คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 16 นักพรตชื่อหยวนและศิษย์ทรยศของเขา (6)
ตอนพิเศษ 16 นักพรตชื่อหยวนและศิษย์ทรยศของเขา (6)
………………..
นักพรตชื่อหยวนบอกว่าฉินหลิวซีจะเป็นเกียรติยศของสำนัก ชิงหย่วนกลับเชื่อมั่นในคำนี้อย่างไร้ข้อกังขา และความเชื่อมั่นนี้ของเขา ก็หาได้ถูกทรยศไม่
เพียงเวลาห้าปี อารามชิงผิงที่เคยเป็นเพียงอารามรกร้างได้ฟื้นคืนกลิ่นธูปเทียนขึ้นมาอีกครั้ง อารามที่ได้รับการบูรณะใหม่ แม้ไม่อาจเทียบเท่าอารามใหญ่ที่แท้จริง แต่เส้นทางขึ้นเขาสำหรับรถม้าถูกปูด้วยอิฐหิน และบันไดสำหรับผู้ศรัทธาก็ปูด้วยศิลา สองข้างทางยังเสริมราวไม้สำหรับพักพิง เหมาะแก่การหยุดพักของผู้มาเยือน
เมื่ออารามได้รับการบูรณะ นักพรตชื่อหยวนพร้อมศิษย์จึงหวนกลับมา บรรยากาศและกลิ่นธูปเทียนเริ่มฟื้นคืน บางคนมาขอเครื่องรางและดูดวง บางคนมาขอรับการรักษาโรคภัย
สมบัติล้ำค่าของอารามที่ว่า ก็คือเด็กน้อยอายุเพียงสิบปี ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ทั้งห้าแห่งลัทธิเต๋าอย่างน่าทึ่ง ทั้งยังมีศักยภาพให้พัฒนาอีกมาก ผู้คนต่างพากันสงสัยว่าสมองของเด็กคนนี้เติบโตมาได้อย่างไร
ชิงหย่วนรู้สึกละอายใจนัก
แต่น่าเสียดายก็คือ เด็กน้อยผู้เป็นอัจฉริยะกลับไม่ได้มุ่งมั่นในการดูแลอารามหรือสร้างรายได้จากค่าน้ำมันตะเกียง แม้กระทั่งรูปหล่อทองคำของปรมาจารย์ยังไม่ได้รับการหล่อขึ้นใหม่
ตอนนี้เด็กน้อยคนนั้นยังไม่รู้หายตัวไปที่ใดอีกแล้ว
ไม่รู้ว่ากำลังปราบผีหรือปราบนักพรตชั่วที่ไหน
แน่นอนว่าเป็นอย่างหลัง
ตลอดห้าปีที่ผ่านมา ฉินหลิวซีแม้จะเรียกตัวเองว่าศิษย์ แต่แทบจะถูกเลี้ยงแบบปล่อยปละละเลย อาจารย์เฒ่าเพียงนำพาเข้าสู่วิถีเบื้องต้น จากนั้นก็ทิ้งคัมภีร์เก่าแก่ของสำนักให้ศึกษา พาไปสุสานฝังศพเพื่อขุดศพฝึกวิชา ทั้งยังช่วยปลดปล่อยวิญญาณ เมื่อร่างกายของศพถูกสำรวจจนช่ำชอง จึงเริ่มฝึกฝังเข็มกับคนเป็น และเริ่มการรักษาผู้คน
เหตุใดจึงต้องไปสุสานฝังศพน่ะหรือ เพราะที่นั่นมีคนตายมากมาย บางศพถูกโยนทิ้งไว้ที่สุสาน บ้างถูกส่งไปยังโรงเก็บศพ ไหนจะมีศพสดใหม่ ก็ต้องไปขุด
