คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 19 เฟิงซิว
ตอนพิเศษ 19 เฟิงซิว
………………..
เฟิงซิวได้รับคำเตือนจากมารดามาเนิ่นนานแล้วว่า มนุษย์เจ้าเล่ห์ยากที่จะไว้ใจได้ หัวใจมนุษย์ลึกลับซับซ้อนยิ่งกว่าปีศาจ ไม่อาจปล่อยใจให้ประมาทได้เป็นอันขาด ด้วยเหตุนี้ตลอดพันปีที่ผ่านมา เขาจึงรักษาระยะห่างจากมนุษย์ ซ่อนตัวในส่วนลึกของเขาเทียน บำเพ็ญเพียร ชมอาทิตย์อัสดง ดวงจันทร์ลอยลับ เฝ้าดูทะเลเฝ้าดูทุ่งนา ความเปลี่ยนแปลงของโลกหล้าผ่านพ้นไป
พันปีมานี้ มารดาของเขาถึงคราวสิ้นอายุขัย เหลือเขาเพียงหนึ่งเดียวในโลก เป็นจิ้งจอกเก้าหางตัวสุดท้าย การบำเพ็ญเพียรโดยลำพังนั้นช่างเงียบเหงาเสียจริง เขาจึงคิดลองเป็นมนุษย์ดูสักครั้ง ลองเดินทางลงสู่โลกมนุษย์เพื่อดูว่าคุ้มค่าหรือไม่
เด็กสาวนามฉินหลิวซีผู้นี้ คือมนุษย์คนแรกในพันปีนี้ที่เขาคิดจะลองเชื่อถือ
หากนางทรยศเขา เขายอมสละพันปีแห่งการบำเพ็ญ และจะลากนางลงสู่นรกไปพร้อมกัน
เมื่อบัวหิมะหมื่นปีบานเต็มที่และกลายเป็นแก่นวิญญาณ เฟิงซิวลังเลอยู่ชั่วครู่ หากกินทั้งหมดนี้ อาจเพิ่มโอกาสสำเร็จผ่านด่านเคราะห์หรือไม่
“เจ้ากินทั้งหมดไม่ได้หรอก จะควบคุมพลังไม่ไหว” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างเย็นชา
เฟิงซิวฮึดฮัด กางกรงเล็บลงบนแก่นวิญญาณและดอกบัว แบ่งออกเป็นสองส่วน เขารีบกลืนลงไปทันที
บัวหิมะหมื่นปีเป็นสมบัติฟ้าดินที่เลอค่า เพียงครึ่งดอก พลังปีศาจในตัวเฟิงซิวก็พลุ่งพล่าน เขากดข่มไว้พลางหันไปมองฉินหลิวซี เอ่ยถาม “ข้าจะกลายเป็นมนุษย์ได้จริงหรือ”
ฉินหลิวซีมองเขาไม่เอ่ยวาจา
หัวใจเฟิงซิวเย็นวาบ สายตาไร้ซึ่งอารมณ์
ฉินหลิวซียิ้มออกมาทันใด “มีข้าอยู่ เจ้าย่อมกลายร่างเป็นมนุษย์ได้”
เฟิงซิวตะลึงงัน
“เรียกพลังปีศาจในตัวเจ้าดึงดูดด่านเคราะห์เถิด ความคิดทั้งมวลของเจ้าต้องมุ่งอยู่ที่สิ่งนี้ เจ้าต้องกลายเป็นมนุษย์ของโลกนี้” ฉินหลิวซีหยิบยันต์และหยกหลายชิ้นออกมา พร้อมทั้งหยิบเข็มทิศ เริ่มจัดวางค่ายอาคม
เฟิงซิวมองนางจัดการอย่างประณีต ในใจรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง
สาวน้อยในชุดสีครามตั้งอกตั้งใจจัดค่ายอาคมอย่างละเอียดรอบคอบ ทุกตำแหน่งผ่านการคำนวณอย่างแม่นยำก่อนฝังยันต์และหยกลงพื้น ไม่นานนัก นางก็ร่ายอาคมพร้อมกับกระทืบเท้าลงเบาๆ
