คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 17 นักพรตชื่อหยวนและศิษย์ทรยศของเขา (7)
ตอนพิเศษ 17 นักพรตชื่อหยวนและศิษย์ทรยศของเขา (7)
………………..
ฉินหลิวซีส่งตั๋วเงินไม่กี่ใบให้ชิงหย่วน ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ ราวกับถูกบังคับให้ส่งเงินที่หามาด้วยความยากลำบากจากการดูแลสุสานบรรพบุรุษและสังหารนักพรตชั่วออกไปก่อนจะได้ใช้อย่างอบอุ่นใจ
ชิงหย่วนยิ้มอย่างเบิกบาน มือจับตั๋วเงินไว้อย่างมั่นคงก่อนจะรับมาอย่างราบรื่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส “ปีนี้เราคงซ่อมห้องฝึกธรรมเพิ่มได้อีกห้องหนึ่ง และยังซื้อข้าวสารไว้สำหรับการแจกจ่ายในฤดูหนาวได้อีกด้วย”
เขามองดูรูปร่างของฉินหลิวซีอีกครั้ง เอ่ย “ต้องเปลี่ยนเสื้อคลุมใหม่ให้เจ้าอีกแล้ว เจ้าโตขึ้นอีกแล้ว”
เด็กที่กำลังโต เติบโตไวเหมือนต้นไม้ เสื้อคลุมที่ตั้งใจทำให้ใหญ่ขึ้นทุกครั้ง ก็ยังไม่ทันกับความสูงของนาง แต่เด็กโตเร็วเช่นนี้ แสดงว่าดูแลดี มีสุขภาพสมบูรณ์
นั่นย่อมเป็นผลของลมปราณฟ้าดินแห่งอารามชิงผิงที่บ่มเพาะชีวิตได้ดี
ฉินหลิวซีเอ่ย “สมุนไพรธรรมดาก็ต้องซื้อเก็บไว้ด้วย ข้าดูแล้วปีนี้ฟ้าฝนแปรปรวนเกินไป เกรงว่าสภาพปีนี้จะไม่ดีนัก อาจมีภัยพิบัติ”
ชิงหย่วนมองตั๋วเงินบางเบาในมือ ก่อนขมวดคิ้วเอ่ย “เกรงว่าเงินนี้จะไม่พอ”
เขาหันมามองฉินหลิวซีด้วยสายตาอ้อนวอน ใบหน้ากลมที่ดูอ้วนขึ้นเล็กน้อยนั้นเต็มไปด้วยความหวัง
ฉินหลิวซี “…”
นางขอถอนคำพูดเมื่อครู่นี้
ชิงหย่วนเห็นสีหน้าหมดอาลัยตายอยากของนาง จึงเอ่ย “อาจารย์บอกว่า การช่วยคนดีแก้ปัญหาและขจัดภัยพิบัติ ไม่เพียงแต่เก็บสะสมค่าน้ำมันตะเกียงได้ แต่ยังเป็นการฝึกฝนสิ่งที่เจ้าศึกษา เจ้าจึงต้องรับภาระนี้อย่างหนัก”
ฉินหลิวซี “ข้ากลับเข้าเมืองแล้ว ข้ารับน้องสอง…ไม่สิ ช่วยสองคนมา”
ไม่รอชิงหย่วนแสดงสีหน้าใดๆ ชั่วพริบตานางก็วิ่งหายไปไม่เห็นเงาแล้ว
ชิงหย่วนส่ายศีรษะ หอบตั๋วเงินกลับอาราม ก่อนจะบอกกับชื่อหยวน
ชื่อหยวนเอ่ย “สิ่งที่นางนำกลับมา ก็จัดการเหมือนเดิม ส่วนหนึ่งใช้ซ่อมแซมอาราม ส่วนหนึ่งซื้อข้าวสารและสมุนไพรสำหรับแจกจ่าย หากเหลือก็ซื้อที่ดินเพิ่มอีกสองหมู่ หากยังมีเหลืออีก ก็ใช้ชื่อของนางบริจาคออกไป”
“ท่านไม่ต้องบอก ศิษย์ก็คิดไว้ว่าจะซื้อที่ดินอยู่แล้ว อารามอื่นยังมีนาเลี้ยงชีพ พวกเราก็ควรมีบ้าง แม้ผลผลิตจะไม่มาก แต่ก็ช่วยให้ศิษย์และผู้แสวงบุญในอารามให้มีข้าวกินเพียงพอ” ชิงหย่วนตรวจสอบตั๋วเงินในมือ พลางคิดว่าเงินนี้สามารถใช้ทำอะไรได้บ้าง หลายปีมานี้ ชื่อหยวนพาฉินหลิวซีสะสมเงินค่าน้ำมันตะเกียง ซ่อมแซมอารามทีละเล็กละน้อย และยังเหลือแบ่งไว้แจกจ่าย นี่คือบุญกุศล
ตอนนี้ ฉินหลิวซีเริ่มหาค่าน้ำมันตะเกียงด้วยตนเองแล้ว
