คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนพิเศษ 22 กงปั๋วเฉิง
ตอนพิเศษ 22 กงปั๋วเฉิง
………………..
กงปั๋วเฉิง ไม่สิ เดิมต้องเรียกเขาว่าจวงเฉิง เป็นเขาที่ทอดทิ้งตระกูลเดิมที่เขามี เปลี่ยนมาใช้สกุลของมารดา จึงกลายเป็นคนที่ถูกกล่าวขานในหมู่ผู้คนว่าเป็นผู้กบฏ หักหลังครูบาอาจารย์และทำลายวงศ์ตระกูล
เดิมตระกูลจวงเป็นตระกูลชาวนาที่ไม่โดดเด่นนัก ในยุคสมัยฮ่องเต้เจี้ยนผิง ตระกูลจวงยากจน เด็กๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้กินข้าว จวงฟู่กุ้ยผู้นั้นที่อยู่อันดับกลางของครอบครัวได้เข้าวัง กลายเป็นขันที เกลือกกลิ้งปีนป่ายอยู่ในวัง อาศัยมือที่หวีผมและบีบนวด ได้มีวาสนา ขึ้นเป็นหนึ่งในขันทีใหญ่ข้างกายฮ่องเต้เจี้ยนผิง
เมื่อมีอำนาจขึ้นมา ตระกูลจวงก็รุ่งโรจน์ บุรุษรู้จักหาช่องทาง สตรีได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างดี สิ่งที่ร่ำเรียนไม่ใช่ความสง่างามของการเป็นนายหญิง แต่เป็นการปรนนิบัติบุรุษ ทักษะที่พวกนางมีจึงไม่เก่งเรื่องฉิน หมากล้อม วาดภาพ แต่กลับเป็นเรื่องของเสน่ห์ ขอเพียงเป็นประโยชน์แก่ครอบครัว ไม่ต้องสนใจว่าเป็นภรรยาเอกหรือภรรยารอง พร้อมมีคู่ครอง
และที่น่าขันก็คือ เมื่อบุรุษในตระกูลจวงประสบความสำเร็จ ต้องแต่งงานกับสตรีจากครอบครัวสูงศักดิ์ กระทั่งทอดทิ้งภรรยาเก่า
เพื่อช่วงชิงตำแหน่งทายาทจากจวงฟู่กุ้ยในตระกูลจวง พี่น้องในตระกูลจวงต่างแย่งชิงกันอย่างดุเดือด สุดท้ายจวนเฉวียนคัง บิดาของจวงเฉิงก็ชนะและกลายเป็น ‘ลูกชายแท้ๆ’ ของจวงฟู่กุ้ย
เมื่อมีลูกชายแล้วจวงฟู่กุ้ยก็ไปขอฮ่องเต้เจี้ยนผิง ให้ลูกชายของเขาได้สมรสกับหญิงสาวจากตระกูลหมิงหยางปั๋ว กงปั๋วฮวา สตรีผู้สง่างามและมีเกียรติ
ทุกคนรู้ว่าตระกูลหมิงหยางปั๋วมีทายาทน้อยลงและค่อยๆ เสื่อมโทรมลง กงปั๋วฮวาเป็นลูกคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อได้รับราชโองการในวันนั้น หมิงหยางปั๋วผู้ที่อ่อนแออยู่ก็ล้มป่วยนอนเตียง ทว่ากงปั๋วฮวาเมื่อได้รับราชโองการ ไม่ได้แสดงความโศกเศร้าหรือยินดี
ตำแหน่งขุนนางของหมิงหยางปั๋วถึงยุคนี้ก็สิ้นสุดลงแล้ว หลายปีมานี้เพราะอาการป่วยของเขา ตระกูลแทบหมดเนื้อหมดตัว เมื่อเผชิญหน้ากับราชโองการ ไม่มีผู้ใดในตระกูลแสดงความโกรธหรือคัดค้าน นอกจากเด็กชายหกขวบผู้หนึ่ง หลังจากหลายปีที่ต้องดูแลอาการเจ็บป่วยของเขา ตระกูลนี้แทบจะหมดเนื้อหมดตัว เมื่อเผชิญกับพระราชสาส์น ไม่มีใครในตระกูลยกมือแสดงความโกรธหรือคัดค้าน นอกจากเด็กชายอายุหกขวบคนหนึ่ง ซึ่งก็คือกงปั๋วฮ่าว ญาติผู้น้องของกงปั๋วฮวา
