คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 15 นักพรตชื่อหยวนและศิษย์ทรยศของเขา (5)
ตอนพิเศษ 15 นักพรตชื่อหยวนและศิษย์ทรยศของเขา (5)
ฉินหลิวซีมองดูทางหินที่มีวัชพืชขึ้นรกชัฏทอดยาว ยังมีอารามเต๋าที่มุงด้วยกระเบื้องเก่าๆ โผล่พ้นพุ่มไม้ให้เห็น ลมหายใจถี่กระชั้นมากขึ้น ก่อนจะหันมามองนักพรตชื่อหยวน
“ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่าสำนักนี้เดิมชื่อ สำนักชิงผิง เป็นสำนักใหญ่โต แต่เพราะพลังวิญญาณลดน้อยถอยลง จึงแยกย้ายและสูญหายไปบ้าง แต่ยังเป็นอารามใหญ่ที่มีชื่อเสียง” ฉินหลิวซีก้าวขึ้นไปยังอารามทรุดโทรมไร้ควันธูปตรงหน้า เบิกตากว้าง “ท่านเรียกสิ่งนี้ว่าอารามใหญ่หรือ ท่านมีความเข้าใจผิดกับคำว่าใหญ่กระมัง นี่เรียกว่าอารามร้างแล้วหรือไม่”
นักพรตชื่อหยวนกระแอมไอเบาๆ เอ่ย “หลายปีที่ผ่านมาข้าต้องออกไปเดินทางท่องยุทธภพในแบบเต๋า ตามหาศิษย์ทรยศที่ทรยศต่ออารามชิงผิง จึงละเลยหน้าที่ดูแล อีกทั้งฮ่องเต้องค์ก่อนยังเคยกดขี่ลัทธิเต๋า ทำให้อารามเต๋าหลายแห่งเสื่อมโทรมลง แต่ในช่วงรุ่งเรืองของอารามชิงผิงนี้ เราก็มีศิษย์ถึงหลายสิบคนทีเดียว”
ฉินหลิวซีหัวเราะเย้ยหยัน “แต่น่าเสียดาย ขาดคนสืบทอด ใช่หรือไม่”
นักพรตชื่อหยวนรู้สึกอายเล็กน้อย นางเด็กนี่พูดแต่ความจริงเจ็บแสบ เขาจึงไม่ต่อคำ เอ่ย “อย่าดูแค่สภาพที่ทรุดโทรม ภูมิปัญญาแห่งอารามยังคงอยู่”
“อ้อ?”
นักพรตชื่อหยวนหรี่ตามอง เอ่ย “เมื่อหลายปีก่อนที่ลัทธิเต๋าถูกกดขี่ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะยอมทนรับชะตากรรม ผู้ที่ฉลาดย่อมเตรียมทางหนีทีไล่ บ้างซ่อนตัวในป่าลึกเพื่อปลีกวิเวก บ้างเก็บสิ่งสำคัญไว้เพื่อรอวันฟื้นฟู”
ดวงตาของฉินหลิวซีเปล่งประกาย “ที่ท่านหมายความคือ อารามชิงผิงก็เก็บของสำคัญไว้ด้วย”
“ถูกต้อง”
“เป็นเงินบริจาคใช่หรือไม่ มีมากแค่ไหน พอซ่อมแซมอารามได้หรือไม่” หากเป็นเช่นนั้น นางก็ไม่ว่าอะไรที่จะอยู่ต่อ
“นั่นไม่มี” นักพรตชื่อหยวนก้มมองชุดเต๋าของตนที่ปะชุนมาสามปี เอ่ย “หากมีเงินบริจาค ข้าจำเป็นต้องสวมชุดเช่นนี้หรือ”
ฉินหลิวซีมองดูชุดที่เต็มไปด้วยรอยปะและรองเท้าผ้าที่ขาดจนเกือบทะลุ ก่อนจะเบ้ปาก “แล้วมีอะไรเล่า”
“ย่อมเป็นมรดกตกทอดแห่งสำนัก”
ใบหน้าฉินหลิวซีพลันหม่นลง “เช่นนั้น เงินเล็กน้อยก็ไม่มีเลยหรือ”
นักพรตชื่อหยวนลูบถุงสัมภาระพลาง “เงินที่ใช้ได้ อยู่ในนี้ทั้งหมดแล้ว”
ฉินหลิวซี “…”
ขอโทษที ข้าอยากกลับตระกูลฉินแล้ว ได้ยินว่าข้าเป็นบุตรสาวผู้มั่งคั่ง
แค่เงินในถุงสัมภาระของเขา ที่มีเพียงสองตำลึง จะไปใช้ทำอะไรได้เล่า
“ศิษย์ดื้อ คิดสิ่งใดอยู่” นักพรตชื่อหยวนเคาะหน้าผากนางหนึ่งที เอ่ย “มรดกแห่งสำนักคือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุด ฝึกเต๋าและอาคมให้เชี่ยวชาญเถิด การทำนายหนึ่งครั้งมีค่าดั่งทองหมื่นตำลึง ไหนเลยสิ่งของเหล่านั้นจะเทียบได้”