ด้วยศาสตร์ทั้งห้าแห่งเต๋าที่นางได้ร่ำเรียน นับวันยิ่งเชี่ยวชาญ ขอเพียงนางยินยอม ทำนายหนึ่งครั้งเงินหมื่นตำลึงใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ว่าได้เงินมามากเพียงใด ต้องบริจาคออกไปส่วนใหญ่ แลกมากับผลบุญและชำระหนี้กรรม
ชิงหย่วนเอ่ย “จริงสิ ศิษย์น้องบอกว่าพาคนสองคนกลับมาอยู่ที่เรือนในเมืองด้วยขอรับ”
“ตามใจนาง เด็กคนนี้แม้อายุยังน้อย แต่เจ้าอย่าได้มองการกระทำของนางเป็นเพียงเด็กวัยสิบขวบ นางรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไร” ชื่อหยวนพลิกคัมภีร์เต๋าไป เอ่ยโดยไม่แม้จะเงยหน้า “กลับเรือนเดิมก็กลับไปเถิด เด็กจะถูกขังตลอดเวลาไม่ได้ ปล่อยให้นางอยู่สบายบ้าง ตามใจนาง”
อย่างไรไปที่ใดก็ยังเป็นศิษย์ใหญ่รุ่นที่สี่แห่งอารามชิงผิงของเขา
หนีไปไหนไม่ได้
ชิงหย่วนยิ้ม ก็จริง แม้แต่วัยสิบขวบ หรือเมื่อห้าปีก่อน นางก็แสดงความเฉลียวฉลาดเกินวัยอย่างเด่นชัด ไม่ปิดบังเลยสักนิด
แม้นางมีความดื้อรั้น แต่กลับเฉลียวฉลาดปานปีศาจ
เมื่อไม่มีคำสั่งใดเพิ่มเติมจากชื่อหยวน ชิงหย่วนจึงล่าถอยออกไป
ด้านนี้ ฉินหลิวซีได้จัดที่พักให้พี่น้องฉีหวงในเรือนเก่า อาบน้ำอุ่นอย่างสำราญใจ ฟังลุงหลี่รายงานว่ามีเงินตราส่งมาจากเมืองหลวง
ตลอดห้าปีที่ผ่านมา แม้ไม่ได้พบเจอกับครอบครัวนั้น แต่ทุกปียังคงได้รับตั๋วเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย
“ให้คนไปดูแลสุสานบรรพบุรุษสักหน่อย จากนั้นซื้อที่ดินเพื่อทำนาข้าวสำหรับเซ่นไหว้เพิ่มเถิด”
ลุงหลี่รับคำ
ฉินหลิวซีสั่งให้เขาพาพี่น้องฉีหวงเดินสำรวจรอบเรือนเดิมแห่งนี้ แล้วจัดให้พักอยู่ในเรือนเล็กของตน พร้อมกำชับหน้าที่ว่าต้องดูแลแปลงสมุนไพรของนางเป็นประจำ และเพื่อเรียนรู้สมุนไพรต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น นางจึงโยนตำราการเพาะปลูกให้เล่มหนึ่ง
เมื่อกำชับทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางก็หลับอย่างสุขสบาย
ตาเฒ่าชื่อหยวนเอ่ยไม่ผิดนัก เรือนเล็กในเรือนเดิมแห่งนี้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของนาง และเป็นที่ที่ช่วยให้นางได้พักผ่อนทั้งกายและใจ
…
ฉินหลิวซีนั่งคนเดียว สั่งชาหนึ่งกา ครอบครองโต๊ะหนึ่งตัว ส่วนรอบข้างนั้นเต็มหมด
“แม่นาง ที่นี่มีคนนั่งหรือไม่”
ฉินหลิวซีเงยหน้าขึ้น สายตาถูกแสงจากบุรุษผู้สง่างามที่ถามคำถามแยงตาจนพร่ามัว บุรุษผู้นี้ดูมีความสง่าทางวิชาการ เปี่ยมไปด้วยบุญกุศล น่าชวนให้อิจฉายิ่ง
“ท่านเชิญนั่งเถิด”
ถังจื่อสือนั่งลง สั่งชาหวานหนึ่งกา สายตาจับจ้องฉินหลิวซี “เด็กน้อยเจ้ามาคนเดียว ไม่มีผู้ใดมาด้วยหรือ”
ฉินหลิวซีคลี่ยิ้มพยักหน้า “คนเดียว ย่อมมีความสำราญคนเดียว”
ถังจื่อสือมุมปากกระตุก มองสำรวจนาง แปลกใจเล็กน้อย ด้วยคิดว่าเด็กหญิงคนนี้อายุไม่ต่างจากหลานสาวของตน ไฉนจึงเอ่ยวาจาอย่างกับคนแก่เช่นนี้ เอ่ย “หน้าตาเจ้าไม่คุ้นเลย ข้าอยู่เมืองหลีนี้มานานหลายปี กลับไม่เคยเห็นเจ้า”