ที่เขาโกรธก็คือ สตรีสูงศักดิ์ตระกูลปั๋วเจวี๋ย แต่งกับตระกูลขันที ไร้สาระสิ้นดี
แต่ว่าเด็กชายอายุหกขวบที่ต้องการช่วยปกป้องพี่สาวกลับอ่อนแอเกินกว่าจะต่อสู้กับความโหดร้ายของครอบครัว ต้องถูกส่งไปไกลเพื่อศึกษาต่อ ไม่มีโอกาสที่จะพบพี่สาวอีก
ใช่แล้ว กงปั๋วฮวา หลังจากแต่งงานกับขันที ก็ให้กำเนิดลูกชายของเขาคือจวงเฉิง ซึ่งก็กลายเป็นทายาทของขันทีเช่นกัน
หลังจากเป็นทายาทของขันที บุตรของตระกูลขุนนางต่างก็รู้สึกอับอายที่จะคบหากับเขา ผู้ที่เต็มใจคบหากับคนจากตระกูลจวง ส่วนใหญ่ก็มีแต่พวกคนต่ำทรามและสกปรก ตระกูลขุนนางที่มีเกียรติส่วนใหญ่ไม่ต้องการไปมาหาสู่ แต่เพราะเห็นแก่หน้าของจวงฟู่กุ้ย พวกเขาจึงไม่กล้าที่จะทำอะไรที่ดูเหมือนเป็นการดูหมิ่น
จวงเฉิงอยู่ในตระกูลจวง ความอบอุ่นหนึ่งเดียวที่เขามีมาจากมารดา ทุกอย่างเริ่มต้นจากมารดา นางสั่งสอนให้รู้หนังสือ เข้าใจเรื่องการดำเนินชีวิตสอนให้เขาสุภาพและมีคุณธรรม ที่น่าเสียดายก็คือ วาสนาของแม่ลูก มีเพียงไม่กี่ปี
มารดาของเขาสง่างามและอ่อนโยน แต่ในตระกูลจวงที่เต็มไปด้วยโคลนดิน นางก็เหมือนดอกไม้ที่ต้องจมลงในโคลน ซึ่งไม่สามารถเติบโตได้ กลับกลายเป็นถูกกัดกร่อนจนจิตใจนางเต็มไปด้วยบาดแผล นางทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้เขามีชีวิตอยู่ได้
น่าเสียดายที่เมื่อเขาอายุได้ห้าขวบ นางก็จากไปอย่างกะทันหัน
คนในตระกูลจวงพูดว่านางเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย แต่เขารู้ดีว่านางถูกทรมานจนเสียชีวิตจากความเจ็บปวดทางใจ เพราะผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาของเขา บังคับให้นางเห็นภาพฉากหยาบโลนของเขา สอนวิธีการปรนนิบัติบุรุษ ไม่ใช่เป็นปลาตายตัวหนึ่ง
น่าสะอิดสะเอียนจริงๆ
ตระกูลจวงช่างน่าสะอิดสะเอียน สายเลือดครึ่งหนึ่งที่ไหลเวียนในร่างของเขาก็น่าสะอิดสะเอียนไม่ต่างกัน
หลังจากกงปั๋วฮวาสิ้นชีวิตได้ไม่นาน ในระหว่างการไว้ทุกข์ บิดาของเขาก็รีบรับภรรยาใหม่เข้าบ้าน ไม่นานนักในปีถัดมา ภรรยาใหม่ก็ให้กำเนิดฝาแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภและความสมบูรณ์พูนสุข จากนั้นเขาจึงกลายเป็นเด็กที่ไร้ทั้งมารดาและผู้เป็นบิดาอย่างสิ้นเชิง