“ขอให้ศิษย์ชี้แจงความจริงว่า เหล้ารสเลิศและไก่ย่างที่ท่านอาจารย์ดื่มกินล้วนได้มาจากเงินทองทั้งนั้น” ฉินหลิวซีชี้ไปยังอารามก่อนหัวเราะเยาะ “อีกอย่าง ลองท่านไปบอกกับบรรพบุรุษแห่งอารามชิงผิงสิว่า เงินทองไร้ค่า แล้วดูสิว่าเทพองค์ใดไม่ต้องการสร้างองค์ด้วยทอง มีเพียงพวกเรานี่แหละที่ยึดถือความสูงส่งเกินไป”
นักพรตชื่อหยวนถึงกับพูดไม่ออก เขาไม่กล้าทำเช่นนั้น
แต่ว่าร่างทองคำเท่านั้น นับประสาอะไรกัน พวกเขามีศิษย์ที่ฉลาดปราดเปรื่องเช่นนี้ต่างหาก
นักพรตชื่อหยวนวางมือบนศีรษะนาง สีหน้าเคร่งขรึมราวกับพูดจากก้นบึ้งของใจ เอ่ย “อาจารย์แก่แล้ว เจ้าคือศิษย์พี่ใหญ่แห่งชิงผิงรุ่นที่สี่ ภาระในการฟื้นฟูอาราม ข้ามอบให้เจ้าแล้ว”
ฉินหลิวซี “?”
ขอถาม การคิดทรยศสำนักมีแบ่งอายุหรือไม่
อายุห้าขวบอย่างนาง เพิ่งเข้าสู่ประตูสำนักก็อยากทรยศหนีออกจากสำนักเสียแล้ว
ราวกับเห็นความคิดในใจนาง นักพรตชื่อหยวนรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว “เจ้าวางใจเถิด สำหรับอาจารย์แล้วเจ้าคือศิษย์คนเดียวของข้า ตำแหน่งเจ้าสำนักแห่งอารามนี้ในอนาคต ย่อมเป็นของเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย ฉะนั้นจงตั้งใจเรียนรู้วิชาแห่งลัทธิเต๋าทั้งห้าให้เชี่ยวชาญ เก็บเกี่ยวค่าน้ำมันตะเกียงแก่สำนัก สร้างกุศลหมื่นพันให้กับตนเองและผู้อื่น ทั้งช่วยคน ช่วยวิญญาณ และช่วยตัวเอง เป็นบุญใหญ่แล้ว”
ฉินหลิวซีมองเขาด้วยหางตาเย้ยหยัน ข้ายังเด็ก ท่านก็คิดว่าข้าโง่งั้นหรือ วาดฝันในหัว ท่านเก่งจริงๆ
“เจ้าไม่เชื่อคำอาจารย์หรือ” นักพรตชื่อหยวนสีหน้าราวกับปวดใจนัก
ฉินหลิวซีกำลังอยากเอ่ยบางอย่าง ทว่าเสียงตะโกนด้วยความยินดีจากด้านหลังทำให้นางหันไปมอง
“อาจารย์ อาจารย์ ท่านกลับมาจริงๆ”
นางหันกลับไปมอง เห็นชายหนุ่มใบหน้ากลมมน สวมชุดนักพรตเต๋าสีเหลืองเก่าๆ หลังสะพายตะกร้า เดินมาทางนี้ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
“อาจารย์” ชายหนุ่มหยุดยืนตรงหน้า ยิ้มกว้างเอ่ย “ชิงหย่วนมาทันจนได้”
ฉินหลิวซีเหลือบมองนักพรตชื่อหยวนที่มีแววตาหลบเลี่ยง พลางแค่นเสียงหัวเราะเย็น “ศิษย์คนเดียวหรือ”
นักพรตชื่อหยวนรีบแก้ตัวทันที “นี่คือผู้ฝักใฝ่ในวิถีเต๋า ผู้ต้องการเข้าพักที่อารามเราเพื่อศึกษาธรรม เขามีนามว่าชิงหย่วน บรรลุวิถีเต๋ามาก่อนเจ้า อายุแก่กว่าเจ้า เจ้าเรียกเขาว่าศิษย์พี่ก็สมควร ศิษย์นั้นย่อมมีทั้งสายตรงและสายรอง เจ้าคือศิษย์เอกสายตรงเพียงผู้เดียวของอาจารย์ และยังเป็นศิษย์คนสุดท้ายด้วย”
ฉินหลิวซีกลอกตา
ชิงหย่วนมองดูเด็กน้อยตรงหน้า ยิ้มตาหยี “นี่คือศิษย์น้องของข้าสินะ”
นักพรตชื่อหยวนพยักหน้า “นางมีนามเต๋าว่า ‘ปู๋ฉิว’”
