คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 18 นักพรตชื่อหยวนและศิษย์ทรยศของเขา (8)
ตอนพิเศษ 18 นักพรตชื่อหยวนและศิษย์ทรยศของเขา (8)
………………..
ถังจื่อสือคาดไม่ถึงเลยว่า ชีวิตของเขาจะได้รับการช่วยเหลือจากเด็กสาววัยสิบขวบ คำพูดของฉินหลิวซีในวันพบกันที่โรงน้ำชานั้น ไม่นานเขาก็ลืม
ทว่าเพียงสองวันให้หลัง เขากลับมีเหงื่อเย็นไหลทั่วร่าง ใบหน้าซีดเผือด หัวใจปวดร้าวเหมือนถูกบีบจนหายใจแทบไม่ออก เป็นยันต์แคล้วคลาดที่อุ่นร้อนเล็กน้อยนั่นเองที่บอกให้เขารีบไปหาคนผู้นั้น
คนในบ้านต่างคิดว่าเขาคงเสียสติ จึงเรียกหมอประจำจวนมาก่อน แต่เมื่อขัดต่อความดื้อดึงของเขาไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องไปเชิญคนที่จวนตระกูลฉิน
ผลลัพธ์เป็นอย่างไรก็คงรู้ หมอประจำจวนจนปัญญา ในตอนที่ถือเข็มก็ยังมือสั่น เป็นฉินหลิวซีที่ดึงเขากลับมาจากประตูผี
ทุกคนในบ้านมองฉินหลิวซีราวกับเห็นภูตผี โดยเฉพาะหมอประจำจวนที่ดูเหมือนหมดสิ้นกำลังใจ ฝีมือการใช้เข็มของนางนั้น เขายังมองตามไม่ทันเลย
“เจ้าวัยเพียงเท่านี้ ใช้เข็มได้มั่นคงถึงเพียงนี้ ยังกล้าเสี่ยงอีกด้วย” หมอประจำจวนแทบอยากจะผ่าเปิดสมองของฉินหลิวซีดูว่าภายในนั้นมีสิ่งใดกันแน่
ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้าเข้าสู่ลัทธิเต๋าตั้งแต่อายุห้าขวบ ตั้งแต่นั้นมาอาจารย์ของข้าก็พาไปคลุกคลีในสุสานร้างหรือหลุมศพตั้งแต่ยังเด็ก ข้าผ่าศพเพื่อศึกษาร่างกายและสาเหตุการตายตั้งแต่อายุหกขวบ สุสานและหลุมศพในเมืองหลี ข้าไปมาหมดแล้ว หากไม่มีศพใหม่ก็ไปที่อื่นไม่ว่าศพจะตายด้วยโรคหรือบาดเจ็บ สาเหตุการตายต่างกัน การรักษาก็ต่างกันไป”
ทุกคน “…”
ในจินตนาการของพวกเขาปรากฏภาพเด็กสาวตัวน้อยในอาภรณ์คราม ไว้มวยผมเล็กๆ กำลังขะมักเขม้นผ่าศพทีละศพเพื่อดูสาเหตุการตาย หากพบสถานการณ์เช่นนี้ควรรักษาอย่างไร
“จุดเส้นประสาทในร่างกายก็เช่นเดียวกัน การใช้เข็ม ข้าฝึกฝนทุกวันจนชำนาญถึงขั้นใช้เข็มบินได้ มือไม่สั่นมั่นคงดั่งสุนัข” ฉินหลิวซียิ้มให้หมอประจำจวน “แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้ามีพรสวรรค์แต่กำเนิด เป็นต้นกล้าที่มีความสามารถพิเศษ ศึกษาสิ่งใดก็สำเร็จรวดเร็ว”
หมอประจำจวน ขอร้องเจ้าอย่าแทงมีดลงมาอีกเลย
เขาเดินออกจากห้องไปเงียบๆ เขาต้องการความสงบ
ถังจื่อสือใบหน้าซีดขาว เอ่ย “โรคหัวใจของข้ายังรักษาได้หรือไม่”
“เมื่อข้าดึงท่านกลับมาจากประตูผีได้ ย่อมรักษาได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับตัวท่านด้วย ท่านต้องรักษาสุขภาพ ออกกำลังกาย และใส่ใจเรื่องอาหาร ข้าจะจัดตำรับอาหารให้ พร้อมกับใบสั่งยา นอกจากนี้ยังมีตำรับอีกหนึ่งอย่างที่จะให้ทางร้านยาเตรียมเป็นยาลูกกลอน หากรู้สึกแน่นหน้าอกหายใจลำบาก ก็กินหนึ่งเม็ด”
ถังจื่อสือฟังน้ำเสียงราวกับนักพรตแก่นี้ ก่อนจะหันไปมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของนาง รู้สึกขัดแย้งขึ้นมา แต่ก็ยากที่จะไม่เชื่อ
ช่างเป็นเด็กประหลาดนัก