“เพราะข้ากับท่านเพิ่งผูกวาสนาต่อกัน ในเมื่อเพิ่งได้พบเจอ จึงเพิ่งสมควรเห็นกันในตอนนี้” ฉินหลิวซีดื่มชาจนหมดกา ยื่นถ้วยว่างให้ด้วยสองมือ
ถังจื่อสืออึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะเบาๆ ยกกาน้ำชาของตนรินให้เต็มถ้วยอีกครั้ง ก่อนดันขนมฝูหรงไปตรงหน้านาง
นี่ยังเด็กอยู่แท้ๆ
ฉินหลิวซีจิบชาอีกคำ ก่อนจะหรี่ตาลง หวานจริงๆ
นางวางถ้วยชาลง เอ่ย “ลัทธิเต๋าเน้นย้ำเรื่องกรรม ข้าน้อยดื่มชาของท่านแล้ว ผูกวาสนาแล้ว ย่อมต้องชดใช้”
ถังจื่อสือรอยยิ้มชะงัก สายตาจับจ้องที่ชุดสีครามบนตัวนาง กับมวยผมที่พันด้วยผ้าคลุมศีรษะ ดูคล้ายเป็นนักพรตน้อยจริงๆ
“เจ้าเป็นนักบวชจริงๆ หรือ”
“ข้าน้อยคือศิษย์แห่งอารามชิงผิง มีนามทางเต๋าว่า ‘ปู้ฉิว’”
“ได้ยินว่าอารามชิงผิงเพิ่งเปิดประตูอีกครั้ง เจ้าคือนักพรตน้อยในอารามนั้นอย่างนั้นหรือ แต่ข้าจำได้ว่าอารามชิงผิงไม่ใช่อารามนักบวชหญิง”
ฉินหลิวซีเอ่ยตอบ “ไม่ใช่อารามหญิง ก็เข้าสู่เต๋าได้”
ถังจื่อสือไม่รู้ควรเอ่ยสิ่งใด นางดูมีชีวิตชีวาเช่นนี้ แต่กลับเป็นนักพรตหญิง
ถังจื่อสือเผลอยกมือแตะหน้าผากโดยไม่รู้ตัว รู้สึกประหลาดใจว่าทำไมนางจึงถามขึ้นมาเช่นนี้ แต่ฟังจากคำพูดเกี่ยวกับแพทย์ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป “เจ้ารู้วิชาแพทย์ด้วยหรือ”
“ห้าศาสตร์แห่งลัทธิเต๋า ข้าน้อยล้วนศึกษาเล่าเรียนมาบ้าง วิชาแพทย์และพยากรณ์นั้น ข้าน้อยศึกษาได้ไม่เลว” ฉินหลิวซีเอ่ย “หัวใจของท่านนั้น ดูจะไม่ค่อยสู้ดีนัก”
ถังจื่อสือยกมือกุมหน้าอก ไม่เอ่ยสิ่งใด สีหน้ายิ่งแปลกประหลาดกว่าเดิม “ต่อให้เจ้าบวชตั้งแต่เกิด ดูวัยเจ้า คงไม่เกินสิบขวบกระมัง”
ดังนั้นเจ้ามั่นใจหรือว่าไม่ได้พูดเหลวไหล
“ท่านเป็นผู้สอนหนังสือ ย่อมทราบดี การเรียนรู้ไม่แบ่งวัย ผู้เก่งกล้าย่อมอยู่ก่อน แม้ข้าจะเยาว์วัย แต่ข้าน้อยก็เก่งกาจนะ” ฉินหลิวซีหยิบยันต์สามเหลี่ยมขึ้นมาจากแขนเสื้อ ยื่นให้ “ดื่มชาของท่านแล้ว ยันต์แคล้วคลาดนี้ ข้าน้อยขอมอบให้ หากท่านเกิดโรคกำเริบ จงมาที่จวนตระกูลฉินในตรอกปาจิ่ง ยันต์นี้จะช่วยปกป้องท่านไว้จนกว่าข้าจะไปถึงหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับชะตาของท่านเอง”
นางลุกขึ้น ค้อมศีรษะเล็กน้อย แล้วหันหลังเดินจากไป
ถังจื่อสือจ้องยันต์สามเหลี่ยมนั้น ราวกับจะจ้องจนมันเป็นรู
“พี่จื่อสือ เรียกตั้งหลายครั้งก็ไม่ได้ยิน ไฉนถึงเหม่อเช่นนี้เล่า” มีผู้หนึ่งเดินเข้ามาเขย่าตัวถังจื่อสือ มองยันต์สามเหลี่ยมบนโต๊ะ ยื่นมือออกไป “นี่อะไรหรือ”
ถังจื่อสือรีบคว้ายันต์ขึ้นมาเก็บใส่ในถุงผ้าของตน สายตาจับจ้องออกไปด้านนอก แต่เด็กสาวผู้นั้นกลับไม่มีแม้เงา ราวกับว่าบทสนทนาเมื่อครู่เป็นเพียงฝันที่ใต้ต้นไม้[1]เท่านั้น
[1] เพียงฝันที่ใต้ต้นไม้ ทุกอย่างเหมือนดั่งฝัน