บรรยากาศไร้รูปพลันแปรเปลี่ยน พลังวิญญาณเบาบางบนโลกราวกับหาทางเข้าเจอ เริ่มหลั่งไหลมาทางมันไม่หยุด
เฟิงซิวสัมผัสได้ถึงพลังปีศาจอันมหาศาลในร่างที่ถูกพลังฟ้าดินกระตุ้น เขามองฉินหลิวซีอย่างลึกซึ้ง
ความไว้วางใจของมันครั้งนี้ ดูเหมือนเขาจะไม่ได้มอบให้ผิดคน
การแปลงกายของภูตพรายนั้นต้องอาศัยฟ้าดินและบุคคลผู้เหมาะสม เฟิงซิวได้ครอบครองสองสิ่งแรกแล้ว ส่วนฉินหลิวซีก็เหมือนถูกลิขิตให้มาเป็นผู้ช่วย
เฟิงซิวหัวเราะเย้ยหยัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็จะทุ่มสุดกำลัง เดินทางสู่โลกมนุษย์ดูสักครั้ง
เขาเข้าสมาธิ เรียกพลังปีศาจเพื่อดึงดูดด่านเคราะห์
ฉินหลิวซีที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก มองดูเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนนั่งขัดสมาธิเอามือเท้าคาง เห็นได้ชัดว่านางง่วง ขณะรอเวลา ศีรษะของนางก็เริ่มสัปหงกคล้ายลูกเจี๊ยบจิกข้าว
นางง่วงแล้ว
เฟิงซิวแบ่งเศษเสี้ยวหนึ่งของจิตออกไปสอดส่องภายนอก เกือบเสียสมาธิแตกพ่าย ความสงสัยเกิดขึ้นในใจว่าเด็กสาวคนนี้จะช่วยเขาได้จริงหรือ
อย่างไรก็ตาม นางยังไม่จากไป
ช่างเถิด
เฟิงซิวดึงจิตกลับมา มุ่งมั่นตั้งใจถามสัจธรรมแห่งมนุษย์โลก จนกระทั่งก้อนเมฆดำทะมึนม้วนตัว เสียงฟ้าร้องครืนดังในหมู่เมฆ ฟ้าผ่ากำลังจะมาถึง
ฉินหลิวซีลืมตาตื่นขึ้นทันใด นางตะโกนขึ้นเสียงดัง “จะแปลงร่างทั้งทีต้องทำให้ดูดีหน่อย อย่าได้กลายเป็นตัวประหลาดที่น่าเกลียดเล่า”
เฟิงซิว “?”
เจ้าหุบปากไปเสีย
ปีศาจผู้กำลังแปลงกายต้องเผชิญกับฟ้าผ่าที่รุนแรง สายฟ้าขนาดเท่าข้อมือผ่าลงมาอย่างเกรี้ยวกราด
ฉินหลิวซีมองดูด้วยความตกใจ พลางคิดว่าหากวันหนึ่งนางต้องยกระดับพลัง จะต้องถูกผ่าอย่างหนักหน่วงเช่นนี้หรือไม่ เมื่อได้เห็นสายฟ้า นางอดไม่ได้ที่จะคาดหวังว่าจะเจรจากับฟ้าผ่าได้ในอนาคต ขอให้เบาลงสักหน่อยได้หรือไม่
สายฟ้าผ่าผิดเล็กน้อย
ผมของฉินหลิวซีที่มัดเป็นปมระเบิดฟูขึ้น ผมทุกเส้นตั้งชัน
“ฟ้าผ่าเอ๋ย ช่วยมองให้ดีหน่อยเถิด ข้าไม่ได้เป็นคนผ่านด่านเคราะห์เสียหน่อย” ฉินหลิวซีโกรธจัด ชี้สายฟ้าพลางด่าว่าต่างๆ นานาอย่างกล้าหาญโดยไม่หวั่นเกรง
ระหว่างที่นางด่าอยู่นั้น ความคิดหนึ่งก็แล่นผ่าน นางมองไปรอบๆ ก่อนจะไปขุดต้นท้อป่าต้นเล็กๆ บนหน้าผา นำมาวางไว้ใกล้เฟิงซิว “มาๆๆ หากแน่จริงก็จงผ่าตรงนี้”
สายฟ้า “?”