นับแต่นั้น ทุกอย่างเป็นดั่งที่ฉินหลิวซีกล่าวไว้ เมื่อก่อนยังไม่พบเจอก็เพราะวาสนายังมาไม่ถึง คราวนี้เมื่อได้พบแล้วก็คือจุดเริ่มต้นแห่งสายสัมพันธ์
ถังจื่อสือมีสหายน้อยต่างวัยเพิ่มมาอีกหนึ่ง แม้จะไม่ได้ทำพิธีรับเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ แต่กลับคล้ายเป็นทั้งอาจารย์และสหาย
…
เดือนสิบเอ็ด หิมะโปรยปรายเหนือภูเขาเทียน
เด็กสาวตัวน้อยผู้หนึ่งกำลังปีนป่ายไปบนภูเขาหิมะด้วยความยากลำบาก ลมหายใจหนักหน่วง มือเล็กๆ คำนวณหาจังหวะอยู่ไม่หยุด บัวหิมะหมื่นปี นางต้องได้มาให้จงได้ จะได้เก็บไว้เป็นส่วนผสมสำหรับยาเสริมรากฐานปราณให้ตาเฒ่า
ตามตำราดูดาว บัวหิมะอยู่ในที่แห่งนี้ แต่ปีนมาเนิ่นนาน ไยจึงยังไม่เจอ
ไม่ถูกสิ นางต้องรีบ หากมันบานหมดแล้ว กลัวว่าจะถูกสัตว์อื่นชิงไปเสียก่อน
ฉินหลิวซีหยิบเข็มทิศออกมา เพ่งดูทิศทางของเข็ม แล้วมุ่งหน้าไปตามที่มันชี้อีกครั้ง
สองชั่วยามผ่านไป นางมายืนอยู่บนยอดเขาหิมะ เผชิญหน้ากับจิ้งจอกสีแดงเพลิงตัวหนึ่งอยู่เบื้องหน้าบัวหิมะหมื่นปี ดวงตาสองข้างของนางจับจ้องไปยังเก้าหางใหญ่ที่แกว่งไกวอยู่ด้านหลังของมัน
“มนุษย์ น้ำลายเจ้าจะไหลแล้ว” จิ้งจอกเอ่ยด้วยเสียงเย้ยหยัน
ฉินหลิวซีเผลอยกมือเช็ดมุมปาก มีคราบน้ำลายอยู่เล็กน้อยจริงๆ เอ่ย “เจ้าคือจิ้งจอกเก้าหางหรือ”
“เจ้าตาบอดหรืออย่างไร” จิ้งจอกยืนเกียจคร้านอยู่ข้างบัวหิมะ หมุนหางเก้าหางของตนอย่างอ้อยอิ่ง
น้ำเสียงเช่นนี้ ช่างโอหังยิ่งนัก
ฉินหลิวซีหรี่ตา มองดูขนที่มันเงาวับและหางทั้งเก้าของเขาพลางคิดในใจว่า ช่างงดงามนัก ข้าจะอดทนต่อเจ้าได้อย่างไร
“เจ้าบำเพ็ญเพียรมานานเท่าใดแล้ว”
จิ้งจอกเก้าหางหัวเราะหยัน “เจ้าเด็กน้อย กลับไปดื่มนมเสียเถิด จะให้ข้าดูอย่างนั้นหรือ เจ้ายังเด็กนัก”
“ว้าว มีสายรุ้ง” ฉินหลิวซีร้องขึ้นพลางชี้ไปด้านหลังเขา
จิ้งจอกเก้าหางหันไปมอง แต่หางตากลับเห็นเงาเล็กๆ พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว มันไม่คิดลังเล ใช้กรงเล็บกดลงบนบัวหิมะทันที
หลอกล่อเบนความสนใจ มนุษย์ช่างเจ้าเล่ห์ ไม่เกี่ยวกับอายุจริงๆ
“ไสหัวไป” มันส่งพลังอำนาจออกมาเป็นคลื่นพัดใส่ฉินหลิวซี
บัวหิมะหมื่นปีนี้ มันเฝ้ารอมานานนับพันปี เพื่อให้มันบานและเกิดแก่นจิตวิญญาณ หากมันกลืนกินเข้าไปก็จะสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ เด็กมนุษย์ผู้นี้ยังกล้ามาคิดเด็ดดอกไม้ นางเพ้อฝันเสียแล้ว
ฉินหลิวซีพลิกกายหลบพลังอย่างว่องไว ขณะเดียวกัน มือเรียวก็ร่ายอาคมส่งพลังเข้าใส่ “บัวหิมะนี้ต้องเป็นของข้า ข้าจะตั้งเจ้าเป็นผู้พิทักษ์อย่างถูกต้อง”
จิ้งจอกเก้าหางชะงักไปชั่วครู่ ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะจนหิมะบนยอดเขาร่วงลงมา เอ่ย “อาศัยเจ้าน่ะหรือ เพ้อฝันยิ่งนัก”
“ก็อาศัยข้านี่แหละ ข้าคือผู้ที่ฟ้าดินให้พร หากข้าตั้งเจ้าเป็นผู้พิทักษ์ เจ้าจะสมปรารถนาและแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์” ฉินหลิวซีเอ่ย “แต่หากเจ้าไม่ยอม ข้าก็จะก่อกวนในยามที่เจ้าผ่านด่านเคราะห์ ให้เจ้าล้มเหลวไม่เป็นท่า”
จิ้งจอกเก้าหาง “!”