สุสานฝังศพนั้น นอกจากคนตายยังมีภูตผีศพเดินได้ นี่ไม่ใช่เพราะไปบ่อย ผีต่างก็กลัวนางแล้ว มองเห็นไกลๆ ก็วิ่งหนีแล้ว กลัวว่าจะถูกจับมาตีอย่างไร้ความปราณี
แท้จริงแล้ว ฉินหลิวซีเองก็ไม่กล้าให้อาจารย์เฒ่าติดตามอีกต่อไป เพราะปีแล้วปีเล่า อาจารย์เฒ่าผู้มีอายุมากขึ้นเรื่อยๆ พลังฝีมือที่เคยสูงส่งกลับเหมือนถูกหยุดยั้ง ยิ่งเผชิญหน้ากับผีที่ดุร้าย พลังปราณของเขายิ่งเสื่อมถอย ต้องปลีกตัวไปปิดด่านเพื่อฟื้นฟูอยู่นานหลายวันจึงฟื้นกลับมาได้
ฉินหลิวซีล่วงรู้ว่า อาจารย์เฒ่ามีบาดแผลลึกในร่าง เป็นบาดแผลเรื้อรังที่สะสมมานานหลายปี ทั้งยังได้รับพลังสะท้อนกลับจากการใช้วิชาใหญ่ในอดีต ยาธรรมดาเพียงช่วยบำรุงร่างกายแต่ไม่อาจเพิ่มพูนพลังฝีมือ หรือยืดอายุให้เป็นอมตะ นอกเสียจากการสร้างรากฐานปราณ
แม้พลังปราณในยุคนี้จะหายาก แต่ผู้ฝึกวิถีเต๋าก็ยังมีโอกาสบรรลุธรรม หากก่อรากฐานสำเร็จ จะสามารถยืดอายุได้อีกหนึ่งร้อยห้าสิบถึงสองร้อยปี
นางต้องหาวิธีให้อาจารย์เฒ่าอายุยืนยาวกว่านี้ ไม่ใช่เพียงจับนางทำงานหนักเพื่อฟื้นฟูสำนัก นางยังเป็นเด็กอยู่แท้ๆ
ครั้งนี้ฉินหลิวซีรับงานช่วยคนรวยดูทำเลสุสานบรรพบุรุษ ตามรอยนักพรตชั่วจนถึงรังของมัน เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ ยังต้องเชิญราชาผีตงฟางที่เพิ่งรู้จักมาช่วย ท้ายที่สุดจึงสามารถจัดการนักพรตชั่วได้สำเร็จ
นักพรตชั่วคร่ำครวญด้วยความแค้น สู้ก็สู้ ไยเจ้าต้องเรียกราชาผีมาด้วย ใครกันแน่ที่เป็นนักพรตชั่ว
อีกทั้งนั่นผู้ใด เป็นถึงราชาผี ไยต้องมาฟังคำสั่งของเด็กตัวร้อยเช่นนี้เล่า
น่าเสียดายที่เขาไม่ได้รับคำตอบ เพราะเพียงวิญญาณเขาออกมาจากร่างก็ถูกราชาผีกลืนกินในพริบตา
ฉินหลิวซีหัวเราะมองราชาผีตงฟาง เอ่ย “เจ้าดูสิ พวกเราได้ประโยชน์กันทั้งคู่ ข้ากำจัดมารร้าย เจ้าได้กลืนวิญญาณ สมบูรณ์แบบ ไม่ขาดทุนใช่หรือไม่”
ราชาผีตงฟางเอ่ย “การใช้พลังภายนอกเช่นนี้ไหนเลยจะเรียกได้ว่าการประลองโดยแท้จริง ข้านี่แหละลงแรงไปเสียมากกว่า หากเจ้ากล้าก็จัดการเองดูบ้างสิ”
ฉินหลิวซียิ้มหยัน “การที่ข้าสามารถเรียกเจ้า ไม่ใช่ความสามารถของข้าหรือ เจ้าดูนักพรตชั่วนี่สิ เชิญเจ้ามาได้หรือไม่ ไม่ต้องสนใจว่าเป็นพลังภายนอกหรือไม่ อย่างไรก็เป็นผู้ช่วยของข้า แน่นอนว่าเป็นความสามารถของข้า”