เฟิงซิว “…”
ทั้งที่ไม่ควรเสียสมาธิ แต่ไยเขากลับรู้สึกว่านางมาเพื่อทำลายล้าง
ด้วยความวุ่นวายของเด็กสาวผู้แสนยุ่งเหยิงนี้ สายฟ้ากลับดูเหมือนจะถูกดึงสมาธิไปด้วย แรงฟ้าผ่าที่ลงมากลายเป็นเบาลงจนกระทั่งถึงสายฟ้าสุดท้าย อันเป็นสายฟ้าที่ทดสอบทั้งจิตวิญญาณและจิตใจอย่างแท้จริง
เฟิงซิวที่ร่างกายแตกยับเยินและจิตวิญญาณเจ็บปวดอย่างมหันต์ เกิดความหวั่นไหวขึ้นมาชั่วครู่ แม้แต่มารดาของเขายังไม่สามารถแปลงร่างได้ แล้วเขาจะทำสำเร็จหรือ
ความลังเลนี้ทำให้พลังปีศาจในจิตรั่วไหล
เฟิงซิวเริ่มวิตก
หากพลังรั่วไหลมากกว่านี้ เขาย่อมไม่รอดพ้นด่านเคราะห์ พันปีแห่งการบำเพ็ญจะต้องสูญสิ้นไปในพริบตา
ฉินหลิวซีรู้สึกถึงความผิดปกติ ขมวดคิ้ว เอ่ย “อย่ากลัวไปเลย ข้าอยู่ที่นี่”
สายตานางจ้องมองสายฟ้าที่ใกล้จะผ่าลงมา ในใจคิดว่าจะไม่ยอมให้เก้าหางอันงดงามของเขาต้องหลุดร่วงไปแน่
ฉินหลิวซีวิ่งเข้ามาใกล้ ร่ายอาคมพร้อมกับถ่ายบุญกุศลส่วนหนึ่งลงในร่างของเขา
ในขณะเดียวกัน สายฟ้าสีม่วงขนาดมหึมา ก็มาพร้อมพลังฟาดฟันที่รุนแรง ก่อนจะผ่าลงไป
ฉินหลิวซีที่อยู่ใกล้กับจุดฟ้าผ่า รู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าที่เสียดแทงและทำให้มึนงง ใบหน้าของนางซีดเผือดทันใด นางพยายามควบคุมกระแสไฟฟ้าให้วิ่งผ่านเส้นลมปราณ
เมฆดำค่อยๆ สลายหายไป แทนที่ด้วยแสงหลากสีที่สาดลงมา พร้อมฝนวิญญาณที่โปรยปรายเบาๆ หล่อเลี้ยงสรรพสิ่งทั้งปวง และชุบชีวิตผู้ที่ผ่านบททดสอบแห่งฟ้าผ่า…ปีศาจหรือ
ฉินหลิวซีมองดูร่างหนึ่งที่ขดตัวอยู่กับพื้น ผมยาวปกคลุมทั่วร่างจนไม่อาจเห็นได้ว่าเป็นหรือตาย นางรีบเดินเข้าไปใกล้ ยกเท้าขึ้นสะกิดเบาๆ “นี่ ตายแล้วหรือ”
เฟิงซิวไม่ขยับแม้เพียงนิด
ฉินหลิวซีย่อตัวลง ใช้มือลูบเส้นผมออก เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามยิ่งนัก คิ้วเรียวยาวดุจนกเหิน ดวงตาเรียวคมแบบจิ้งจอกปิดสนิท เส้นขอบตางามล้ำ ผิวขาวเนียนราวกระเบื้องเคลือบ
อึก
ฉินหลิวซีกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ชายรูปงามยามหลับ ช่างงดงามนัก
“เช็ดน้ำลายเจ้าด้วย” เฟิงซิวลืมตาขึ้น นั่งตัวตรงช้าๆ “เจ้าพอใจในสิ่งที่เห็นหรือไม่”
ฉินหลิวซีพยักหน้า ยื่นมือไปบีบแก้มทั้งสองข้างของเขา ดึงเบาๆ ก่อนหัวเราะออกมา “สวัสดี คนปีศาจ
รอยยิ้มบนใบหน้าเฟิงซิวพลันแข็งทื่อ ให้ตายสิเจ้าเด็กบ้า สมควรถูกตีหรือไม่
“เจ้าคนปีศาจอะไรกัน ข้าชื่อเฟิงซิว เฟิงแห่งการผนึก ซิวแห่งการบำเพ็ญ มารดาของข้าตั้งชื่อนี้ หวังว่าสักวันข้าจะได้ผนึกตน บำเพ็ญจนบรรลุสัจธรรมไร้ความเสียใจ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน “เจ้า เรียกข้าว่าพี่ชายดูสิ”
ฉินหลิวซีเอ่ย “เจ้าบรรลุแล้วก็เหมือนว่าเป็นวันเกิดของเจ้า แต่ข้าอายุมากกว่าเจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่สาวจึงจะถูก”
เฟิงซิวลุกขึ้นยืนทันที “เด็กน้อยขนยังขึ้นไม่ครบจะมาเป็นพี่สาวข้าอย่างนั้นหรือ”
เมื่อเขาลุกขึ้น ร่างเปลือยเปล่าที่ไร้สิ่งปกปิดกลับเผยให้ฉินหลิวซีเห็นเต็มสองตา
ฮู้ววว
ฉินหลิวซีตะลึง “นี่ข้าไม่ต้องจ่ายเงินก็ดูได้อย่างนั้นหรือ แต่นับว่าเจ้าบรรลุได้สมบูรณ์ ทั้งครบทั้งงาม”
อะไรนะ
เฟิงซิวก้มมองตนเอง ตกใจนิ่งไปสองลมหายใจ ก่อนจะร้องเสียงหลงวิ่งหนีไป “มนุษย์ช่างน่าละอาย เจ้ารู้จักคำว่าอย่าละลาบละล้วงหรือไม่”
ฉินหลิวซีบ่นพึมพำ วิ่งทำไมกัน ข้ายังไม่ได้ว่าเจ้าเล็กเสียหน่อย