่ความคิดนี้เกิดขึ้น ก็รู้สึกราวกับเปลวเพลิงลุกโชนจากตันเถียนแผ่ซ่านทั่วร่าง
นักพรตชื่อหยวนเห็นดังนั้น รีบเตือน “เจ้าต้องระงับเพลิงโทสะเอาไว้”
แต่ฉินหลิวซีไม่มีเวลาสนใจคำเตือน นางค้นพบว่าเปลวไฟนี้ เมื่อปรากฏขึ้นกลับทำให้พลังหยินที่หลงเหลืออยู่ในกายหายไปสิ้น นางจึงลองใช้ไฟนี้เดินลมปราณไปทั่วร่าง จนกระทั่งพลังหยินหมดไป ร่างกายกลับอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากนั้นเปลวเพลิงก็เหมือนจะสงบนิ่งอยู่ในตันเถียน
ฉินหลิวซีรู้สึกสนใจยิ่งนัก นางลองเรียกมันอีกครั้ง แต่ไฟนั้นกลับไม่ยอมออกมาแล้ว
นางจึงหันไปมองนักพรตชื่อหยวนด้วยความตื่นเต้น เอ่ยถามด้วยความยินดี “ในโลกนี้มีผู้บำเพ็ญเซียนหรือไม่ ในลัทธิเต๋า มีผู้ใดเคยเหาะเหินขึ้นสวรรค์บ้างหรือไม่ ข้าเกรงว่าตนเองอาจมีวาสนาเป็นผู้บำเพ็ญเพลิงวิญญาณ ถือครองเพลิงพิเศษ เป็นผู้มีพรสวรรค์ยากจะหาได้ในยุคนี้”
นักพรตชื่อหยวน “…”
เขายกมือยื่นไปแตะหน้าผากนาง เอ่ย “เจ้าคงไม่ได้มีไข้จนเพ้อกระมัง”
ฉินหลิวซีปัดมือเขาออกอย่างขุ่นเคือง “ตอบข้าสิ”
“เด็กโง่ ในยุคนี้พลังวิญญาณหายากนัก อย่าว่าแต่เหาะขึ้นสวรรค์เลย แม้แต่ผู้บำเพ็ญเต๋าที่บรรลุขั้นสร้างฐานจิตวิญญาณ มีอายุยืนยาวสักร้อยหรือสองร้อยปี ก็นับว่าได้รับความเมตตาจากสวรรค์ยิ่งแล้ว การเหาะขึ้นสวรรค์เป็นเรื่องเล่าขานในตำนานนับพันนับหมื่นปี แม้แต่ในพุทธและเต๋าก็ยังไม่มีผู้ใดบรรลุ เจ้าจงมุ่งมั่นศึกษาเบญจศาสตร์แห่งเต๋า ประพฤติดีโดยไม่หวังผลลัพธ์จะดีกว่า”
ฉินหลิวซีได้ฟังถึงกับหน้าดำคร่ำเครียด
หมายความว่า อย่าคิดฟุ้งซ่านนัก คิดมากไปสมองเจ้าจะพังเอา
นางก้มมองตันเถียนของตนเองด้วยความฉงน เอ่ย “แล้วเปลวไฟนั่นคือสิ่งใด”
แววตาของนักพรตชื่อหยวนวาบขึ้นก่อนจะเอ่ย “ไม่ต้องสนว่าคืออะไร แต่จงอย่าเล่นกับไฟโดยพลการ เจ้าจำได้หรือไม่ ครั้งนี้เมื่อเปลวไฟนี้ลุกขึ้น ผีร้ายก็สลายสิ้นไป นางเป็นผีร้ายดื้อดึงก็เรื่องหนึ่ง แต่หากเปลวไฟนี้ทำร้ายวิญญาณดีๆ เข้า เจ้าจะสร้างกรรมโดยไม่รู้ตัว”
ฉินหลิวซีเอ่ย “นั่นเพราะนางมาเล่นงานข้าก่อน ข้าเพียงป้องกันตัวโดยไม่รู้ตัวเอง นางอยากพินาศก็เรื่องของนาง จะโทษข้าได้อย่างไร”
อ้อ ใช่ ใช่ เจ้าพูดถูกแล้ว
นักพรตชื่อหยวนลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ เราควรออกเดินทางได้แล้ว”
เสียง ครืด ครืด ดังขึ้น
เขาก้มลงมอง เจอสายตาฉินหลิวซีจ้องตอบอย่างกลมโตใสซื่อ
“มันร้องเอง ข้าทำงานเหน็ดเหนื่อย จะไม่ให้หิวได้อย่างไร จับไก่ป่าสักตัวมาย่างกินก่อนเดินทางเถิด หากข้าไม่ได้กินจะเดินไม่ไหว ข้าขอเดินลมปราณทำสมาธิซักรอบใหญ่ก่อน” นางเอ่ยพร้อมจัดท่านั่งขัดสมาธิ วางมือบนเข่า จากนั้นก็หลับตาพลางร่ายคาถาดึงพลังเข้าร่าง
นักพรตชื่อหยวนทำหน้าเหมือนคนปวดท้องเรื้อรัง พลางคิดในใจ นางผู้นี้ราวกับมาทวงหนี้คืนเป็นแน่แท้
เขาโยนถุงสัมภาระทิ้งไว้แล้วเดินออกจากศาลร้าง มุ่งหน้าขึ้นเขาไป
ฉินหลิวซีลืมตาข้างหนึ่ง ยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะปิดตาอีกครั้ง ครั้งนี้เข้าสู่สมาธิอย่างแท้จริง
เบญจศาสตร์แห่งลัทธิเต๋าใช่หรือไม่ นางคิดในใจ ข้าต้องเรียนให้เชี่ยวชาญ ครั้งก่อนที่พลาด ข้ากินบทเรียนครั้งเดียวก็เกินพอ ต่อไปนี้ภูติผีเห็นข้าต้องหนาวสะท้าน
แต่การที่ภูติผีเห็นแล้วต้องเกรงกลัว ข้าจำต้องแกร่งกล้า แข็งแกร่งอย่างหาตัวจับยาก
ดังนั้น เบญจศาสตร์แห่งลัทธิเต๋า ข้าต้องเรียนรู้ให้ลึกซึ้งจนถึงที่สุด เพื่อที่จะกลายเป็นเทพนักปราบ ที่แม้แต่ภูติผีที่ดุร้ายที่สุดยังไม่อาจกล้าเผชิญหน้า
เด็กน้อยผู้หนึ่งทำหน้าจริงจัง ร่ายคาถาด้วยสองมือพลางนำพลังแห่งธาตุทั้งห้าเข้าสู่ร่าง ผ่านทุกเส้นลมปราณ ก่อนจะกลั่นให้กลายเป็นหยาดน้ำวิญญาณ ตกลงสู่ตันเถียน
ขณะเดียวกัน วิญญาณของนางกลับแข็งแกร่งขึ้นทีละน้อย เหมือนมีสิ่งใดกำลังหล่อเลี้ยงไว้อย่างแปลกประหลาด