โลกมนุษย์ไยจึงมีมนุษย์เด็กไร้ยางอายเช่นนี้
มนุษย์นี่อันตรายจริงๆ
ดวงตาจิ้งจอกของเขาแดงก่ำ พลังสังหารทบทวี สายตาเย็นเยียบจ้องเขม็ง เอ่ย “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะฆ่าเจ้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ฆ่าข้า เจ้าก็จะไม่มีวันสำเร็จอะไรทั้งสิ้น” ฉินหลิวซีร่ายอาคมด้วยสองมือ ทันใดนั้นแสงสีทองแห่งกุศลก็ส่องประกายเจิดจ้า รอบกายของนางมีแสงรุ้งสะท้อนไปทั่วทั้งฟ้าดิน ขับให้ใบหน้าของนางดูเหมือนไม่มีอยู่จริง
จิ้งจอกเก้าหางเกิดความอิจฉา นี่มันแสงกุศล หากข้ามีเช่นนี้ การแปลงร่างคงไม่ใช่เรื่องยากใช่หรือไม่
แต่หากฆ่านาง เรื่องกรรมและผลของมันคงผูกพันไปชั่วชีวิต ฟ้าดินคงไม่ยอมให้ข้าผ่านด่านเคราะห์ไปได้แน่
เพราะนางเป็นผู้มีบุญ เป็นคนมีเมตตาในทางเต๋า คนที่ฟ้าดินให้การปกป้อง
ทั้งสองต่างประลองคารม ไม่มีผู้ใดยอมลงให้กัน
ทันใดนั้น กลิ่นหอมประหลาดเย็นยะเยือกลอยมาแตะจมูก ทำให้จิตใจสดชื่นขึ้นทันที ทั้งสองหันไปมองพร้อมกัน
บัวหิมะหมื่นปีกำลังจะบานแล้ว
จิ้งจอกเก้าหางตาวาว ร่างพุ่งออกไป กรงเล็บแกร่งจ่อเข้าหาดอกบัว
มันเร็ว แต่ฉินหลิวซีก็เร็วไม่แพ้กัน นางพุ่งตัวเข้าไปแย่ง เอ่ย “สมบัติฟ้าดิน หากพบเห็นก็คือวาสนา แบ่งกันคนละครึ่ง”
“ฝันไปเถิด” จิ้งจอกเก้าหางร่ายเสน่ห์หมายดึงนางเข้าสู่ภาพลวงตา
แต่พริบตาที่ใช้เสน่ห์ ความรู้สึกสยดสยองกลับแผ่ซ่านทั่วร่าง มันหันมอง เห็นเปลวไฟประหลาด ร้อนแรงและดุดันพวยพุ่งออกมาจากมือของฉินหลิวซี
จิ้งจอกเก้าหางรู้สึกได้ถึงภัยอันตรายใหญ่หลวงที่ไม่เคยเผชิญมาก่อนในพันปี
“เลือกเอา คนละครึ่ง ข้าจะช่วยแต่งตั้งเจ้าอย่างถูกต้อง เชื่อข้า ข้าไม่เคยหลอกผู้ใด” ฉินหลิวมองมัน “ข้ากล้าสาบานต่อฟ้า หากโกหกเจ้า ฟ้าผ่าในด่านเคราะห์เก้าสวรรค์ ข้าจะรับแทนเจ้า”
จิ้งจอกเก้าหางสะท้านในใจ มองจ้องลึกลงไปในดวงตาของนาง ดวงตาที่ใสกระจ่างและเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาคู่นั้น ภายในนั้นสะท้อนเงาของตน
หรือว่า จะลองเชื่อนางสักครั้ง