เขาเฉลียวฉลาดตั้งแต่วัยเยาว์ ภรรยาใหม่ของบิดาเสแสร้งทำตัวเป็นคนดีแสนเมตตา แสดงความรักที่ล้นเกินจนเหมือนจะทะลุถึงกระดูก แม้แต่ฝาแฝดที่เป็นลูกแท้ๆ ของนางยังถูกละเลย หากเขาปรารถนาสิ่งใด นางก็ไม่รีรอที่จะมอบให้ แต่เขารู้ดี จากคำสอนของมารดาผู้จากไป ว่า “การยกยอจนพินาศ” เป็นคำที่หมายถึงสถานการณ์อย่างไร
ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินเรื่องซุบซิบในงานเลี้ยง แม่เลี้ยงบ้านใดดีกับบุตรชายบุตรสาวของภรรยาเก่าเกินความพอดี เขาผู้ไร้เดียงสาคิดว่านั่นคือความรักที่แท้จริง มารดาจึงได้เอ่ยสอนคำนี้
และเขา สิ่งที่ได้รับจากภรรยาใหม่ของบิดา ยิ่งเป็นการยกยอจนพินาศ
หากนางมีใจจริงดั่งที่แสดงออก เหตุใดเมื่อใดที่เขาใกล้ชิดกับฝาแฝด ไยนางจึงจ้องเขม็งตาไม่กะพริบ ไม่คลาดสายตาแม้เพียงนิด
ผู้คนรอบข้างล้วนตามใจเขา ปล่อยให้เขาใช้ชีวิตอย่างเสเพล ก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายอะไร
หากนางปรารถนาเป็นคนดี เขาก็ยินยอมให้นางสมปรารถนา
แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็เหมือนเดินอยู่บนคมดาบ
การยกยอจนพินาศ อย่างไรก็ยังไม่เท่าการถูกฆ่าทิ้งโดยตรง
นางแสร้งสร้างเหตุการณ์ผีหลอกเพื่อทำให้เขาตกใจกลัว เขาก็หาวิธีหลอกฝาแฝดคืนบ้าง เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ทั้งกลางวันและกลางคืนของเด็กๆ เขาก็ยิ่งสะใจ
สตรีผู้นั้นทำอะไรกับเขาไว้ เขาก็เอาคืนทั้งหมด
ความแค้นฝังใจและการจองเวร คือธาตุแท้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวเขา
เขาเติบโตขึ้นท่ามกลางแผนการอันซับซ้อนและเล่ห์เพทุบาย ปกป้องตัวเองด้วยการเสแสร้งเป็นคนเสเพล ขณะเดียวกันก็เรียนรู้วิชาความสามารถและกลยุทธ์ต่างๆ มองดูความเสื่อมโทรมในตระกูลจวงอย่างเย็นชา
เมื่ออายุยี่สิบห้าปี ฟ้าของตระกูลจวงพลันเปลี่ยนสี
เพราะฟ้าเบื้องบนของพวกเขามลายสิ้น ฮ่องเต้เจี้ยนผิงสิ้นพระชนม์ และบุคคลผู้นั้น ซึ่งไม่เคยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อใครนักก็ถูกกำจัดทิ้ง
ตระกูลจวงซึ่งเริ่มต้นด้วยฐานะขันที พอรุ่งเรืองแล้วกลับไม่ได้ใส่ใจอบรมเลี้ยงดูทายาทหรือสร้างสายสัมพันธ์ที่มั่นคงกับตระกูลอื่น ยามฟ้าเบื้องบนพังทลาย ตระกูลจวงจึงราวกับกำแพงที่ใกล้ล้ม ทุกคนล้วนรีบมาผลักคนละเท้าให้ล้มลงโดยเร็ว
และโอกาสของเขาก็มาถึง
ผู้คนต่างมองว่าจวงเฉิงเป็นเพียงคนเหลวไหล แต่หารู้ไม่ว่าคนที่ดื่มเป็น เล่นเป็น และมีหัวคิดไว ย่อมหาหนทางค้าขายได้ไม่ยาก จวงเฉิงเริ่มทำการค้าแต่เยาว์วัย พอถึงยามนี้เขาคว้าโอกาสไว้ได้ทันที วางแผนทีละน้อย ค่อยๆ ดูดทรัพย์สินของตระกูลจวงจนสิ้น ทำให้ตระกูลจวงจมอยู่ในโคลนตมอันโสมมและเน่าเหม็น