เอ่ยเหมือนจะมีเหตุผล แต่ก็ดูเหมือนมีสิ่งใดไม่ถูกต้อง
“ทำไมหรือ เจ้าไม่เห็นด้วยหรือ” ฉินหลิวซีเล่นไฟอยู่ปลายนิ้ว
ราชาผีตงฟางเห็นเปลวไฟนั้น วิญญาณเกร็งขึ้นมา นึกถึงความเจ็บปวดที่ตนโดนไฟนรกนั้นแผดเผาเมื่อครั้งเสียท่าให้นาง วิญญาณแทบแตกสลาย จึงต้องยอมเป็น สหาย กับนาง
ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่มาจากที่ใด ถึงได้มีสิ่งน่ากลัวเช่นนี้อยู่ในตัว
ช่างเถิดๆ ล่วงเกินไม่ได้ เขาหลบเลี่ยงไม่ได้
“อนุของข้าเรียกข้ากลับไปกินข้าวแล้ว ข้าต้องขอตัวก่อน ไว้เจอกันใหม่” ไม่ จะไม่เจออีกแล้ว
ราชาผีตงฟางหายวับไปดั่งสายลม
ฉินหลิวซีเบ้ปากบ่น ช่างเถิด ไว้คราวหน้าจะถวายสุราหิมะเหมันต์หนึ่งไห และธูปชั้นดีอีกหนึ่งกำให้เขาก็ได้ จะให้ราชาผีทำให้เปล่าๆ ไม่ได้ใช่หรือไม่
นางเริ่มค้นหาสมบัติในถ้ำของนักพรตชั่วนั่น เดินเข้าไปข้างในเรื่อยๆ กระทั่งมาถึงโพลงที่ขุดเอาไว้ นางหยุดนิ่ง จากนั้นก็ย่อตัวลง มองดูพี่สาวน้องชายคู่หนึ่งที่อยู่ข้างใน
สองคนนั้นมองเห็นคนมา หดตัวเข้าไปข้างใน ท่าทางหวาดผวา
ฉินหลิวซีเปิดประตูเหล็ก เอ่ย “นักพรตชั่วนั่นตายแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว พวกเจ้าออกมาได้แล้ว”
ทั้งสองลังเลอยู่ชั่วครู่ เห็นนางเป็นเพียงเด็กหญิงคนหนึ่ง จึงค่อยๆ ออกมาช้าๆ
ฉินหลิวซีจ้องมองโหงวเฮ้งบนใบหน้าของทั้งคู่ ก่อนจะขมวดคิ้ว พลันมองเห็นชะตาชีวิตบอกว่า บิดามารดาได้ล่วงลับไปแล้ว อีกทั้งยังไม่มีญาติพี่น้อง เป็นเด็กกำพร้าทั้งสอง
แต่ว่าเหตุใดจึงถูกขังอยู่ในถ้ำแห่งนี้
ฉินหลิวซีตรวจดูรอบๆ พบว่ามีตุ๊กตาไม้สองตัว วางอยู่มุมถ้ำ ตุ๊กตาตัวหนึ่งเป็นชาย อีกตัวหนึ่งเป็นหญิง บนตัวเขียนวันเดือนปีเกิดเวลาเสร็จสรรพ นางใช้สองนิ้วหยิบขึ้นมาพลางคำนวณดวงชะตา ก่อนจะเหลือบไปเห็นหนังสือเก่าเล่มหนึ่ง จึงหยิบขึ้นมาเปิดดู
การหลอมเด็กชายหญิงบริสุทธิ์ เด็กหญิงธาตุหยินบริสุทธิ์ อาจใช้เป็นเตาหลอมยา หรือหลอมปีศาจหยิน เป็นอาวุธ และเด็กชายธาตุหยางบริสุทธิ์ เลือดมีพลังกล้าแกร่ง เลือดเนื้อใช้หลอมธงยันต์ สยบมารขับไล่ผี