“ศิษย์น้อง” ชิงหย่วนทำความเคารพมาทางฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีคารวะกลับ คล้ายยอมรับชะตากรรม
เพียงแต่ระหว่างทางที่ทั้งสามช่วยกันถางหญ้าบนทางเดินเพื่อไปยังอาราม พอเห็นภาพเบื้องหน้าอีกครั้ง นางก็อยากหันหลังหนีอีกครา
ช่างทรุดโทรมยิ่งนัก
ลานอารามเต็มไปด้วยตะไคร่และวัชพืช กรอบประตูถูกถอดออกไปนานแล้ว กระดาษหน้าต่างฉีกขาดไม่เหลือชิ้นดี ป้ายชื่อ ‘อารามชิงผิง’ ห้อยโตงเตงเกือบหลุดร่วง ทุกสิ่งล้วนแสดงถึงความเสื่อมโทรมอันยากจะกล่าว
ครั้นย่างก้าวเข้าสู่วิหารหลัก รูปปั้นปรมาจารย์มีเพียงร่างปั้นดินเหนียว ร่างนั้นพรุนพังเว้าแหว่ง คล้ายถูกของมีคมขูดเอาแผ่นทองคำเปลวที่มีค่าไปจนหมดสิ้น ดูน่าเวทนาอย่างยิ่ง ส่วนกระถางธูปน่ะหรือ ก็ไม่มีให้เห็น
อารามแห่งนี้ขาดเจ้าสำนักมานานเพียงนี้ สิ่งใดที่ยังพอใช้งานได้ ต่างถูกปล้นชิงจนไม่เหลือสักอย่าง
ฉินหลิวซีอดไม่ได้ที่จะเบือนหน้าไปทางอื่นด้วยความสะเทือนใจ เพิ่งจะหันไปเอ่ยถามนักพรตชื่อหยวน ก็ได้ยินเขาร้องโหยหวน “เพียงห้าปีที่ไม่ได้กลับมา แม้แต่กระถางธูปก็ไม่เหลือไว้ให้ข้าเลย เกินไปแล้ว บรรพชนก็ไม่ดูแลคุ้มครองบ้านเรือนเลยหรือ อ๊ากกก…”
ว่าจบ เขาวิ่งไปยังห้องพักด้านหลังวิหารดุจสายลมกรรโชก เพียงครู่เดียวก็มีเสียงโวยวายดังมาจากที่นั่นอีก
ฉินหลิวซีหันมองชิงหย่วน เอ่ย “เจ้าเองก็ถูกหลอกให้มาที่นี่หรือ”
ชิงหย่วนร้อง อ่า ก่อนจะตอบ “หลอก…คงไม่ถึงขั้นนั้น ข้าเป็นนักพรตพเนจร เรียนรู้วิชาบ้างเล็กน้อยจากนักพรตเฒ่าตั้งแต่เยาว์วัย ทำพิธีกรรมได้บ้าง ดูดวงก็พอเป็น แต่สิบครั้งผิดเก้าครั้ง ไม่แม่นนัก”
เขาหัวเราะเก้อเขินสองครั้ง “อาจารย์บอกว่า หากข้ามาพักที่นี่ เขาจะสอนวิชาดูดวง วิชาแพทย์ และพยากรณ์ อีกทั้งตำราที่อารามนี้เก็บสะสมไว้ก็สามารถอ่านได้ตามใจชอบ”
“เจ้าคิดว่าอารามนี้ดูมีตำราอยู่หรือ”
ชิงหย่วนยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน เอ่ย “บางทีอาจารย์อาจซ่อนเอาไว้ ในอดีตลัทธิเต๋าเคยถูกกดขี่ บางทีท่านอาจซ่อนสมบัติบางอย่างไว้เหมือนคนอื่นก็ได้ อย่างไรก็ตามมีอารามให้พักพิง ข้าก็ไม่ต้องระหกระเหินไปทั่ว แค่พอเป็นนักพรตหลอกลวงหาเงินเลี้ยงตัวก็นับว่าดีแล้ว”
เขามองฉินหลิวซีด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง “ข้าได้ยินอาจารย์บอกว่า ท่านมีศิษย์คนหนึ่งที่จะเป็นเกียรติยศของสำนัก คิดว่าคงเป็นศิษย์น้องอย่างเจ้า มีเจ้าอยู่ สำนักนี้ย่อมกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง ไฟธูปคงเจิดจรัส เจ้าดูไม่ธรรมดา”
ดังนั้นหมายความว่า อาศัยข้าเป็นวัวเป็นม้าอย่างนั้นหรือ
ฉินหลิวซีก้าวถอยหลังสองก้าว ข้าเข้าใจแล้วว่าไยตาเฒ่าจึงหลอกเจ้ามา เขาเห็นแก่ปากนี้ของเจ้าอย่างไรเล่า