ไก่ป่าบนเขา ต่อให้ปักขนนกหยก ก็ไม่อาจกลายเป็นหงส์ แล้วจะดิ้นรนแย่งชิงไปเพื่อสิ่งใด
บุตรชายขันที ชั่วข้ามคืนกลับไปอยู่ในสภาพย่ำแย่ยิ่งกว่าวันก่อนการปลดปล่อย เพราะแผนของจวงเฉิงหาใช่เพียงแค่ทำให้ล่มจม แต่ยังหมายถึงฆ่าคนด้วย
ความแค้นที่มารดาต้องตาย เขาชำระล้างจนสิ้น
ทว่าตัวเขาเองกลับกลายเป็นคนที่ผู้คนประณามว่า ทรยศต่อวงศ์ตระกูล ไร้ความกตัญญู ไร้คุณธรรม ไร้มนุษยธรรม
ดังนั้นต่อหน้าคนตระกูลจวง เขาตัดผมเฉือนเนื้อ ลอกกระดูกจนโลหิตสาดกระเซ็น ทิ้งครึ่งหนึ่งของเลือดเนื้อในกายไว้เบื้องหลัง
บนแท่นชมวิวของอารามชิงผิงในเมืองหลี ทิวทัศน์เบื้องล่างของหน้าผางดงามดั่งภาพวาด เงียบสงบและเปี่ยมด้วยความลุ่มลึก
หากที่นี่จะเป็นสุสานฝังร่าง ก็คงนับเป็นสถานที่ยุติชีวิตที่เหมาะสมสำหรับชีวิตที่ไม่ได้งดงามของเขา
แต่เพียงก้าวเท้าแรก เขากลับไม่อาจก้าวต่อ เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง
“พี่ชาย หากจะหาที่ตาย ก็จงไปตายไกลๆ ที่ดินของอารามชิงผิงนี้ หากคิดตายที่นี่ แม้เป็นผีก็ยังต้องโดนข้าตีให้ตายอีกที”
กงปั๋วเฉิงหันกลับไปมอง พบเพียงเด็กน้อยในชุดนักพรตสีคราม ผมมัดเป็นจุก มือถือไก่ป่าตัวหนึ่งแกว่งไปมา ดวงตาคู่นั้นส่องประกายสดใสราวมีชีวิต
หากไก่ป่ามีดวงตาขาวให้กลอกกลับ มันคงเหลือบตามองจนหมดลมหายใจเป็นแน่
กงปั๋วเฉิงอดไม่ได้ เอ่ยขึ้น “ชีวิตไก่สั้นไม่กี่ปี มิสู้ให้…”
“ทางตายหรือ” ฉินหลิวซีคลี่ยิ้มตาหยี “นักพรตน้อยข้าเองกำลังคิดเช่นนี้ ข้าออกไก่ ท่านออกสุรา พวกเรากินข้าวด้วยกันสักมื้อเป็นอย่างไร”
กงปั๋วเฉิงมองขวดน้ำเต้าสุราที่แขวนอยู่บนเอว “…”
เขากำลังจะเอ่ยบางอย่าง เด็กคนนั้นก็เดินขึ้นเขาไปแล้ว เสียงดังมากับสายลม “ชีวิตยังอีกยาวไกล แม้ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า แต่แสงจันทร์ย่อมโผล่ขึ้นมา เรื่องราวในอดีตถูกลบไปแล้ว ไยไม่ลองเริ่มต้นชีวิตใหม่เล่า ลองใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี บ่มสุราสักไห จะปล่อยให้เสียเปล่าได้อย่างไร”
กงปั๋วเฉิงตะลึงงัน เขาเงยหน้ามองทิศตะวันตก เห็นเพียงดวงตะวันลับฟ้า แสงสีทองสดใสแผ่กระจาย และอีกฟากของขอบฟ้า ดวงจันทร์เต็มดวงก็ลอยเด่นขึ้นบนท้องฟ้าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร
เขาคลี่ยิ้มออกมาทันใด คว้าขวดสุราแล้วเดินตามไป
ปีนี้ได้พบกับฉินหลิวซี เขาสามสิบห้า ชีวิตเข้าสู่วัยกลางคน ได้เริ่มต้นบนเส้นทางสายใหม่แล้ว