สีหน้าแห่งความชิงชังของฉินหลิวซีปรากฏชัด นางอดเผาหนังสือเล่มนั้นเป็นเถ้าถ่านไม่ได้ แล้วหันไปมองเด็กหญิงผู้นั้น “ดวงชะตาวันเดือนปีเกิดของเจ้าเป็นปีหยิน เดือนหยิน วันหยินใช่หรือไม่”
นางเอ่ยถึงวันเดือนปีเกิดที่เขียนไว้บนตุ๊กตาไม้
เด็กหญิงพยักหน้า
ฉินหลิวซีมองไปยังเด็กชาย ไม่ต้องเอ่ย เด็กชายหยางบริสุทธิ์ก็คือเด็กคนนี้แล้ว
“แม่นางเป็นนักพรตหรือ” เด็กหญิงมองฉินหลิวซีพลางเอ่ยถาม
ฉินหลิวซีมองดูตัวเองในชุดเสื้อคลุมสีคราม ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
เด็กหญิงได้ยินเช่นนั้น รีบพาเด็กชายคุกเข่าลงพร้อมกัน เอ่ย “แม่นาง บิดามารดาของพวกเราถูกนักพรตชั่วนั้นสังหาร จากนั้นเราสองพี่น้องก็ถูกจับมาที่นี่ เขาบอกว่าจะหลอมพวกเราเป็นธงผีหรือเด็กผี แม่นางช่วยชีวิตพวกเราไว้ ท่านคือผู้มีพระคุณของพวกเรา พวกเรายินดีติดตามแม่นาง ออกบวชในอารามเต๋า”
พวกเขาได้ยินคำที่นักพรตชั่วเอ่ยไว้ ว่าดวงชะตาเช่นพวกเขานั้นหาได้ยากยิ่ง วันนี้รอดจากมือของนักพรตชั่วคนนั้นมาได้ หากไม่มีผู้คุ้มครองย่อมหลีกเลี่ยงนักพรตชั่วคนอื่นไม่ได้
ส่วนแม่นางผู้นี้ แม้ดูเยาว์วัยกว่าพวกเขา แต่กลับมีความสามารถปราบนักพรตชั่วลงได้ นั่นย่อมหมายความว่านางทรงพลังยิ่งกว่านักพรตชั่วคนนั้น
พวกเขาสองพี่น้อง จำเป็นต้องมีผู้คุ้มครอง เป็นนางพอดี
ฉินหลิวซี “พวกเจ้าคิดจะมาเกาะข้าหรือ”
เด็กหญิงโขกศีรษะ “พวกเรายินดีออกบวชเข้าสู่เต๋า แต่ขอร้องนักพรตน้อยช่วยคุ้มครอง”
ฉินหลิวซีนึกถึงเรือนเล็กของตนเองที่บ้านเก่า หันมามองโหงวเฮ้งของทั้งสองให้ละเอียดอีกครั้ง เป็นคนซื่อตรง จึงเอ่ย “ก็ได้ เช่นนั้นพวกเจ้าไปกับข้า ไม่ต้องออกบวชหรอก เพียงรับใช้ดูแลสวนปลูกยาดูแลบ้านให้ข้าเถิด”
เด็กหญิงนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แต่ก็เฉลียวฉลาดนัก “ขอแม่นางประทานชื่อให้พวกเราด้วย”
ยังจะให้ตั้งชื่ออีกหรือ น่ารำคาญจริง
ฉินหลิวซีคิดถึงกองสมุนไพรในเรือนยา เอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “ฉีหวง เฉินผี เอาเช่นนี้แหละ”
ตั้งไปอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก